เช้าวันต่อมา อาจารย์ไต้ไปเดินตรวจห้องเรียน ในถังขยะท้ายห้องยังไม่มีคนเอาไปเท กระดาษม้วนหนึ่งไม่มีรอยยับดูเหมือนคนเอามาทิ้งจะไม่ได้เขียนผิดพลาดจนอารมณ์เสียอย่างผู้อื่นจึงมิได้ขย้ำทิ้ง ชายหนุ่มหยิบขึ้นมา
‘อืม...เขียนได้เป็นระเบียบมิได้ผิดพลาดนี่’ เขากวาดตามองก็ยังไม่เห็นว่ามีความผิดพลาดที่ใด เหตุใดเจ้าของงานจึงได้เอามาทิ้งเล่า?
‘เอ๊ะ! เขียนได้ดีเสียด้วยสิ’ ไต้เส้าจวินเปิดแผ่นแรกๆ ยังมีเขียนไว้เพียงสองสามบรรทัด ทว่าแผ่นสุดท้ายเขียนจนเต็มหน้ากระดาษ เมื่อเขาอ่านแล้วก็รู้ว่านี่คือบทวิจารณ์กลอนที่ให้นักเรียนทำเมื่อวาน เจ้าของลายมือเขียนได้อย่างดีเยี่ยมราวกับเรียนชั้นระดับสูง เขาจึงทิ้งแผ่นที่เหลือคืนลงในถังขยะแล้วนำเอาแผ่นที่ถือไว้ไปยังโต๊ะที่ตรวจงานเด็กนักเรียนเพื่อเทียบลายมือ
“เป็นชิงเว่ยเว่ยจริงตามคาด” ชายหนุ่มพึมพำด้วยความดีใจ สิ่งที่เขาคิดไว้ไม่ผิด ภายนอกอาจจะดูไม่น่าสนใจ นั่นเป็นเพราะเธอกำลังกลบเกลื่อนตัวตนเอาไว้ ไต้เส้าจวินคิดว่าตนเองต้องจับตามองลูกศิษย์คนนี้ให้ดี
ความคิดอ่านของเธอโตเกินตัว ความสามารถที่เยี่ยมยอดเช่นนี้ คนทั่วไปมักจะอยากอวดอ้างแต่ชิงเว่ยเว่ยกลับพยายามปกปิดเอาไว้ ไต้เส้าจวินยิ่งรู้สึกสงสัย เขาอ่านแผ่นงานทั้งสองแผ่นของเด็กหญิงยิ่งรู้สึกว่างานที่นางส่งมาดูเหมือนจะพยายามเขียนให้อยู่ในระดับเดียวกันกับเด็กคนอื่นๆ ในชั้น
“ไม่อยากได้ความโดดเด่น ไม่อยากเป็นอัจฉริยะ คนแบบนี้หายากนะ”
ไต้เส้าจวินเก็บผลงานดีเยี่ยมของชิงเว่ยเว่ยไปในลิ้นชักตู้ด้านหลังโต๊ะทำงาน เขาคงต้องตามหาคำตอบนี้ด้วยตนเอง จงกว้านซีเดินเข้ามาเห็นสหายหน้านิ่วคิ้วขมวด
“เจ้าเป็นอะไร? มีเรื่องไม่สบายใจหรือ?”
“เปล่าหรอก ข้าแค่มีเรื่องสงสัยน่ะ เอาไว้มีคำตอบแล้วจะเล่าให้ฟัง”
ชิงเว่ยเว่ยมาถึงโรงเรียนแต่เช้า ซิวอี้เซิงหัวหน้ากลุ่มฉีหลินเรียกประชุมลับข้างหอสมุด พวกเขาจึงสุมหัวพูดคุยกันโดยเอาหัวทั้งสี่มาชนกันไว้เป็นวงกลมแล้วปรึกษาหารือ ดวงตาของหัวหน้าซิวกลอกไปมา
“วันนี้ ใครมีเรื่องจะพูดบ้าง?”
ซิวลู่ฉิงในฐานะผู้ติดตามนิยายแนวนักสืบเหลือบตามองชิงเว่ยเว่ย
“เว่ยเว่ย ข้าคิดว่าเจ้ามีเรื่องอยากจะเล่าให้พวกเราฟังใช่หรือไม่?”
“เหตุใดจึงเป็นข้าได้เล่า?”
“เพราะดวงตาของเจ้าดูมีความลับ”
“เอ๋? เจ้ารู้ด้วยหรือ?”
“ข้าบอกแล้วว่าข้าเป็นนักสืบเซียว”
“อ้าว! ไหนเจ้าบอกว่าคนแซ่เซียวในนิยายนักสืบยุทธภพของเจ้าเป็น จอมยุทธ์ ตอนนี้เป็นนักสืบไปแล้วหรือ?”
“ก็เป็นนักสืบที่เป็นจอมยุทธ์อย่างไรล่ะ? เพื่อให้เจ้าเข้าใจเรื่องนี้ ข้าถือติดกระเป๋ามาด้วยเพื่อให้เจ้าได้อ่าน”
“อ๋า...ข้าบอกตอนไหนว่าข้าอยากอ่านนิยายของเจ้า?”
“ถึงเจ้าไม่บอก เจ้าก็ต้องอ่านเพราะเราเป็นสหายกัน เดี๋ยวคุยกันไม่รู้เรื่อง ข้ารับรองว่าเรื่องนี้สนุกจริงๆ นะ”
ซิวอี้เซิงเห็นน้องสาวตนเองมัวแต่นำเสนอนิยายกึ่งยัดเยียดให้ชิงเว่ยเว่ยอ่านก็รีบตัดบท “เอาล่ะๆ ตกลงว่าเว่ยเว่ยมีเรื่องจะเล่าให้พวกเราฟังหรือไม่?”
“มีก็มี!” ชิงเว่ยเว่ยเองก็คันปากอยากเล่าให้เด็กทั้งสามฟังยิ่งนัก “ตกลงว่าเหยี่ยวที่มาช่วยเราตัวนั้น ที่แท้เป็นเหยี่ยวเลี้ยงของอาจารย์ใหญ่หวังต้าจิ้ง มันชื่อว่าสายฟ้า”
“โอว....ชื่อดีนัก เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามันชื่อนั้น?”
คุณหนูสี่สกุลชิงจึงได้เล่าเรื่องที่นางไปพบคุณชายจินและพี่รองที่สำนักข่าวนกกระจิบ รวมทั้งได้รู้ประวัติของอาจารย์ใหญ่หวังเพิ่มเติมจากที่ฉีเหยียนได้เล่าไว้
“อืม...คุณชายจินรู้ละเอียดดีจริง” ฉีเหยียนฟังแล้วรู้สึกชื่นชมในตัวจินวั่งซูมากขึ้นไปอีก
“เจ้าไม่เคยได้ยินหรือว่าคุณชายจินผู้นั้นรู้เรื่องชาวบ้านละเอียดละออราวกับไปแอบอยู่ใต้เตียง ทั้งมีความสามารถในการแก้ค่ายกลและวิชาตัวเบา เป็นเลิศ”
เด็กทั้งสามส่ายหน้า ชิงเว่ยเว่ยจึงถือโอกาสสาธยายคุณสมบัติอันเลอเลิศของหัวหน้าจินของตนให้ทุกคนได้รับทราบ
“ที่สำคัญข้าบอกเขาไว้แล้วว่าวันหยุดสุดสัปดาห์นี้จะพาพวกเจ้าไปพบหัวหน้า เอ๊ย! คุณชายจิน พวกเราจะได้สมัครเป็นสายลับ”
“ว้าว! ยอดเยี่ยมๆ” ซิวลู่ฉิงแทบจะกรี๊ดออกมา นางใฝ่ฝันอยากเป็นนักสืบที่เก่งกาจและต่อไปจะเป็นตุลาการหญิงคนแรกของแคว้นจิน
“เจ้าเก่งมากรองหัวหน้าเว่ยเว่ย พวกเรากลุ่มฉีหลินคราวนี้จะได้เป็นนักสืบตัวจริงเสียที ข้าอยากรู้มานานแล้วว่าเครือข่ายของคุณชายจินมีมากเพียงใด เหตุใดสำนักข่าวนกกระจิบจึงรู้ทุกข่าวว่องไวกว่าทางการ?”
“ข้าว่าพวกเราคงมีคนในสังกัดเยอะมากล่ะ ไม่เช่นนั้นคงไม่อาจตั้งสำนักข่าวที่ได้รับความไว้วางใจได้หรอก”
ซิวอี้เซิงหรี่ตา “นั่นเป็นสิ่งที่พวกเราต้องสืบหาความจริงกันต่อไป”
ฉีเหยียนเห็นสหายทั้งสามล้วนตื่นเต้นกับการที่จะได้เป็นนักสืบ เขาเองก็พลอยนึกสนุกไปด้วย ที่ผ่านมาท่านพ่อเอาแต่บังคับให้เขาอ่านและท่องตำรา ไม่ค่อยได้ออกจากเรือน เมื่อมีสหายทั้งสามจึงพอได้ผจญภัยบ้าง”
“ฉิงเอ๋อร์ นิยายของเจ้าให้ข้ายืมอ่านบ้างได้หรือไม่?”
“เจ้าต้องรอให้เว่ยเว่ยอ่านเล่มแรกจบก่อน พอนางอ่านเล่มสองเจ้าค่อยยืมเอาเล่มหนึ่งไปอ่านที่บ้าน”
“ได้ๆ ข้าจะต่อแถวรออ่านก็แล้วกัน ว่าแต่หัวหน้าซิวเรื่องนี้ท่านอ่านแล้วหรือ?”
ซิวอี้เซิงทำหน้าแหย “ข้าฟังฉิงเอ๋อร์เล่าจนเบื่อแล้ว บางทีนางก็บังคับให้ข้านั่งฟังตอนนางอ่านออกเสียง เจ้าถามมาเลยตอนไหนบ้างที่ข้าไม่รู้?”
“อ้อๆ” ฉีเหยียนพลันนึกออกว่าหัวหน้าซิวไม่ชอบการอ่านตำราอื่นๆ ที่นอกเหนือจากตำราอาวุธและสงคราม นิยายจึงนับเป็นยาขมสำหรับเขา
ชิงเว่ยเว่ยเห็นว่าใกล้เวลาเข้าเรียนแล้วก็รีบตัดบท “เรื่องไปสมัครเป็นสายลับอย่าเพิ่งแพร่งพรายเด็ดขาด พวกเจ้ารีบไปขออนุญาตที่บ้านเอาไว้ วันหยุดนี้เราจะนัดพบกันที่โรงน้ำชานกกระจิบ”
“ได้!” เด็กทั้งสามรับคำพร้อมกัน
ไต้เส้าจวินกับจงกว้านซีที่ยืนมองจากระเบียงหันมาสบตากัน
“เจ้าว่าพวกเขากำลังละเล่นหรือว่าหารือกัน?”
“ข้าว่าเด็กพวกนี้คงคิดอุตริได้อีกแน่ แต่ไม่รู้เหตุใด? ทั้งที่มีคนสุขุมอย่างชิงเว่ยเว่ยอยู่ในกลุ่ม แต่นางกลับไม่ห้ามปรามสหาย” ไต้เส้าจวินประเมินจากความสามารถในการเขียนวิจารณ์บทกลอนของชิงเว่ยเว่ยแล้วเห็นว่านางต้องเป็นเด็กที่มีความคิดอ่านมากกว่าอีกทั้งสามคนที่เหลือ
จงกว้านซีหันกลับมามองหน้าสหายรูปงาม “เจ้าจะให้นางเป็นผู้ใหญ่ได้อย่างไร? เจ้าก็ดูสิ! นางเพิ่งสิบเอ็ดขวบเองนะ ซ้ำยังมาเรียนกับพวกที่โตกว่าตั้งหนึ่งปี อ้อ...ข้าลืมไปยังมีซิวลู่ฉิงอีกคนที่อายุเท่ากับชิงเว่ยเว่ย”
“หรือว่าข้าจะคิดมากไปจริงๆ” ไต้เส้าจวินเห็นท่ารวมศีรษะของเด็กทั้งสี่แล้วรู้สึกสับสน
***********************