คดีของบิดาของอาจารย์สร้างความตื่นเต้นให้เด็กน้อยกลุ่มฉีหลินที่หมายมั่นปั้นมือจะเป็นนักสืบยิ่งนัก พวกเราต่างเร่งวันเร่งคืนให้ถึงวันหยุดเร็วๆ จะได้ไปพบคุณชายจินที่สำนักข่าวนกกระจิบ
ไต้เส้าจวินรู้สึกว่าสายตาของเด็กน้อยทั้งสี่ต่างมองเขาด้วยประกายประหลาด ทั้งสงสารและสงสัยในคราวเดียวกันแต่เขาก็หาสาเหตุไม่ได้ ฝ่ายอาจารย์และลูกศิษย์ต่างจดๆ จ้องๆ กันอยู่อย่างนั้น ชายหนุ่มนึกขึ้นได้ว่าวันนั้นเขาเจอชิงเว่ยเว่ยอยู่ใกล้ประตูจวนก็คิดจะสอบถามว่านางไปทำธุระใด แต่เด็กหญิงก็เหมือนจะหลบหน้าหลบตาไม่ให้โอกาสเขาได้สอบถาม
“เจ้ามองคุณหนูชิงนานแล้วนะ มีอันใดหรือ?”
“กว้านซี เจ้าว่ามันจะบังเอิญไปหรือไม่? หากว่าชิงเว่ยเว่ยจะผ่านไปทางบ้านของข้า ทั้งๆ ที่อยู่คนละทางกับจวนสกุลชิง”
จงกว้านซีหันมามองสหายด้วยความสนใจ “เจ้าคิดว่านางไปแอบสืบเรื่องของเจ้าอย่างนั้นสิ! เจ้าขี้ระแวงไปหรือเปล่า? เด็กตัวแค่นี้จะมีความคิดซับซ้อนขนาดนั้นได้อย่างไร? อาจจะบังเอิญมากกว่า”
ไต้เส้าจวินมองดูเด็กหญิงที่กำลังก้มหน้าก้มตาเรียนวาดภาพดอกบัวแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ “บางทีข้าอาจจะทำตัวดูน่าเกรงกลัวเกินไป นางจึงไม่กล้าเข้าใกล้ข้า”
“เจ้าเอาแต่ตีหน้านิ่งอยุ่ตลอดเวลาจนเด็กนักเรียนไม่กล้าปรึกษาหารือแล้วรู้ตัวหรือไม่?”
“อืม...ข้าคงดูเคร่งเครียดเกินไป”
“ข้ารู้สึกว่าอาจารย์เกาคนงามไม่ค่อยออกมานอกอาคารเรียนเลยนะ นางคิดจะเฝ้าอยู่ที่ห้องสอนอย่างนั้นทั้งวันเลยหรือ?”
“ข้าเห็นพวกเด็กๆ บ่นว่าอาจารย์หญิงเกาเอาแต่อ่านตำราทั้งวัน ทำเอาเด็กห้องสองหวาดผวากันไปหมดแล้ว”
จงกว้านซีอมยิ้ม “นางได้ชื่อว่าเป็นปราชญ์หญิงแห่งชิงหลิงเชียวนะ”
“เมืองชิงหลิงมีเขาตีขนาบสองข้าง โจรป่ามีตั้งหลายชุม เช่นนี้แล้วยังให้กำเนิดปราชญ์หญิงขึ้นมาได้ นับว่าไม่เลวเลย”
ไต้เส้าจวินรู้สึกสะเทือนใจ ในยามที่เขาเดินทางไปอยู่กองทัพและจากนั้นปีกว่าก็ลาออกไปท่องยุทธภพ บิดาผู้เป็นขุนนางกรมกลาโหมถูกส่งตัวไปเจ้าเมืองชิงหลิงวางแผนปราบโจรป่า ทว่ากลับถูกลอบฆ่าจนเหลือเพียงศพไหม้เกรียมกลับมา แม้เขาจะไม่ได้เห็นกับตาเพราะกว่าจะกลับมาถึงจวน ท่านพ่อก็ถูกฝังไปแล้ว มีเพียงคำยืนยันของพี่สาวและพี่เขยว่านั่นคือศพของบิดาจริงๆ เพราะมีเครื่องยืนยันอยู่หลายอย่าง
“ข้าขอโทษที่เอ่ยถึงเมืองชิงหลิงให้เจ้ารู้สึกสะเทือนใจ”
ไต้เส้าจวินดวงตาสลด “ไม่เป็นไรหรอก! เรื่องมันผ่านไปแล้ว ข้าเพียงแต่เสียดายที่ไม่ได้ทำหน้าที่บุตรชายที่ดีเป็นครั้งสุดท้าย”
เมื่อกลับมาถึงจวนแล้วรู้ว่าบิดาถูกฝังร่างไปแล้ว จอมยุทธ์ไต้ก็ไปคารวะหลุมศพบิดา ทั้งยังคุกเข่าอยู่หนึ่งวันเต็มจนจงกว้านซีทนไม่ได้ต้องสกัดจุดแล้วอุ้มเขากลับเรือนมาพักผ่อน จากนั้นไต้เส้าจวินก็เอาแต่เศร้าโศก เขาขังตนเองอยู่ในเรือน วาดภาพบิดาภาพแล้วภาพเล่าจนแขวนอยู่เต็มห้องไปหมด จากนั้นเขาก็คุกเข่าขออภัยภาพบิดาอยู่ทุกเช้าค่ำ กระทั่งเขาถูกอาจารย์ใหญ่หวังนำตัวมาช่วยสอนหนังสืออยู่สถาบันเค่อเฉิง ชายหนุ่มก็ยังนำเอาภาพวาดของบิดามาแขวนไว้ในมุมห้องหลายภาพ
“ท่านพ่อของเจ้าคงไม่ได้จากไปไหน ข้าคิดว่าท่านก็คงคอยวนเวียนอยู่ในภาพที่เจ้าวาดนั่นล่ะ”
จงกว้านซีตบบ่าปลอบใจสหายแล้วก็พาเขากลับเข้าไปในอาคารเรียน ซิวอี้เซิงที่หมอบอยู่ใต้ระเบียงถึงกับหูผึ่ง เขารีบตรงไปหาชิงเว่ยเว่ยกับซิวลู่ฉิง
“ข้าได้ยินเรื่องเด็ดเข้าล่ะ! เรามีโอกาสได้เห็นหน้าบิดาขออาจารย์ไต้แล้ว”
“อยู่ไหนหรือ?”
“ในห้องพักของอาจารย์ไต้อย่างไรล่ะ?”
ซิวอี้เซิงรีบเล่าเรื่องที่ตนเองได้ยินให้สหายฟัง ชิงเว่ยเว่ยทำตาโต หากว่าอาจารย์ไต้วาดรูปบิดาเอาไว้ในห้องพัก นางก็จะมีโอกาสได้สำรวจรูปร่างหน้าตาคนผู้นั้นในยามที่ร่างกายยังไม่ถูกเผาไหม้ จากนั้นค่อยไปหาบันทึกการชันสูตรศพมาอ่าน เรื่องนี้ต้องหาโอกาสปรึกษาหัวหน้าจินกับพี่รองเสียก่อน หากนางบุ่มบ่ามทำไปอาจจะเสียการใหญ่
ด้วยการดูลาดเลาของฉีเหยียนและซิวอี้เซิง ทำให้ชิงเว่ยเว่ยกับซิวลู่ฉิงได้เข้าไปดูภาพไต้จี้หลิงบิดาของอาจารย์ไต้ที่แขวนไว้ด้านในสุดของห้องพัก เมื่อพยายามจดจำรายละเอียดช่วยกันแล้ว พวกนางก็จะออกไปเปลี่ยนให้เด็กชาย ทั้งสองเข้ามาดูบ้าง
“เอ๊ะ! หีบนี่” ชิงเว่ยเว่ยมองเห็นหีบไม้ที่อยู่ชิดผนังใต้ภาพวาดนางจึงก้มหน้าลงเปิดดู พบม้วนกระดาษเต็มไปหมด
ซิวลู่ฉิงที่ไวกว่ารีบฉวยขึ้นมาเปิดดู “เอ๋? รูปใต้เท้าไต้นี่?”
ชิงเว่ยเว่ยเองก็หยิบอีกภาพที่ม้วนไว้ขึ้นมาดู “นี่ก็ใช่!”
“หรือว่าภาพทั้งหมดในหีบนี้คือ?”
คุณหนูสี่สกุลชิงม้วนภาพในมือของตนเสียบใส่สาบเสื้อทันที “ขโมยไปภาพเดียวก็พอ เจ้าวางในมือลงหีบเหมือนเดิมเร็วเข้า!”
ซิวลู่ฉิงทำตาโตอยากจะขโมยด้วย ทว่าชิงเว่ยเว่ยรีบส่ายหน้า “ผิดปกติเกินไป ข้าเอาไปแล้ว เราค่อยดูด้วยกัน”
พอเด็กหญิงทั้งสองวิ่งออกมาจากห้องพักอาจารย์ไต้ได้ก็รีบบอกให้เด็กชายทั้งสองที่รออยู่กลับไปยังห้องเรียน
“พวกข้ายังไม่ได้ดูเลยนะ”
“เอามาเผื่อแล้วน่า...ได้ดูจนตาแฉะแน่” ชิงเว่ยเว่ยชี้ที่สาบเสื้อ
เด็กชายทั้งสองถึงกับตกตะลึง “นี่เจ้ากล้าเอามาด้วยหรือ?”
“อย่าแตกตื่นไปเลยน่า...เดี๋ยวค่อยเล่า”
ซิวอี้เซิงถึงกับคอยภาวนาในใจให้ถึงเวลาเลิกเรียนเร็วๆ ครั้นถึงเวลาจริงๆ เขารีบดึงแขนฉีเหยียนที่หิ้วกระเป๋าแทบไม่ทันพุ่งออกจากห้องเรียนไปที่มุมเดิมข้างหอสมุด เพื่อรอคอยให้เด็กหญิงทั้งสองมาสมทบ ท่าทางร้อนใจของเด็กชายทั้งสองทำเอาชิงเว่ยเว่ยที่รีบตามมาถึงกับหัวเราะหึๆ เด็กน้อยทั้งสี่รีบล้อมวงแล้วชิงเว่ยเว่ยก็ล้วงเอาภาพนั้นออกจากกระเป๋าสะพายหลัง
“อ๋า! องอาจสมกับเป็นขุนนางขั้นสี่จริงๆ ดูใบหน้าสิ ดูไปแล้วมีส่วนคล้ายอาจารย์ไต้แค่เพียงรูปร่างกับโครงหน้าเท่านั้นเอง เห็นทีใบหน้างดงามอย่างนั้นคงได้มาจากมารดาสินะ” ซิวลู่ฉิงยื่นหน้ามาวิจารณ์
“เจ้าพูดอย่างกับเคยเห็นมารดาอาจารย์ไต้อย่างนั้นล่ะ?” ฉีเหยียนทำหน้าฉงน
“เคยที่ไหนกัน? พวกเราก็เพิ่งเห็นแค่ประตูจวนของอาจารย์เท่านั้นเอง”
“ว่าแต่...เจ้าอยากเห็นภาพวาดของบิดาอาจารย์ไปทำไมหรือเว่ยเว่ย?”
เด็กหญิงยิ้มน้อยๆ “ข้าอยากจะสืบดูน่ะสิว่าคดีของใต้เท้าไต้มีเงื่อนงำจริงหรือไม่? หากว่ามิใช่การตายตามปกติล่ะก็...อาจจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังก็ได้”
*****************************