หลังเลิกเรียนซิวลู่ฉิงผู้ตื่นเต้นที่ได้รู้ว่าเหยี่ยวที่พวกตนเจอในป่าเขาไข่มังกรนั้นคือสัตว์เลี้ยงของอาจารย์ใหญ่หวังก็ชักชวนชิงเว่ยเว่ยให้พาไปยืนแอบดูที่หลังหอสมุด
“อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดจะขึ้นไปบนเขาไข่มังกรอีก” ซิวอี้เซิงย่องตามหลังมา พร้อมทั้งร้องเสียงดังทำเอาเด็กหญิงทั้งสองสะดุ้ง
“นี่หัวหน้าซิว! เจ้าทำข้าหัวใจแทบวายแล้วรู้หรือไม่?” ซิวลู่ฉิงเท้าสะเอวร้องด่าพี่ชายเสียงดัง
ชิงเว่ยเว่ยรีบจุ๊ปากเตือน “เจ้าอย่าเอะอะสิ ฉิงเอ๋อร์! ประเดี๋ยวเจ้าสายฟ้าก็ไม่ยอมออกมากันพอดี”
ฉีเหยียนมองเห็นด้านหลังซิวอี้เซิงไวๆ ก็รีบเดินตามมาสมทบ “พวกเจ้าไม่คิดจะชวนข้าบ้างเลยหรือ? ไหนว่าเป็นกลุ่มเดียวกัน แบบนี้ไม่มีความซื่อสัตย์เลยนี่นา พอมีเรื่องสนุกก็แอบมากันเอง”
“ใช่ที่ไหน? ข้าเป็นหัวหน้ากลุ่มนะ ย่อมต้องรักษากฎระเบียบเข้มงวดแต่สองคนนี้สิ แอบมาดูเจ้าสายฟ้าไม่แจ้งให้ข้ารู้”
“เออๆ พวกเจ้าอยากเห็นไหมล่ะ? เงียบกันได้แล้ว” ชิงเว่ยเว่ยดุเอา เด็กชายทั้งสองจึงยอมเงียบเสียง นั่งหมอบลงข้างๆ พุ่มไม้เตี้ยด้านหลังหอสมุด
ไม่นานนักเหยี่ยวสีเทาดำตัวใหญ่ก็ร้องเสียงแหลมบินโฉบมา หวังต้าจิ้งที่เดินออกมาจากป่าบนเขาไข่มังกรทะยานขึ้นฟ้า เหยี่ยวตัวนั้นโผมาเกาะแขนของชายชราเอาไว้ ทั้งสองราวกับบินได้ ลอยลงแตะเท้าบนโขดหินกลางทุ่งหญ้าที่อยู่ห่างจากเด็กทั้งสองไม่ไกลนัก
ซิวลู่ฉิงเกือบทะลึ่งตัวขึ้นร้องเรียกอาจารย์ใหญ่หวัง ทว่าชิงเว่ยเว่ยรู้ทันรีบดึงนางให้นั่งลง ใช้มือหนึ่งปิดปากสหายรักอีกมือทำทางจุ๊ปากไม่ให้นางพูดสิ่งใดออกมา ซิวอี้เซิงกับฉีเหยียนเห็นท่าทางของชิงเว่ยเว่ยก็รู้ว่านางกำลังห้ามพวกเขาส่งเสียง
อึดใจเดียวร่างของอาจารย์ไต้กับอาจารย์จงก็ทะยานตามมา อาจารย์ใหญ่หวังที่มีเหยี่ยวตัวใหญ่เกาะแขนหันไปหาชายหนุ่มทั้งสอง
“เห็นทีคงคนพวกนั้นคงแอบมาใช้ประโยชน์จากค่ายกล ที่ข้าห้ามไม่ให้เจ้าเข้าไปเพราะไม่รู้ว่าคนพวกนั้นทำสิ่งใดเอาไว้บ้าง บางทีจะเกิดอันตรายโดยไม่รู้ตัว ให้ข้าศึกษาให้รอบคอบเสียก่อน อย่างไรเสียพวกมันก็ออกจากป่านี้ไปไม่ได้?”
หวังต้าจิ้งครุ่นคิดด้วยความหนักใจ ค่ายกลของจอมยุทธ์ลู่ยากจะทำลายยากจะเปลี่ยนแปลง แต่บัดนี้กลับมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น เงาของคนจำนวนมากที่เขาเห็นอยู่ข้างในป่าเคลื่อนไหวว่องไวและซ่อนตัวรวดเร็ว ไม่รู้ว่าคนเหล่านี้มีจุดประสงค์ใดจึงเข้ามาในป่าเขาไข่มังกร
“อาจารย์ใหญ่หวัง ข้าให้คนคอยสังเกตการณ์รอบป่าเอาไว้แล้วขอรับ แต่พวกเขาก็ไม่เห็นว่ามีคนผิดปกติเข้าออก แสดงว่าคนพวกนี้อาศัยอยู่มานานแล้ว หรืออาจจะค่อยๆ แฝงกายมารวมกลุ่มกัน”
“เขาไข่มังกรสามารถเข้าถึงได้หลายด้าน คนที่มีบ้านเรือนอยู่ใกล้ล้วนเป็นขุนนางที่มีรั้วรอบขอบเรือนมิดชิด ไม่แน่ว่าคนพวกนี้อาจจะเป็นคนของขุนนางผู้ใดผู้หนึ่งเลี้ยงเอาไว้”
“ดูท่าคงจะเป็นเรื่องไม่ค่อยดีแล้วล่ะขอรับ”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น เขาเองก็คอยกำชับเด็กนักเรียนนักศึกษาของเค่อเฉิงให้ดี อย่าให้พวกเขาเข้ามาในเขตเขาไข่มังกรเป็นอันขาด”
“ขอรับ!”
จงกว้านซีที่ย้ายกลับไปดูแลฝั่งนักศึกษาระดับกลางและระดับสูง คอยหาเวลาว่างเดินมาแวะเวียนดูอาจารย์หญิงเกาคนงามอยู่หลายครั้ง ทว่านางกลับรักษามารยาทและสงวนท่าทีไม่ยอมสนิทสนมกับเขาโดยง่าย ขณะอาจารย์หนุ่มทั้งสองเดินลงเขา อาจารย์หนุ่มสอนดนตรีก็เอ่ยกับสหาย
“ข้ารู้สึกว่าเกาอ้ายเหม่ยมองเจ้าด้วยสายตาแปลกๆ เจ้ารู้สึกหรือไม่?”
ไต้เส้าจวินเองก็พอจะรู้สึกถึงสายตาที่ผิดปกติของนาง แต่เขาก็มิได้ชมชอบสตรีที่มีลักษณะเคร่งขรึมเย็นชา
“เจ้าคิดว่านางชอบข้าอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่จริงหรือไร? ตั้งแต่นางพบเจ้า ในสายตานางไม่เห็นมีข้าเลยสักนิด ข้าพูดด้วย นางก็ไว้ท่าทำตัวห่างเหิน แต่กลับพยายามเข้าใกล้เจ้า”
“กว้านซี ข้าบอกตามตรง ข้าใช่ว่าจะไม่รู้สึกว่านางลอบมองข้าบ่อยๆ เพียงแต่ข้าสงสัยว่าที่นางมองข้าใช่ความชมชอบหรือชิงชังกันแน่ บางครั้งสายตานางเหมือนกำลังประเมินข้าอยู่”
“เอ๋? ประเมินเจ้า”
“ใช่! เจ้าอย่าลืมสิว่านับตั้งแต่เข้าไปอยู่ในกองทัพและท่องยุทธภพข้ามีศัตรูไม่น้อย หากว่านางเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นแล้วคิดใช้กลยุทธ์สาวงามกับข้า หากข้าติดกับดัก ชีวิตจะไม่ยับเยินในมือนางหรอกหรือ? ระวังตัวไว้ก่อนดีกว่า สตรียิ่งงดงามก็ยิ่งอันตราย”
จงกว้านซีพยักหน้า “จริงของเจ้า คราวหน้าข้าจะลืมความงามของนางแล้วช่วยเจ้าสังเกตให้รอบด้าน”
เด็กทั้งสี่ได้ยินบทสนทนานั้นอย่างชัดเจน เมื่ออาจารย์ทั้งสามแยกย้ายกันไปหมดแล้วพวกเขาก็รีบถอยไปขึ้นรถม้าที่จอดรถหน้าประตูใหญ่ ซิวอี้เซิงจุ๊ปากบอกทุกคนเป็นเชิงว่านี่เป็นความลับ จากนั้นก็ทำท่าโบกมือแบบไล่ให้ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้านไปก่อน
ชิงเว่ยเว่ยครุ่นคิดเรื่องเกาอ้ายเหม่ยก็เห็นจริงอย่างที่ไต้เส้าจวินพูด แม้หญิงงามผู้นั้นจะแอบมองอาจารย์หนุ่มรูปงามอยู่บ่อยๆ แต่หลายครั้งก็เหมือนกับกำลังวางแผนวางบางอย่างอยู่ในใจ ชิงเว่ยเว่ยเองก็เคยเองก็คิดว่าเกาอ้ายเหม่ยเพิ่งเคยเห็นบัณฑิตหนุ่มรูปงามก็อาจจะต้องใจ ครั้นนึกถึงคำพูดของ ไต้เส้าจวินนางจึงได้รู้ว่าอาจารย์หนุ่มผู้นี้ระมัดระวังตัวยิ่งนัก
‘เคยอยู่ในกองทัพ ทั้งยังท่องยุทธภพอีกหลายปี ไต้เส้าจวินถึงกับเอ่ยปากมีศัตรูมากหน้า คนผู้นี้คงปะทะกับผู้อื่นมาไม่น้อย’
คุณหนูสี่สกุลชิงคิดเอาไว้ว่าคราวหน้าหากเจอหัวหน้าจินนางจะต้องแอบสอบถามเรื่องอาจารย์ไต้ผู้นี้สักหน่อย บางทีอาจจะได้รู้เบื้องหลังเบื้องลึกของเขา
เย็นวันนั้นจู่ๆ เป็นเวรที่บิดาจะต้องมาพักที่เรือนของอันซิยี่ผู้เป็นมารดาของชิงเว่ยเว่ย บิดาเรียกให้นางไปร่วมโต๊ะอาหาร
‘จริงสิ! พ่อของเว่ยเว่ยเป็นเจ้ากรมกลาโหมนี่? น่าจะรู้เรื่องของสกุลไต้บ้างไม่มากก็น้อย’
เด็กหญิงรีบขยับไปนั่งข้างบิดาด้วยความกระตือรือร้น “ท่านพ่อเจ้าคะ ในกองทัพเคยมีแม่ทัพสกุลไต้หรือไม่?”
“เอ๋? เจ้าเกิดสนใจเรื่องในกองทัพตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
“อาจารย์ประจำชั้นของข้ามีแซ่ว่าไต้ เห็นว่าเคยไปเป็นทหาร ข้าจึงเกิดสงสัยว่าตระกูลของอาจารย์เป็นทหารหรืออย่างไร?”
“คนแซ่ไต้หรือ? ไม่เคยมีผู้ใดปรากฏว่าเป็นระดับแม่ทัพนะ คนแซ่ไต้ในกรมกลาโหมของพ่อมีอยู่คนเป็นขุนนางระดับสี่ เขาเคยไปประจำอยู่เมืองชิงหลิง คราวหนึ่งร่วมกับทหารที่นั่นออกไปปราบโจรป่าแต่กลับถูกฆ่าตายในระหว่างการปราบปราม”
ชิงเว่ยเว่ยตากระตุก สัญญาณนี้ทำให้นางรู้ว่าการสืบกำลังมาถูกทางแล้ว
“หากข้าอยากสืบเรื่องครอบครัวของคนผู้นี้จะหาได้จากที่ใดเจ้าคะ?”
******************************