ไต้เส้าจวินรู้สึกเหมือนถูกสายตาอยากรู้อยากเห็นคอยจับตามองเขาอยู่ตลอดเวลา ในยามที่เขาสอนหนังสืออาจจะบอกไม่ได้ว่าเป็นสายตาของผู้ใด แต่ยามที่หมดเวลาเรียนแล้วจอมยุทธ์หนุ่มก็เริ่มจะแยกแยะได้ ซิวอี้เซิง ซิวลู่ฉิง ฉีเหยียนและชิงเว่ยเว่ย ในหมู่เด็กทั้งสี่มีเพียงชิงเว่ยเว่ยเท่านั้นที่ดูเหมือนจะสังเกตเขาได้อย่างแนบเนียนกว่าทุกคน
“ข้ารู้สึกว่าวันนี้กลุ่มฉีหลินจับมองข้าอยู่ตลอดเวลา”
“อืม...จริง” จงกว้านซีก็รู้สึกอย่างนั้นเพราะเห็นสองพี่น้องตระกูลซิวคอยเหลือบมองทางอาจารย์ประจำชั้นของตนเป็นระยะๆ “หรือว่าพวกเขามีเรื่องอยากจะปรึกษาเจ้า”
“ข้าว่าไม่ เหมือนพวกเขามีเรื่องจะจับผิดข้ามากกว่า”
“แล้วคุณหนูชิงหายไปไหนล่ะนั่น?”
ไต้เส้าจวินหันกลับไปมองยังกลุ่มเด็กๆ ที่นั่งอยู่ก็เห็นว่าขาดหายไปหนึ่งคน “เจ้าเห็นหรือไม่ว่านางเดินไปทางใด?”
จงกว้านซีส่ายหน้า “ตอนที่ข้าเดินมาก็ไม่เห็นนางแล้ว”
ชิงเว่ยเว่ยไม่ยอมกินข้าวกลางวัน นางพุ่งตรงไปยังหอสมุดเพื่อค้นหาหนังสือที่กล่าวถึงประวัติจอมยุทธ์เพราะเล่มที่นางได้มาจากจินวั่งซูเป็นเล่มล่าสุดซึ่งไม่มีจอมยุทธ์สกุลเซียวอยู่ นางใคร่รู้ว่าจอมยุทธ์เซียวที่ซิวลู่ฉิงคลั่งไคล้ในนิยายเรื่องนักสืบยุทธภพนั้นมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่? หรือเป็นแค่บุคคลที่ผู้ประพันธ์จินตนาการขึ้น แต่ถึงจะคิดขึ้นมาเองแต่นางเชื่อว่าผู้แต่งเรื่องนี้ต้องมีต้นแบบในใจอย่างแน่นอน นางจึงมุ่งมั่นมาตามหาประวัติจอมยุทธ์ที่มีเหยี่ยวเป็นสัตว์เลี้ยง
“หัวหน้าจินก็กระไร? สงสัยจะเริ่มเลอะเลือนหยิบหนังสือให้ข้าก็หยิบผิด บอกว่ามีประวัติอาจารย์ใหญ่หวังแท้ๆ ที่ไหนได้มีแต่พวกจอมยุทธ์ในยุคหลังๆ ต่างหาก อายุขนาดอาจารย์ใหญ่หวังก็น่าจะเป็นจอมยุทธ์ในยุคก่อนสิ”
เด็กหญิงบ่นพึมพำพลางค้นหาไปตามตู้หนังสือกระทั่งเจอตำราเก่าคร่ำคร่าเล่มหนึ่งถูกซุกเอาไว้ ดีที่ไม่มีฝุ่นมาเกาะคงเป็นเพราะหอสมุดแห่งนี้ได้รับการดูแลมาอย่างดี เมื่อไล่ดูในสารบัญแล้วก็พบว่ามีเรื่องของจอมยุทธ์เซียวอยู่ด้วย มือของชิงเว่ยเว่ยสั่นด้วยความดีใจ นางรีบพลิกหน้ากระดาษไปตามลำดับ ไม่นานนักก็พบหน้าที่ใกล้เคียง แต่หน้าต่อไปก็คือหน้าที่นางกำลังค้นหา อารามดีใจทำให้เด็กหญิงรีบพลิกไปยังแผ่นที่ต้องการ
แคว่ก!
‘แย่ล่ะ! ผู้ใดกันนะทำเช่นนี้? ใช้กาวติดไว้เสียด้วย’
ชิงเว่ยเว่ยรีบมองซ้ายมองขวาเกรงว่าจะมีคนมาเห็นเข้า เด็กหญิงแอบหลบไปหลังตู้หนังสือใช้เล็บแหวกปลายกระดาษที่อยู่ติดกัน นางพลิกกลับไปกลับมาก็เห็นทำอย่างไรก็คงไม่อาจแยกกระดาษสองแผ่นออกจากกันได้โดยไม่เสียหาย นางจึงตัดใจวางตำราเล่มนั้นลงแล้วเดินไปหาว่ามีตำราเหมือนกันอีกสักเล่มหรือไม่? เมื่อเห็นว่าไม่มีจริงๆ เด็กหญิงก็จนปัญญานางจึงถือหนังสือเล่มที่ชำรุดไปหาบรรณารักษ์ที่โต๊ะด้านหน้า แล้วขอร้องให้เขาช่วยหาเล่มใหม่ให้นาง
“ข้าจำได้ว่าตำรานี้มีสองเล่มนะ” เขาพลิกสมุดลงบันทึกรับฝาก
“ก็ไม่มีผู้ใดยืมไปนี่? เจ้าไม่เห็นหรือ?”
“ไม่มีเลยเจ้าค่ะ”
บรรณารักษ์ผอมบางรีบเดินไปดูที่ตู้หนังสือ เขาช่วยเด็กหญิงค้นจนทั่วแล้วก็ยังไม่พบ “บางทีอาจจะมีคนซุกซ่อนไว้ที่ตู้อื่นก็ได้ มีบ่อยไปที่พวกนักศึกษาไม่มีสิทธิ์ยืมแต่แอบซ่อนเล่มที่ตนอยากอ่านเอาไว้ที่อื่นเพื่อไม่ให้มีคนหาพบ ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าก็คงจะช่วยเจ้าไม่ได้แล้วล่ะ ตำราที่เจ้าอยากอ่านก็น่าจะซ่อนอยู่ในตู้ในตู้หนึ่งนี่ล่ะ หากมีวาสนาเจ้าคงหาเจอ”
ชิงเว่ยเว่ยกวาดตามองไปรอบๆ ทั้งยังเงยหน้าขึ้นมองระเบียงชั้นสองด้วยความสิ้นหวัง หนังสือที่นี่ว่ากันว่ามีจำนวนเท่าในวังหลวง แล้วอย่างนี้นางจะเอาปัญญาที่ไหนมาค้นหาตำราที่มีผู้คิดจะซุกซ่อนเอาไว้ เด็กหญิงเดินคอตกออกจากหอสมุด สวนทางกับอาจารย์ไต้ที่เดินเข้ามาพอดี
“อ้าว! ชิงเว่ยเว่ย เจ้าจะไปไหนล่ะนั่น?”
เด็กหญิงสะดุ้ง ไม่คิดว่าไต้เส้าจวินจะมาหอสมุด นางอุตส่าห์หลบสายตาคมกริบของเขาโดยหลอกล่อให้สหายทั้งสามคอยจับตาดูไว้
“เว่ยเว่ย! พวกเรามาแล้ว!” เสียงของเด็กทั้งสามเอะอะอยู่ข้างหลัง
ซิวลู่ฉิงรีบลากข้อมือของชิงเว่ยเว่ยให้หลบอาจารย์ไต้ออกมา เด็กทั้งสี่ยกโขยงตามกันไปที่ข้างหอสมุดจุดเดิมที่นัดหมายระเบียงด้านข้างที่ค่อนไปเกือบจะท้ายหอสมุด แล้วทั้งสี่คนก็นั่งขัดสมาธิหันหน้ามาล้อมวงกัน
“เป็นไง? เจ้าหาตำราเล่มที่ว่าเจอหรือไม่?”
“ไม่เจอเลย” ชิงเว่ยเว่ยจึงเล่าเรื่องที่บรรณารักษ์บอกให้สหายทั้งสามฟัง
“อืม...เจ้าคนเดียวก็ไม่อาจจะหาตำรานั้นเจอได้แน่ หอสมุดกว้างใหญ่ขนาดนี้ เดี๋ยวพวกเราจะช่วยหาเอง หาไปเรื่อยๆ วันหนึ่งก็คงพบ” ซิวอี้เซิงเอ่ยอย่างสุขุม แต่ทำเอาชิงเว่ยเว่ยสะอึก
“วันหนึ่งน่ะนะ...เฮ้อ! ข้าล่ะปวดใจจริงๆ”
“เอาน่าๆ เรื่องตำราพักไว้ก่อนเถอะ เจ้าจะเสียใจตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เอาเรื่องที่หัวหน้าซิวบอกว่าสำคัญมากจะดีกว่า” ฉีเหยียนร้อนใจเพราะเมื่อเช้า ซิวอี้เซิงบอกกับเขาว่าชิงเว่ยเว่ยมีเรื่องเด็ดจะเล่าให้ทุกคนฟัง
“เอาล่ะ รองหัวหน้าชิง เจ้าเล่าเรื่องอาจารย์ไต้มาได้แล้ว” ซิวอี้เซิงทักท้วงขึ้น เขาอุตส่าห์เก็บความอยากรู้ไว้ตั้งแต่เมื่อวาน
ตอนที่เด็กทั้งสามกำลังข้ามถนนไปแอบอยู่ใกล้ๆ ประตูจวนของอาจารย์ไต้ รถม้าสกุลซิวก็ผ่านมาพอดี พ่อบ้านสกุลซิวตาดีนัก เขามองเห็นคุณชายกับคุณหนูทั้งสองเข้าพอดีก็รีบสั่งให้จอดรถม้าแล้วกระโดดลงไปหาเจ้านายทั้งสอง อีกทั้งยังเชิญให้กลับคฤหาสน์ สองพี่น้องสกุลซิวอ้าปากค้างจำต้องลาชิงเว่ยเว่ย กลับด้วยความเสียดาย ยามนั้นรถม้าของอาจารย์ไต้ก็มาถึงหน้าประตูจวนพอดี ชายหนุ่มที่มองเห็นลูกศิษย์ตัวน้อยของตนเองยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าบ้านกำลังจะออกมาทักทาย นางก็รีบวิ่งหนีไปในทันที
“อืม...ข้าจะเล่าแบบรีบๆ เลยนะ ช่วยกันมองไปรอบๆ ให้ที ไม่มีใครมาได้ยินอีกใช่หรือไม่?” คนทั้งสามที่อยากฟังสุดๆ ก็รีบมองไปรอบๆ
“ไม่มีๆ ไม่มีคนแล้ว!” คนที่เหลือพยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่ซิวอี้เซิงเอ่ย
ชิงเว่ยเว่ยจึงได้เริ่มต้นเล่าเงื่อนงำในคดีของบิดาอาจารย์ไต้ให้ทุกคนฟัง
“ที่บิดาเจ้าพูดมาน่าสนใจจริงๆ เสียด้วย” ซิวลู่ฉิงพยักหน้าพออกพอใจ “เหมือนตอนหนึ่งในนิยายนักสือยุทธภพเลย”
“ตอนไหนหรือ?”
“ในเล่มสามได้กล่าวถึงคดีการเปลี่ยนศพของมือปราบผู้หนึ่งโดยการทำลายโฉมแล้วเผาไฟเสีย แต่ความจริงคนผู้นั้นยังไม่ตายนะมีคนเอาเขาไปซ่อนไว้เพื่อหวังให้เขาบอกที่ซ่อนของตราประทับสำคัญ”
“เจ้าว่าเรื่องนี้อาจารย์ไต้รู้หรือไม่?” ฉีเหยียนหันมาสอบถามชิงเว่ยเว่ย
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้ เพียงแต่ก็สงสัยอยู่ว่าหากอาจารย์ไต้รู้ว่าการตายของบิดามีเงื่อนงำมีหรือเขาจะนิ่งเฉยอยู่อย่างนี้”
“หากว่าอาจารย์ไต้รู้ก็ต้องมีการรื้อคดีนี้ขึ้นมาสิ แต่บิดาของข้าก็มิได้บอกว่ามีการสืบเสาะเพื่อหาข้อพิสูจน์อีกครั้งเลยนี่?” ชิงเว่ยเว่ยทำหน้าฉงน
“เจ้าว่าบิดาอาจารย์ไต้เสียชีวิตไปเมื่อสองปีก่อน มิใช่ว่าตอนนั้นอาจารย์ไต้ยังท่องยุทธภพอยู่หรือ?”
“เหตุใดเจ้าจึงรู้ล่ะฉิงเอ๋อร์?”
“ข้าบังเอิญได้ยินอาจารย์ไต้กับอาจารย์จงคุยกันน่ะสิ!”
*******************************