เช้าวันที่ต้องมาเรียนตามปกติ เป็นไปตามที่ชิงเว่ยเว่ยคาดเอาไว้ อาจารย์ใหญ่หวังเรียกให้กลุ่มฉีหลินเข้าไปหาในห้องทำงานส่วนตัว โดยมีอาจารย์ไต้และอาจารย์จงยืนฟังอยู่ข้างๆ
“เรื่องที่พวกเจ้าทั้งสี่แอบขึ้นไปบนเขาไข่มังกรซึ่งเป็นที่ต้องห้ามของสถาบันเค่อเฉิง ครั้งนี้ข้าจะยังไม่ลงโทษถือว่าเป็นความบกพร่องของอาจารย์ที่ดูแลพวกเจ้าที่ยังไม่แจ้งให้ทราบ หากมีคนถามให้บอกเพียงว่าขึ้นไปกินอาหารกันโดยไม่รู้และพลัดหลงเข้าไปในป่า มีข้ากับอาจารย์อีกสองคนไปช่วยออกมา ห้ามเล่ารายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวกับป่าโดยเด็ดขาด ไม่ว่าพวกเจ้าจะสังเกตเห็นสิ่งใดขอให้ปิดปากให้สนิทเพราะนี่อาจจะไม่ใช่เรื่องธรรมดา”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ”
อาจารย์ไต้เดินนำหน้าเด็กทั้งสี่กลับเข้ามายังห้องเรียนและได้ประกาศ ข้อห้ามให้เด็กนักเรียนระดับเบื้องต้นทั้งสามห้องได้ทราบ รวมถึงการต้อนรับอาจารย์หญิงของชั้นเรียนระดับเบื้องต้นที่เพิ่งเดินทางเข้ามาสอนที่สถาบันเค่อเฉิงในวันนี้เป็นวันแรก
“พวกเรามีอาจารย์มาใหม่เป็นสตรี แซ่เกาชื่ออ้ายเหม่ย เดินทางมาจากเมืองชิงหลิง จะมาเป็นอาจารย์ประจำชั้นห้องสองแทนอาจารย์จงที่จะกลับไปสอนดนตรีชั้นระดับกลางและระดับสูงเหมือนเดิม”
จงกว้านซีผู้กลายเป็นอดีตอาจารย์ที่ปรึกษาของชั้นเรียนเบื้องต้นห้องสองยิ้มกว้างด้วยความพอใจเมื่อเห็นหญิงสาวในชุดสีส้มงดงามก้าวเท้าออกมาจากด้านข้างของอาจารย์ใหญ่หวังและผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่อู๋ซีฮัน เกาอ้ายเหม่ยผู้นี้งดงามสมคำร่ำลือ เด็กนักเรียนทั้งหลายส่งเสียงฮือฮาชื่นชมในความงามของนาง
ซิวลู่ฉิงเอียงหน้าไปหาชิงเว่ยเว่ย “ดีนะที่ห้องเราได้อาจารย์ประจำชั้นเป็นอาจารย์ไต้รูปงาม อาจารย์เกางดงามเกินไปจริงๆ”
“ปัดโธ่! นางงดงามมากต่างหาก ข้าไม่คิดเลยว่าในสำนักศึกษาจะมีสตรีรูปโฉมเลอเลิศเช่นนี้มาเป็นอาจารย์ เห็นร่ำลือว่านางเก่งกาจมากจนผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่อู๋ซีฮันต้องไปขอร้องให้นางมาช่วยสอนที่นี่”
“อืม...ถ้าเช่นนั้นหากนางมาสอนพวกเรา ข้าจะต้องตั้งใจเรียนให้มาก” ซิวลู่ฉิงนิยมบุรุษรูปงาม แต่หากเป็นสตรีขอเพียงเป็นคนมีความสามารถนางก็ชมชอบทั้งนั้น
ไต้เส้าจวินเหลือบมองชิงเว่ยเว่ย นับตั้งแต่วันที่เขาไปช่วยเด็กทั้งสี่คนลงจากเขาไข่มังกร เขาติดใจท่าทีที่ดูสงบนิ่งต่างจากเด็กอีกสามคนที่ทั้งอิดโรยและดูตื่นตระหนก แม้แต่ซิวอี้เซิงที่ปกติดูใจกล้าวันนั้นก็ยังมีสีหน้าหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด สาวน้อยบุตรีอนุภรรยาของเจ้ากรมกลาโหมผู้นี้แววตาระแวดระวังและคล้ายลอบสังเกตทุกอย่างรอบตัว นางดูไม่เหน็ดเหนื่อยเหมือนคนอื่นๆ ทั้งพละกำลังก็ดูแข็งแกร่งกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
เขาสงสัยว่านางอาจจะเหมือนพระชายาชิงหลานที่ร่ำลือกันว่ามีวรยุทธ์สูงส่ง แม้จะมีน้อยคนเคยเห็นนางใช้กระบี่ทิวาราตรี แต่ก็ยังมีเรื่องซุบซิบเล็ดลอดออกมาว่าพระชายาเอกของท่านอ๋องสิบห้าผู้นี้สามารถแยกร่างได้เป็นสอง โดยทั้งสองร่างถือกระบี่คนละเล่มแล้วผนึกกำลังกันต้านศัตรู บางทีสกุลชิงอาจจะมีความลับเรื่องวรยุทธ์ที่มิได้เปิดเผย และชิงเว่ยเว่ยผู้นี้ก็อาจจะมีความสามารถอย่างพี่สาวของนาง
“เจ้าเขียนเสร็จหรือยัง?”
“เสร็จแล้ว” ชิงเว่ยเว่ยเลื่อนคำวิจารณ์บทกลอนที่อาจารย์ให้พวกนางทำการศึกษาแล้วเขียนออกมาเลื่อนให้กับซิวลู่ฉิงดูอย่างเกียจคร้าน
ซิวลู่ฉิงอ่านแล้วจุ๊ปากเบาๆ “เจ้าเขียนได้ดีจริง อย่างนี้อาจารย์ก็คงให้คะแนนเต็มเจ้าคนเดียวสิ”
ชิงเว่ยเว่ยตกใจรีบดึงกลับมาอ่านอีกครั้ง นางรู้สึกว่าตนเองเผลอเขียนดูคล้ายเด็กโตเกินไป จึงตัดสินใจซ้อนแผ่นนั้นไว้ล่างสุด จากนั้นก็หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนใหม่อีกครั้ง
“ฉิงเอ๋อร์ เจ้าอย่าพูดไป ข้าว่าหากข้าส่งแบบนั้นอาจารย์คงคิดว่าข้าให้พี่ชายเขียนให้ เอาเป็นว่าข้าเขียนใหม่ก็แล้วกัน”
“เออ...จริงด้วย! พี่ชายของเจ้าอยู่ชั้นระดับกลาง ซ้ำยังเป็นอันดับต้นของระดับชั้นอีก ไม่แปลกหรอกที่เขาจะเคยสอนเจ้าเอาไว้” ซิวลู่ฉิงคล้อยตามที่ชิงเว่ยเว่ยพูด นางไพล่คิดว่าพี่ชายของชิงเว่ยเวยอาจจะเคยวิจารณ์กลอนบทนี้ให้น้องสาวฟังมาก่อน
ชิงเว่ยเว่ยพยักหน้านางก็อยากให้ซิวลู่ฉิงเชื่อตามนั้น ความรู้ของ ชิงเว่ยเว่ยในยามนี้เทียบเท่านักศึกษาในระดับสูง ในเมื่ออายุของร่างนี้เพียงแค่ สิบเอ็ดปีนางจึงพยายามจะไม่แสดงความฉลาดที่เหนือกว่าวัยออกมาให้มากนัก เพราะนางเรียนรู้ว่าการพยายามใช้ชีวิตให้ปกติคือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว นางไม่อยากให้ท่านพ่อท่านแม่คาดหวังในตัวนาง มีเพียงการฝึกวรยุทธ์เท่านั้นที่นางเห็นว่าต้องพยายามอย่างนัก
วันหนึ่งข้างหน้าที่นางจะต้องออกเดินทางไปเรียนรู้โลกกว้างวรยุทธ์คือสิ่งที่จะช่วยให้นางผ่านพ้นภัยอันตรายไปได้
“พวกเราไปกินข้าวด้วยกันเถอะ วันนี้ข้าห่อปลาตุ๋นน้ำแดงมาฝากพวกเจ้าด้วย จิงหานไปกำกับพ่อครัวให้ใช้ปลาตัวใหญ่ด้วยนะ”
หลังจากที่คุณชายน้อยรอดชีวิตลงมาจากเขาไข่มังกร ฉีเหยียนก็กล่าวสรรเสริญหัวหน้าซิวกับชิงเว่ยเว่ยที่ทำให้เขาไม่รู้สึกหวาดกลัวและให้กำลังใจในช่วงที่หลงทางอยู่ ทำให้จิงหานสาวใช้พี่เลี้ยงของฉีเหยียนปลาบปลื้มใจจนไปขอพ่อครัวให้ทำปลาตุ๋นน้ำแดงเพื่อนำมาให้เด็กทั้งสี่ให้รับประทานเป็นอาหารกลางวัน
“เยี่ยมเลย! ข้าไม่ได้กินปลาตุ๋นน้ำแดงมานานแล้ว” ซิวอี้เซิงเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น ระยะนี้มารดาของพวกเขาเน้นการรับประทานผักกับเนื้อไก่เพราะมีนักพรตมาทักว่าหากกินอาหารสองอย่างนี้แล้วจะทำให้มีโชคลาภ ซิวอี้เซิงกับ ซิวลู่ฉิงเบื่อเนื้อไก่แทบแย่เพราะต้องกินติดต่อกันมาเกือบเดือนแล้ว
“ส่วนของข้าน่าอร่อยกว่านั้น ท่านอ๋องสิบห้าให้คนส่งเนื้อกวางรมควันที่ทรงล่ามาได้เอามาส่งที่จวน ท่านแม่ใหญ่จึงทำพะโล้ วันนี้ข้าห่อมาเผื่อพวกเจ้าด้วย”
“โอว....วันนี้อาหารน่ากินทั้งนั้นเลย ข้าเคยกินเนื้อกวางครั้งหนึ่งแต่นานจนจำรสชาติไม่ได้แล้ว พูดแล้วก็น้ำลายไหล พวกเรารีบไปกินกันเถอะ”
ระเบียงทางเดินกว้างมีโต๊ะเล็กวางเรียงรายยาวไว้ข้างหนึ่ง บรรดาเด็กนักเรียนต่างมีสาวใช้หิ้วเอาปิ่นโตมาวางจองโต๊ะนั่งกับพื้นเอาไว้ สาวใช้ของเด็กกลุ่มฉีหลินจองที่นั่งเกือบสุดทางเดิน จิงหานเป็นสาวใช้ของฉีเหยียนเริ่มพูดคุยและคุ้นเคยกับจ้งซูและจ้งหนิงซึ่งเป็นสาวใช้ของชิงเว่ยเว่ย ส่วนสาวใช้ของพี่น้องสกุลซิวนั้นไม่ค่อยพูดค่อยจาเท่าใดนัก เอาแต่ฟังสตรีทั้งสามพูดคุยกัน
“พวกเรารีบเตรียมสำรับกันเถอะ พวกคุณชายเดินกันมาโน่นแล้ว” จิงหานรีบบอกคนอื่นๆ พวกนางจึงได้หยิบปิ่นโตมาเปิดแล้วเรียงไว้บนโต๊ะ
เด็กทั้งสี่ร้องว้าวพร้อมกันเมื่อเห็นขากวางตุ๋นพะโล้ที่ส่งกลิ่นหอม ซิวอี้เซิงกับซิวลู่ฉิงรีบรับถ้วยข้าวแล้วคีบเนื้อกวางมาชิม
“อร่อยมากจริงๆ เนื้อกวางของท่านอ๋องสิบห้านับว่าอร่อยยิ่งนัก” ก่อนหน้านี้เด็กทั้งสามยังไม่รู้ว่าที่แท้ชิงเว่ยเว่ยก็คือน้องสาวของพระชายาชิงหลานซึ่งเป็นพระชายาเอกของท่านอ๋องสิบห้าแต่เมื่อรู้แล้ว พวกเขาก็รบเร้านางทุกวันว่าอยากจะไปเข้าเฝ้าพระชายาชิงหลานที่สำนักข่าวนกกระจิบ
“ข้ามีข่าวดีจะบอกพวกเจ้าด้วย กินกันให้อิ่มก่อนเถิด”
**************************