ซิวลู่ฉิงทำตาโต “นี่เรา...เรากำลังจะเป็นนักสืบใช่หรือไม่?”
“ถูกต้อง! เจ้าอยากเป็นอยู่แถวมิใช่หรือฉิงเอ๋อร์?”
“อยากสิ! อยากข้าอยากเป็นนักสืบยุทธภพเหมือนจอมยุทธ์เซียว มีเจ้าพายุเหยี่ยวระวังภัยเป็นผู้ช่วย แต่ข้าก็อยากเป็นตุลาการหญิงคนแรกของแคว้นหมิงได้ ว่าแต่เราเป็นสองอย่างพร้อมกันได้หรือไม่?”
“ตุลาการต้องคอยตัดสินคดีความแต่นักสืบยุทธภพต้องออกเดินทางท่องเที่ยวพเนจร เห็นทีเจ้าจะต้องเลือกแล้วล่ะ” ชิงเว่ยเว่ยหันไปจ้องหน้าสหาย
เด็กหญิงผู้ชอบการสืบสวนรู้สึกลังเล “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ข้าขอเป็นนักสืบยุทธภพก่อน แล้วค่อยเป็นตุลาการหญิงทีหลัง”
“อืม....น่าจะเข้าท่านะ”
พอตกลงใจในอาชีพในอนาคตได้แล้ว ซิวลู่ฉิงพลันนึกได้ว่าการเป็นนักสืบครั้งนี้ นางจะต้องสืบคดีของคนที่ตายไปแล้วก็หันขวับไปหาชิงเว่ยเว่ย “นะ นี่ เราจะสืบเรื่องคนตาย จะ จะไม่เจอผีเหรอ?”
ชิงเว่ยเว่ยเห็นหน้าซีดเซียวของเด็กหญิงที่อยากเป็นนักสืบก็พลันหัวเราะก๊ากออกมา “อย่าบอกนะฉิงเอ๋อร์ ว่าเจ้ากลัวผี!”
“ผีนะ! เจ้าไม่กลัวหรือ?” ซิวลู่ฉิงทำหน้าเหลือเชื่อ นางคิดว่าเด็กทุกคนต่างก็กลัวผีด้วยกันทั้งนั้น
“ข้าเคยเป็นผีมาก่อนจะกลัวไปทำไม?” ชิงเว่ยเว่ยหัวเราะหึๆ นางเกือบพูดออกมาแล้วว่าข้าเคยเป็นวิญญาณเร่ร่อนด้วยนะ
“หา! เจ้าเคยเป็นผี” เด็กน้อยทั้งสามรองออกมาพร้อมกัน
ชิงเว่ยเวยเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนเองพลาดไป จึงได้ยิ้มกว้างโบกมือ “เอ่อ...ข้าหมายถึงข้าเคยป่วยหนักจนเหมือนผีมาก่อนน่ะ ยังไม่ได้เล่าให้พวกเจ้าฟังหรือ?”
“ปัดโธ่! เจ้าทำข้าตกใจหมด นึกว่าเคยเป็นผีจริงๆ เสียอีก” ซิวลู่ฉิงถอนหายใจอย่างโล่งอก
“คดีความส่วนใหญ่มักจะเป็นคดีฆาตกรรม หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เราจะต้องไปดูศพ เห็นคนตาย พบเจอเลือด” ชิงเว่ยเว่ยกวาดตามองสหายน้อยทีละคน “ซิวอี้เซิงเจ้ากลัวสิ่งใด? ศพ ผี หรือว่าเลือด?”
“ข้ากลัวเลือด” ใบหน้าของหัวหน้ากลุ่มฉีหลินสลดลงเล็กน้อย
“เจ้าชอบการต่อสู้ คิดจะเป็นทหาร ในการรบต้องเจอเลือดอยู่เสมอ เจ้าจะไหวหรือ?”
“ข้าก็คิดจะแก้อาการนี้ให้หายแต่ว่า....”
“เอาเถิด! เจ้ายังเด็ก วันข้างหน้ายังยาวไกล” ชิงเว่ยเว่ยทำหน้าสุขุม
“เจ้าพูดเหมือนกับว่าเจ้าอายุมากกว่าพวกเราเลย” ฉีเหยียนขมวดคิ้ว
ซิวลู่ฉิงที่ในหัวคิดวนเวียนเพียงเรื่องจะไปสืบคดีของไต้จี้หลิงซึ่งมีลักษณะคล้ายกับคดีที่นางอ่านพบในนิยายนักสืบยุทธภพ
“เว่ยเว่ย ตกลงว่าคดีของไต้จี้หลิงเราจะเอาอย่างไร?”
“พวกเราเป็นเด็ก คงจะสืบจริงจังไม่ได้ ให้พวกเราไปพบคุณชายจินเพื่อวางแผนก่อนเถอะ”
“อืม...เห็นด้วยๆ”
พวกเขาพากันจดจำรูปลักษณ์ของใต้เท้าไต้จนขึ้นใจแล้วก็ตกลงกันว่าจะแอบเอารูปนั้นกลับไปคืนในหีบก่อนที่ไต้เส้าจวินจะรู้ตัว
“ช่วงบ่ายอาจารย์ไต้จะไปสอนพวกห้องสาม ข้ากับฉิงเอ๋อร์จะขอลาอาจารย์ไปเข้าห้องส้วมแล้วเอารูปไปเก็บไว้ที่เดิม”
พอทั้งสี่ตกลงกันเรียบร้อย บ่ายนั้นซิวลู่ฉิงก็เป็นคนดูลาดเลาอยู่หน้าห้องพักอาจารย์ ส่วนชิงเว่ยเว่ยเสี่ยงตายเอาเข้าไปคืน ไม่ถึงครึ่งเค่อไต้เส้าจวิน กลับถูกจงกว้านซีลากแขนมายังห้องพักอาจารย์ ซิวลู่ฉิงเห็นแล้วถึงกับยกมือปิดปากด้วยความตกใจ นางรีบพุ่งเข้าไปในห้องพักอาจารย์แล้วดึงแขนชิงเว่ยเว่ยที่กำลังปิดหีบลงพอดี พากันไปแอบอยู่หลังตู้หนังสือมุมห้อง
“อาจารย์ไต้มา!”
เด็กน้อยทั้งสองหน้าเสียพยายามหมอบเสียแทบจะติดพื้น
“เส้าจวิน! พี่ชายของข้าเพิ่งส่งข่าวมา เจ้าอ่านนี่ดู!”
จงกว้านซีควักเอาซองจดหมายในสาบเสื้อยื่นให้สหาย ไต้เส้าจวินอ่านแล้วมือสั่นระริก อาจารย์จงใช้มือตบบ่าอาจารย์ไต้เบาๆ
“เจ้าระงับสติอารมณ์ไว้ พี่ชายข้าเห็นว่าเจ้านั่นเมามายอาจจะพูดจาเพ้อเจ้อแต่พอคิดจะลากมาถาม คนผู้นั้นกลับถูกชายอีกสองคนจับตัวไปก่อน วันต่อมาคนผู้นั้นก็กลายเป็นศพไปเสียแล้ว ดูท่าที่เจ้าปักใจเชื่อว่าท่านพ่อของเจ้าถูกคนล่อลวงไปให้ติดกับดักน่าจะเป็นความจริง”
“ข้าไม่เชื่อว่าท่านพ่อของข้าจะตายในสภาพเยี่ยงนั้น ทั้งศพของโจวเวยกับหม่าไฉก็หาไม่พบ ในรายงานบันทึกไว้ว่าคนทั้งสองถูกโจรป่าโยนลงหน้าผา แต่ตราบใดที่ยังไม่เจอศพคนทั้งคู่ข้าก็ยังแอบมีความหวัง”
“ท่านอาโจวกับท่านอาหม่าล้วนเป็นยอดฝีมือบอกตามตรงข้าก็ไม่เชื่อว่าพวกเขาจะตายเยี่ยงนั้น เราให้คนช่วยกันตามหาพวกเขามาร่วมสองปีแล้วก็ยังไม่พบแม้แต่เงา”
“อยู่ต้องเจอ ตายต้องเจอศพ!”
จงกว้านซีดันหัวไหล่ของไต้เส้าจวินให้มาเผชิญหน้า “เจ้าเคยคิดจะขุดศพของท่านพ่อเจ้ามาดูอีกครั้งหรือไม่?”
“อ๊ะ!” ไต้เส้าจวินผงะ เดิมทีความคิดเรื่องขุดศพมาดูเขาเคยเอ่ยกับพี่สาวไปแล้วครั้งหนึ่งแต่นางก็ขอร้องเอาไว้แล้วบอกให้เขาอย่ารบกวนบิดาอีกเลย นางได้เห็นศพก่อนฝังแล้ว เสื้อผ้าที่เหลือซากจากไฟไหม้และข้าวของเครื่องใช้ที่ติดตัวยืนยันได้ว่าเป็นท่านพ่อจริงๆ
“ข้าพูดจริงๆ นะ เส้าจวิน ในเมื่อเจ้าก็ยังสงสัยอยู่ เราก็มาทำเรื่องนี้ให้กระจ่างกันเถอะ” จงกว้านซีเห็นสหายไม่อาจวางเรื่องของบิดาลงได้ ยิ่งมาได้เบาะแสจากพี่ชายของเขาที่ยามนี้ประจำอยู่เมืองชิงหลิงก็ยิ่งสงสัย
ไต้เส้าจวินพยักหน้า “ในเมื่อมีคนจุดประกายไฟแล้ว ข้าก็จะใช้เทียนเล่มนี้ส่องหาความจริงให้เจอ”
ชิงเว่ยเว่ยหันไปสบตากับซิวลู่ฉิง ดวงตาของเด็กหญิงทั้งสองส่องประกายตื่นเต้นอย่างระงับไว้ไม่อยู่ เมื่อได้ยินคำว่า ‘ขุดศพ’ ชิงเว่ยเว่ยใคร่อยากจะได้เห็นศพของใต้เท้าไต้ด้วยตนของตนเอง แต่ซิวลู่ฉิงจินตนาการภาพศพที่ถูกไฟไหม้ตายแล้วกลัวว่าผีของคนผู้นั้นอาจจะตามมาขอให้นางช่วย ครั้นฝีเท้าของอาจารย์ทั้งสองห่างออกไปแล้ว เด็กหญิงที่เอามือตนเองไปอุดปากอีกฝ่ายหนึ่งไว้ก็ค่อยๆ พยักหน้าแล้วปล่อยมือออกพร้อมกัน
“เจ้าได้ยินแล้วใช่หรือไม่?”
“อืม...อาจารย์จงกับอาจารย์ไต้คิดจะไปขุดศพ เช่นนั้นพวกเรา....”
ทั้งสองรีบวิ่งกลับไปที่ห้องเรียน เห็นซิวอี้เซิงกับฉีเหยียนกำลังนั่งคัดลอกพระคัมภีร์ท่อนสำคัญส่งอาจารย์ใกล้จะเสร็จแล้วก็รีบบอก
“เย็นนี้ประชุมด่วน! เรื่องคอขาดบาดตาย!”
************************************