บทที่ 21 บุกสุสาน

1362 คำ
คบไฟวับแววอยู่ในเขตสุสานของเหล่าขุนนางนอกเมือง ตำแหน่งนี้มีชัยภูมิตามหลักฮวงจุ้ยดีงามครบถ้วน ด้านหลังเป็นภูเขาขนาดย่อม ด้านหน้าเป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ซึ่งเป็นปลายทางของแม่น้ำสายสวรรค์ที่ไหลมาจากเทือกเขามังกรทะยานซึ่งเป็นขุนเขาที่สูงที่สุดในแผ่นดินห้าแคว้นนี้ เด็กทั้งสี่ขยุกขยิกเกาะหลังกัน ไห่ฮ่าวผู้อารักขาของชิงเว่ยเว่ยถูกลากให้มานำทาง มือหนึ่งถือโคมอีกมือกระบี่ ซิวอี้เซิงเห็นว่าเรื่องนี้ควรไปให้น้อยคนที่สุดจึงไม่ยอมให้สาวใช้ตามมา “พวกเขามาแล้ว! หมอบลงเร็ว!” ไห่ฮ่าวซึ่งเป็นผู้มีวรยุทธ์ยอดเยี่ยมผู้หนึ่งรีบเป่าโคมไฟให้ดับเมื่อได้ยินฝีเท้าที่วิ่งมาทางตนด้วยความเร็ว เด็กทั้งสี่ที่โพกผ้ารอบศีรษะเหลือเพียงดวงตา คอยจับตามองร่างทั้งสองด้วยใจระทึก บุรุษที่ทะยานมาด้วยกำลังภายในเลิศล้ำนั้นแตะพื้นพร้อมกับถือโคมไฟใหญ่คนละดวง ป้ายหินขนาดใหญ่จารึกนามไต้จี้หลิงตั้งตระหง่าน ฟ้าพลันแลบแปลบๆ ซิวลู่ฉิงใจเต้นตึกๆ รัวราวกลองศึกกระหน่ำอยู่ภายใน ท้องฟ้ามืดมิด บนฟ้าไม่มีดาวแม้สักดวง สายลมเอื่อยเฉื่อยแต่แรงเริ่มแรงขึ้น “บรรยากาศเช่นนี้มัน...มันน่าจะมี...นะ” เด็กหญิงกระซิบกับชิงเว่ยเว่ย ในถ้อยคำที่เว้นเอาไว้คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับนางบนโลกใบนี้ “ไม่มีหรอกน่า...ลมพายุฤดูร้อนน่ะ อากาศกำลังจะเปลี่ยน” “เว่ยเว่ย เจ้าเคยได้ยินไหมว่าคนตายโหงมักจะเฮี้ยน?” ซิวลู่ฉิงยังกัดฟันกรอดๆ กดเสียงถามสหาย นางเริ่มอยากจะหันหลังกลับไปจวนสกุลชิงแล้ว ชิงเว่ยเว่ยรู้ว่าคนกลัวผีข้างๆ กำลังพยายามหาคนสนับสนุน นางจึงทำเสียงสยองขวัญ “เคยได้ยินสิ! วิญญาณคนตายโหงยังคงไม่ไปปรโลก ยังวนเวียนหมายจะแก้แค้น!” เด็กหญิงสกุลซิวได้ฟังเช่นนั้นก็กำลังจะกรี๊ดออกมา ทว่าชิงเว่ยเว่ยรู้ทันรีบยกมือปิดปากของเพื่อนเอาไว้ “หากเจ้าร้องออกมาตอนนี้ เราถูกอาจารย์ไต้จับได้แน่! หุบปากเจ้าให้ดี! หรือไม่เช่นนั้นพวกเราทั้งสี่คนก็ต้องถูกไล่ออกจากเค่อเฉิงด้วยกัน” ซิวลู่ฉิงเห็นชิงเว่ยเว่ยน้ำเสียงดุดันก็รีบรับคำ ชิงเว่ยเว่ยจึงได้ปล่อยมือจากปากที่โพกผ้าเอาไว้ ไต้เส้าจวินกับจงกว้านซีทำการจุดธูปรินสุราขอขมาใต้เท้าไต้ บุตรชายคนรองของผู้ตายขยับไปยังแท่นอิฐด้านข้าง ใช้มือผลักก้อนที่สามเข้าไปแล้วเลื่อนไปด้านขวา ป้ายหน้าสุสานก็ขยับออก คนทั้งสองถือโคมไฟคนละดวงผลุบหายเข้าไปหลังป้ายนั้น พักใหญ่ทั้งสองก็กลับออกมาแล้วปิดไว้ดังเดิม “ลางสังหรณ์ข้าไม่ผิดแน่! ศพที่เอามาฝังมิใช่บิดาของข้า!” แม้เสียงพูดของพวกเขาจะแผ่วเบา ทว่าไห่ฮ่าวผู้มีวิทยายุทธ์สูงส่งย่อม ได้ยินอย่างชัดเจน เช่นเดียวกับชิงเว่ยเว่ยที่ได้รับการถ่ายทอดฝีมือมาจากพระชายาชิงหลานผู้มีชาติก่อนเป็นเจ้านายและชาตินี้เป็นพี่สาว นางก็ได้ถ้อยคำสนทนาอย่างชัดเจน เมื่อร่างทั้งสองทะยานกลับไป คนทั้งห้าก็เดินออกมา “ไห่ฮ่าวเมื่อครู่พวกเขาว่าอย่างไรหรือ?” ซิวอี้เซิงรู้ว่าผู้อารักขาชิงเว่ยเว่ยคนนี้ย่อมรู้แน่จึงได้ขยับไปยืนข้างๆ “เห็นทีพวกเขาคงรู้แล้วว่าศพนั่นมิใช่ศพของใต้เท้าไต้ขอรับ!” “ไต้เส้าจวินรู้ได้อย่างไรกัน?” ชิงเว่ยเว่ยใคร่รู้ยิ่งนักว่าอาจารย์หนุ่มรูปงามผู้นั้นมีข้อพิสูจน์ใด? “คุณหนูอยากเข้าไปหรือไม่ขอรับ?” “อืม...ข้าอยากเห็น” ชิงเว่ยเว่ยผงกศีรษะในขณะที่อีกทั้งสามคนส่ายหน้า “พวกเจ้ารอข้ากับไห่ฮ่าวอยู่ที่นี่ เดี๋ยวพวกเราออกมา” ซิวอี้เซิงกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ เขาไม่เคยคิดเลยว่าชิงเว่ยเว่ยจะเป็นเด็กผู้หญิงที่กล้าหาญเยี่ยงนี้ นางสุขุมยิ่งนัก กล้ากระทั่งเข้าไปดูศพคนตายในสุสาน เด็กทั้งสามยืนรออยู่ข้างๆ โดยมีพู่ไฟคนละอันที่ไห่ฮ่าวยื่นให้ “ข้าเคยอ่านเจอนะว่า ในยามเช่นนี้พวกเขาควรจะยืนเอาหลังชนกันไว้เพื่อความปลอดภัย” ซิวลู่ฉิงเอ่ยขึ้น “เห็นด้วย!” เด็กชายทั้งสองรีบรับคำ แม้จะไม่ได้กลัวผีมากเท่าซิวลู่ฉิง แต่มืดมิดกลางสุสานใหญ่ ซ้ำยังมีเสียงนกร้องแกว๊กๆ อยู่ประปรายก็ชวนให้ขนหัวลุก เด็กทั้งสามหันหลังชนกันต่างคนต่างจ้องเขม็งไปด้านหน้า “ถ้าพวกเจ้าเห็นสิ่งผิดปกติก็รีบบอกนะ พวกเราจะได้วิ่งลงไปหาสองคนนั่น” ซิวลู่ฉิงที่มองเห็นฟ้าแลบแปลบๆ อยุ่ไกลๆ เริ่มตัวสั่น บรรยากาศช่างเหมือนที่บรรยายในนิยายนักสืบยุทธภพยิ่งนัก ตอนนั้น...จอมยุทธ์เซียวแอบไปเปิดดูสุสานของขุนนางที่ถูกไฟคลอกเสียชีวิต ครืด! เสียงแผ่นหินหลุมศพเลื่อนกลับเข้าที่เดิม เด็กทั้งสามถอนหายใจฟู่ออกมาพร้อมกัน ขณะนั้นพู่ไฟในมือของพวกเขาก็ดับลงพอดี “อย่าทิ้งพู่ไฟไว้ที่นี่ เดี๋ยวจะกลายเป็นหลักฐาน” ชิงเว่ยเว่ยร้องบอกเมื่อเห็นฉีเหยียนกำลังจะทิ้งท่อนไม้ไผ่เล็กๆ “เก็บเอาไว้ในสาบเสื้อเจ้าก่อน เอาไปทิ้งที่บ้านข้า” “อือหือ! เหม็นจัง” ซิวลู่ฉิงผงะเมื่อได้กลิ่นจากตัวของชิงเว่ยเว่ย “ในสุสานเก็บศพทั้งอับทั้งเต็มไปด้วยกลิ่นน้ำยากันแมลงกลิ่นก็ต้องติดตัวข้าเป็นธรรมดา” น้ำเสียงของคุณหนูสี่สกุลชิงคล้ายไม่เดือดเนื้อร้อนใจ “รีบกลับกันเถอะขอรับก่อนจะมีคนรู้ตัว” ไห่ฮ่าวรีบเตือน ก่อนจะออกมาพวกเขาได้ทิ้งให้จ้งซูกับจ้งหนิงและสาวใช้ของสองพี่น้องสกุลซิวเฝ้าเรือน มีเพียงจิงหานที่ขับรถม้าเก่งได้ออกมาพร้อมกับคุณชายและคุณหนูทั้งสี่ ประตูด้านหลังจวนมีจ้งหนิงคอยรอเปิดรับ วันนี้ด้วยบารมีของใต้เท้าชิงบิดาของชิงเว่ยเว่ยผู้เป็นเจ้ากรมกลาโหมที่เขียนจดหมายรับรองให้เด็กทั้งสามมาอ่านหนังสือกับชิงเว่ยเว่ยที่จวน กลุ่มฉีหลินจึงสามารถออกจากเรือนมาสุมหัวกันได้ในวันที่อาจารย์ไต้กับอาจารย์จงนัดแนะกับไปพิสูจน์ศพของไต้จี้หลิง ชิงเว่ยเว่ยของตัวไปอาบน้ำก่อนเพราะกลิ่นน้ำยาป้องกันแมลงมาแทะศพนั้นอบอวลเหลือเกิน “ศพของไต้จี้หลิงเป็นอย่างไรหรือ?” ซิวอี้เซิงที่ใจร้อนรีบซักไซ้ “ศพถูกน้ำยากัดกร่อนเนื้อไปหมดแล้วเหลือเพียงโครงกระดูกเท่านั้น ข้าสังเกตเห็นว่าที่ศีรษะมีรอยยุบเหมือนถูกของแข็งทุบอย่างแรง กระดูกขาด้านซ้ายและขวามีรอยหัก” ซิวลู่ฉิงทำหน้าสยดสยอง นางนึกถึงภาพโครงกระดูกที่เคยเห็นในตำรานักสืบที่มีภาพประกอบแล้วก็รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว “ข้าสงสัยจริงๆ อาจารย์ไต้สรุปว่ามิใช่บิดาของเขาด้วยเหตุใด?” คิ้วของชิงเว่ยเว่ยยังไม่คลายออกจากกัน ไห่ฮ่าวเองก็พลอยขมวดคิ้วตามเจ้านายน้อยของตน เขาเพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกคนที่ห้าของกลุ่มฉีหลินโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวมาก่อน การแต่งตั้งก็แสนจะเรียบง่ายและฉุกละหุกเพราะซิวอี้เซิงเดินเข้ามาจับแขนของเขาขณะที่เฝ้าอยู่หน้าเรือนคุณหนูสี่แล้วลากเข้าไปพร้อมกับให้เขาสัญญาว่าจะรักษาเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ จากนั้นไห่ฮ่าวก็ตกกระไดพลอยโจนกลายเป็นคนที่ต้องพากลุ่ม ฉีหลินออกไปซุ่มดูอาจารย์หนุ่มสองคนบุกสุสานขุนนางขั้นสี่ในกลางดึก **************************
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม