หลังเลิกเรียนวันต่อมาชิงเว่ยเว่ยตรงไปสำนักทะเบียนราษฎร์ในศาลาว่าการเมืองหลวง เจ้าหน้าที่เห็นคุณหนูน้อยมาติดต่อขอพบก็รู้สึกแปลกใจ ยิ่งนางสอบถามว่าอยากจะขอดูทะเบียนราษฎร์คนผู้หนึ่งเขาก็ยิ่งไม่ไว้ใจ
“เจ้าเป็นผู้ใด? มาขอดูทะเบียนราษฎร์ผู้อื่นเช่นนี้ไม่สมควรอย่างยิ่ง”
เด็กหญิงแสร้งร้องไห้สะอึกสะอื้น “ข้าเป็นหลานสาวที่มาจากบ้านนอกของท่านลุง ติดตามหามานานหลายปี เดินทางมากับท่านย่าที่แก่ชรามาก ยามนี้รออยู่ศาลเจ้าสองซอยถัดไป มีคนแนะนำว่าให้มาสอบถามที่สำนักทะเบียนราษฏร์จึงได้มาเจ้าค่ะ”
“อ้อ!” เจ้าหน้าที่เห็นอาการเศร้าโศกและน้ำตาที่ไหลพรากของเด็กน้อยแล้วก็รีบกุลีกุจอช่วยหาให้นาง “ได้ๆ เจ้าบอกว่าเขาเป็นขุนนางกรมกลาโหมเดิมหรือ?”
“เจ้าค่ะ ข้าได้ยินคนบอกกันว่าก่อนจะถูกโจรป่าฆ่าตาย เป็นขุนนางขั้นสี่”
“เอ๊ะ! เรื่องนี้ข้าคุ้นๆ นะ” คนผู้นั้นหายเข้าไปห้องเก็บทะเบียนราษฏร์พักหนึ่งก็เดินออกมา หยิบผ้ามาเช็ดฝุ่นแล้วกางสมุดเล่มใหญ่นั้นออก ไล่นิ้วไปตามลำดับก่อนจะร้องออกมา “เจอแล้วๆ”
“ไหนเจ้าคะ?” ใบหน้าที่ยังเปรอะคราบน้ำตาของเด็กหญิงเต็มไปด้วยความยินดี นางชะโงกหน้าไปอ่านลำดับผังคนในครอบครัวของขุนนางไต้จี้หลิงด้วยความตื่นเต้น
“ข้าขอคัดลอกรายชื่อคนในครอบครัวเพื่อจะได้ไปตามหาพวกเขาหน่อยนะเจ้าคะ” นางละล่ำละลักด้วยความยินดี ขอยืมกระดาษและพู่กันของเจ้าหน้าที่มาคัดลอกเอาชื่อผู้คนในครอบครัวของอาจารย์ไต้เอาไว้ทั้งหมด “ใต้เท้าเจ้าคะ ไม่ทราบว่ายังมีญาติของท่านลุงที่ยังรับราชการอยู่ในเมืองหลวงหรือไม่?”
“ไม่มีแล้วนะ ได้ยินว่าน้องชายของใต้เท้าไต้ เออ...ท่านอาของเจ้าเป็นทหารย้ายไปประจำการที่เมืองไท่หยางนานแล้ว เห็นทีเจ้ากับท่านย่าคงเดินทางไปตามหาพวกเขาไม่ไหวหรอก ไปตามคนที่เหลือในเมืองหลวงให้เจอก่อนเถอะ”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”
เด็กหญิงชิงเว่ยเว่ยออกจากสำนักทะเบียนราษฎร์ด้วยรอยยิ้ม นางเก็บรายชื่อครอบครัวไต้ไว้ในสาบเสื้อแล้วเดินไปหาสาวใช้ทั้งสอง
“ได้เรื่องหรือไม่เจ้าคะ?”
“อืม...เป็นไปตามที่ข้าต้องการ กลับกันเถอะ”
จ้งซูกับจ้งหนิงไม่กล้าซักไซ้ให้มากความ ในเมื่อคุณหนูสี่ต้องการจะแวะมาสำนักทะเบียนราษฎร์ก่อนกลับจวนพวกนางก็พามาแวะ ยังดีกว่าตอนที่คุณหนูบอกให้รอที่หน้าหอสมุดแล้วหายเข้าป่าไปก็แล้วกัน
ชิงเว่ยเว่ยรีบรับประทานอาหาร เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเข้าไปยังห้องหนังสือ นางกางกระดาษที่ได้มาออกอ่าน นางได้ยินชื่อบิดาของเขาจากใต้เท้าชิง ส่วนชื่อมารดาของเขานั้น....คุ้นๆ ชอบกล!
‘ไต้จี้หลิงไม่มีอนุภรรยา น้องชายของเขาที่เป็นทหารผู้นั้นก็ไม่มีเช่นกัน ช่างเป็นครอบครัวที่ยึดมั่นในคู่ของตน’
พี่สาวของเขาชื่อไต้ลี่หลินแต่งงานกับเหยียนฉือขุนนางขั้นเจ็ดกรมกลาโหม ดูจากอายุแล้วเหยียนฉือผู้นี้ก็ถือว่าก้าวหน้าในการงานพอสมควร ในทะเบียนราษฏร์รู้ได้เพียงวันเดือนปีเกิดและสายสัมพันธ์ในครอบครัวเท่านั้น ปีเกิดของเขาก็เป็นอย่างที่นางคาดเอาไว้ เขาอายุมากกว่าร่างเดิมของนางไม่กี่ปี ไต้เส้าจวินปีนี้อายุยี่สิบสี่ปีแล้ว เป็นเพราะเขาออกจากเมืองหลวงไปหลายปีและเพิ่งกลับมาจึงยังไม่ได้แต่งงานตามประเพณีแต่ไม่รู้ว่าระหว่างออกเดินทางนั้นเขาได้ผูกสมัครรักใคร่กับสตรีคนใดไว้บ้าง?
“คุณหนูเจ้าคะ นอนเถิดเจ้าคะ พรุ่งนี้ยังต้องตื่นไปเค่อเฉิงแต่เช้า”
“อืม...นอนแล้วๆ” จ้งซูเข้ามาเร่งทำให้ชิงเวยเว่ยต้องรีบซ่อนกระดาษแผ่นนั้นเอาไว้ในตำราค่ายกลเล่มใหญ่ที่ได้มาจากจินวั่งซู
‘ข้าต้องไปดูจวนของอาจารย์ไต้ผู้นี้สักหน่อย’
แผนการที่เด็กหญิงคิดว่าจะแอบไปสืบตามลำพังกลายเป็นแผนแตกเมื่อซิวลู่ฉิงรู้สึกสงสัยในพฤติกรรมแปลกๆ ของนางจนสั่งให้รถม้าเลี้ยวตามรถม้าสกุลชิงไปจนถึงตรอกแห่งหนึ่ง ชิงเว่ยเว่ยมองซ้ายมองขวาก่อนจะพุ่งเลี้ยวไปถนนด้านหน้า ขณะที่กำลังจ้องประตูจวนสกุลไต้
ตึบ! ตึบ!
“เฮ้ย!”
“จุ๊ๆ พวกเราเอง” ซิวลู่ฉิงหัวเราะอิ๊กอั๊ก โดยมีซิวอี้เซิงยืนเท้าสะเอวอยู่ข้างหลัง เอียงคอเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่า ‘เจ้ากำลังจะทำอะไร?’
“เอ่อ...ข้ากำลังตามสืบ”
“หัวหน้าซิว นางสืบเรื่องอาจารย์ไต้น่ะ” ซิวลู่ฉิงผู้หัวไวมองไปตรงฝั่งตรงข้าม เมื่อเห็นป้ายประตูข้างหน้าก็รีบบอกพี่ชาย ซิวอี้เซิงชอบให้ทุกคนเรียกตนว่าหัวหน้าซิว ไม่เว้นแม้แต่น้องสาวที่คลานตามกันมาอย่างซิวลู่ฉิง
“เจ้าว่ามาซิ! เหตุใดต้องมีความลับกับพวกเราด้วย?”
ชิงเว่ยเว่ยกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง ‘เจ้าเด็กแสบพวกนี้ เผลอไม่ได้เลยเชียว ดันรู้ทันข้าได้ อุตส่าห์แอบมาก็ยังจะตามมาอีก’
“ข้าคิดว่าจะสืบให้แน่ชัดแล้วค่อยบอกพวกเจ้าน่ะ”
“เอาเถอะๆ เดี๋ยวพวกเราค่อยสอบสวนเจ้าทีหลัง ว่าแต่เจ้าคิดจะแอบมาทำอันใดที่จวนสกุลไต้ ไม่ใช่ว่าเจ้าคิดจะแอบมาดูหน้าภรรยาของอาจารย์ หรอกนะ”
“เอ๋? มิได้ๆ ข้าคิดจะมาดูมารดาของอาจารย์ต่างหาก”
สองพี่น้องสกุลซิวทำหน้าประหลาดใจ “เหตุใดต้องมาหามารดาของอาจารย์ไต้ด้วย?”
ชิงเว่ยเว่ยรู้ว่าการปกปิดเด็กสองคนนี้ไปก็คงไม่เกิดประโยชน์ ถ้าอย่างนั้นก็ให้สหายน้อยทั้งสองช่วยนางหาคำตอบจะดีกว่า นางก็ลดเสียงลง
“ฉิงเอ๋อร์ ข้ารู้มาว่ามารดาของอาจารย์ไต้เป็นสตรีในสกุลเซียว จะว่าไปวิทยายุทธ์ของอาจารย์ไต้ก็ไม่ธรรมดา เจ้าไม่สงสัยบ้างเหรอว่าอาจารย์ไต้สืบทอดวิชามาจากผู้ใด?”
“สกุลเซียวงั้นหรือ? เจ้าหมายถึง...บางทีจอมยุทธ์เซียวในนิยายนักสืบยุทธภพของข้าอาจจะเกี่ยวข้องกับอาจารย์ไต้”
“ข้าก็แค่สงสัยน่ะ เลยมาแอบดู”
ความจริงชิงเว่ยเว่ยมีเรื่องสงสัยเกี่ยวกับไต้เส้าจวินมากมาย รวมทั้งเรื่องที่ใต้เท้าชิงบอกกับนางว่าการตายของไต้จี้หลิงบิดาของไต้เส้าจวินที่รายงานขึ้นมานั้นดูมีลับลมคมในอยู่พอสมควร ทั้งศพที่ได้รับมาจากเมืองชิงหลิงก็ถูกเผาจนไหม้เกรียม มีเพียงเสื้อผ้าและมีดสั้นที่พกเท่านั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ว่านั่นคือใต้เท้าไต้ ชิงเว่ยเว่ยคิดอยากมาดูจวนสกุลไต้สักหน่อย ไม่คาดว่าวันนี้จะเจอซิวอี้เซิงกับซิวลู่ฉิง นางจึงได้ยกเอาเรื่องสกุลเดิมของมารดาอาจารย์ไต้มาเอ่ยอ้างเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจและนั่นก็ได้ผล
“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะให้ความร่วมมือกับการสืบครั้งนี้ของเจ้าอย่างเต็มที่” ซิวลู่ฉิงภาวนาให้อาจารย์ไต้ของตนเกี่ยวพันกับจอมยุทธ์เซียว จอมยุทธ์ที่เป็นวีรบุรุษในใจนาง!
************************