บทที่ 22 กระดูกผิดปกติ

1269 คำ
“แสดงว่าอาจารย์ไต้ต้องสังเกตเห็นความผิดปกติบนโครงกระดูก” ซิวลู่ฉิงค่อยๆ ระงับความกลัวผี นางคิดตามชิงเว่ยเว่ย “เรื่องนี้เอ่ยถามตรงๆ ไม่ได้เสียด้วย เราคงสืบเอง” “ข้าว่าอย่าเพิ่งคิดให้ปวดหัวเลยดีกว่า รีบนอนให้เช้าเร็วๆ พรุ่งนี้เราจะได้เจอคุณชายจินกับพระชายาชิงหลาน” ซิวอี้เซิงรู้สึกว่าการมีชิงเว่ยเว่ยอยู่ในกลุ่ม ฉีหลินเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วเพราะนางจะนำพาให้พวกเขาได้กลายเป็นนักสืบเด็กกลุ่มแรกของแคว้นหมิง ชิงเว่ยเว่ยพยักหน้า “จริงของหัวหน้าซิว พรุ่งนี้ค่อยไปหารือหัว เอ๊ย! คุณชายจินกัน” พวกเขาจึงแยกย้ายกันไปนอน ซิวลู่ฉิงนอนกับชิงเว่ยเว่ย ส่วนเด็กชาย ทั้งสองไปนอนห้องรับรองแขก การผจญภัยในสุสานทำให้เด็กๆ ทั้งสามตื่นเต้นและเหน็ดเหนื่อยในขณะที่ชิงเว่ยเว่ยผู้มีวิญญาณของหญิงสาวอายุยี่สิบกว่ายังคงนอนลำดับเหตุการณ์ ‘เพราะเรื่องของไต้จี้หลิงแท้ๆ ทำให้ข้าไม่ได้อ่านตำราค่ายกลตามที่ตั้งใจ’ ซิวอี้เซิงตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ออกมาฝึกหมัดมวยกับชิงเว่ยเว่ย เขาเพิ่งรู้สึกว่าชิงเว่ยเว่ยแท้จริงเก่งยิ่งกว่าเขาเสียอีก ทุกกระบวนท่าที่เขาออกแรงไปนางล้วนรับไว้ได้ทั้งหมด จะว่าไปแทบจะง่ายดายสำหรับนางเสียด้วยซ้ำ “เว่ยเว่ย เจ้าต่อสู้ได้เก่งกว่าข้า เหตุใดอยู่ที่เค่อเฉิงจึงแสร้งอ่อนแอ?” “เป็นเด็กผู้หญิงหากแสดงตัวว่าเก่งเรื่องเช่นนี้ย่อมไม่เป็นประโยชน์ หัวหน้าซิวในฐานะที่เราเป็นกลุ่มฉีหลิน หวังว่าเจ้าจะช่วยข้าเก็บเป็นความลับ” “อืม...ได้!” ซิวอี้เซิงทบทวนแล้วว่าหากให้ผู้อื่นรู้ย่อมไม่ใช่ผลดีกับตัวเขาเช่นกัน จะปล่อยให้เด็กหญิงร่างบอบบางเช่นชิงเว่ยเว่ยเก่งกว่าหัวหน้าชั้นอย่างเขาได้อย่างไร? หลังการเรียนวิชาการต่อสู้จบลงเมื่อหลายวันก่อน เพื่อนร่วมชั้นก็พร้อมใจให้เขาเป็นหัวหน้าชั้นห้องที่หนึ่งเพราะเห็นว่าเขาต่อยตีได้เก่งที่สุด แน่นอนว่ากลุ่มเด็กผู้หญิงไม่ได้คิดเช่นนั้น พวกนางอยากได้คนเรียนเก่งอย่างเฉียนกวนต๋าเป็นหัวหน้า แต่เพราะเด็กผู้ชายมีมากกว่าจึงทำให้ซิวอี้เซิงชนะไปเพียงไม่กี่คะแนน ซ้อมหมัดมวยเสร็จทั้งสองก็แยกย้ายกันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมารับประทานอาหารเช้าร่วมกับใต้เท้าชิง ท่านปู่กับท่านย่าของชิงเว่ยเว่ยดีใจที่หลานมีสหายมาพักถึงบ้านจึงสั่งให้คนพ่อครัวทำอาหารสำหรับเด็กเพิ่มอีกหลายอย่าง ฉีเหยียนรู้สึกว่าบรรยากาศบนโต๊ะอาหารของสกุลชิงดีกว่าความคร่ำเคร่งของครอบครัวตนยิ่งนักเพราะเขาจะต้องคอยฟังท่านพ่อกรอกหูเรื่องการเป็น ขุนนางอยู่ทุกเช้าค่ำ แม้เขาจะตั้งใจร่ำเรียนและอยากจะเป็นอย่างที่ท่านพ่อพร่ำสอน ทว่าการที่ต้องฟังท่านพ่อบ่นเช่นนั้นมันก็เกินไปจริงๆ “เว่ยเว่ย เจ้าจะพาเพื่อนๆ ไปเข้าเฝ้าพระชายาชิงหลานกันหรือ?” “เจ้าค่ะ รับประทานอาหารเสร็จก็จะไปแล้ว” “มีไห่ฮ่าวคอยดูแลพวกเจ้า พ่อก็เบาใจ” แม้ปากจะพูดเช่นนั้นแต่ความหวาดระแวงก็ยังคงเกาะกุมหัวใจใต้เท้าชิง เพราะชิงเว่ยเว่ยเคยประสบเคราะห์กรรมหนักหนา เขาจึงได้หาคนฝีมือดีอย่าง ไห่ฮ่าวมาคอยดูแล ยามนี้ยังมีสหายน้อยของนางอีกถึงสามคน ใต้เท้าชิงจึงสั่งให้ผู้คุ้มกันตามไปเพิ่มขึ้นอีกหกคน รถม้าคันใหญ่ของจวนเจ้ากรมกลาโหมพาเด็กทั้งสี่ไปโรงน้ำชานกกระจิบที่มีอาคารข้างๆ เป็นสำนักข่าวที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั้งห้าแคว้น จินวั่งซูยืนยิ้มเมื่อเห็นชิงเว่ยเว่ยเดินนำหน้าเด็กทั้งสามคนเข้ามา พระชายาชิงหลานนั่งอยู่ประจำโต๊ะโบกพระหัตถ์ต้อนรับน้องสาวและสหายของนาง เด็กทั้งสี่คารวะพระชายาและคุณชายจินเรียบร้อยก็นั่งลงบนเก้าอี้ “พวกเจ้านั่งกันตามสบาย ข้าให้คนเตรียมขนมไว้รอแล้ว” ซิวลู่ฉิงร้องว้าวออกมา ขนมหน้าตาสวยงามพวกนั้นนางไม่เคยเห็นในร้านใดมาก่อน “นี่เป็นขนมวังหลวงหรือเพคะ?” “ถูกต้อง! เจ้าดูออกด้วยหรือ?” “หากหม่อมฉันไม่เคยเห็นมาก่อน เช่นนั้นก็คงไม่มีขายแล้วล่ะเพคะ” เด็กหญิงผู้ชอบกินยิ้มจนตาหยี ใบหน้าอวบอูมของนางน่าหยิกยิ่งนัก ด้วยความเป็นบุตรสาวของตระกูลคหบดีที่ร่ำรวยขนมทุกอย่างที่เลิศรสและราคาแพงในเมืองหลวงนางล้วนเคยชิมมาแล้วทั้งสิ้น พระชายาผายมือเชื้อเชิญให้พวกเจ้ากินขนมเสียก่อน เด็กๆ ต่างยิ้มแป้นเริ่มต้นหยิบขนมกันให้วุ่น ยกเว้นเพียงชิงเว่ยเว่ยที่ได้กินบ่อยๆ “ได้ยินว่าพวกเจ้าอยากจะสมัครเป็นสายลับของสำนักข่าวเรา” ซิวอี้เซิงเกือบจะสำลักขนมที่เพิ่งจะกลืนเพราะรีบร้อนอยากจะตอบ จินวั่งซู “ขะ ขอรับ!” “ใจเย็นๆ น่า หัวหน้าซิว” ชิงเว่ยเว่ยยื่นจอกน้ำชาให้ซิวอี้เซิงเพื่อให้เขาดื่มไล่เอาขนมลงไปในคอได้อย่างราบรื่น “เว่ยเว่ยแจ้งให้ข้าทราบแล้ว เอาเป็นว่าข้าจะขอทดสอบความสามารถของพวกเจ้าก่อนก็แล้วกันว่าควรจะอยู่ระดับใด?” “เอ๋? มีการทดสอบสายลับด้วยหรือขอรับ?” ฉีเหยียนหันมามอง เขานึกว่าหากมาสมัครโดยใช้เส้นสายของชิงเว่ยเว่ยแล้วจะได้เลยเสียอีก ในเมื่อพี่สาวของนางก็เป็นรองเพียงหัวหน้าจินเท่านั้น จินวั่งซูโบกพัดงูดำไปมา “ไม่ได้สิ! ทำแบบนั้น สำนักข่าวของเราก็ไม่มีมาตรฐานกันพอดี” เขาพับพัดก่อนจะร้องบอก “เด็กๆ เอาแบบทดสอบเข้ามาได้” เด็กทั้งสี่หันไปก็เห็นเสี่ยวเอ้อโรงน้ำชานกกระจิบยกเอาโต๊ะเตี้ยสี่ตัวมาเรียงบนพื้นยกสูงอีกฟากหนึ่งของห้องในระยะห่างกันพอสมควร และวางกระดาษสี่ห้าแผ่นซ้อนกันเอาไว้ พร้อมด้วยหมึกและพู่กัน “การทดสอบของเราไม่มีสิ่งใดยุ่งยาก เพียงเจ้าตอบไปความรู้สึกเท่านั้น แล้วข้าก็จะบอกผลการทดสอบให้ฟัง” เจ้าของสำนักข่าวนกกระจิบยกยิ้มมุมปาก ผายมือเชิญให้ทุกคนเข้าประจำที่ ชิงเว่ยเว่ยเดินไปนั่งโต๊ะที่ใกล้ที่สุด นางรู้สึกข้องใจว่าคุณชายจินไปคิดวิธีทดสอบตั้งแต่เมื่อใด? เพราะตั้งแต่นางเป็นสายลับก็ไม่เห็นจะมีการทดสอบเช่นนี้มาก่อน “ตอนนี้สำนักข่าวนกกระจิบของเรามีการจัดอันดับสายลับเป็นสามระดับ คือ สายลับดาวแดง ขาว และดำ หากว่าเจ้าทำได้คะแนนน้อยเจ้าก็จะได้เป็นสายลับดาวแดงคือระดับฝึกหัด ส่วนระดับดาวขาวถือว่าเป็นนักสืบทั่วไป ส่วนระดับดาวดำคือสุดยอดนักสืบ” เด็กทั้งสามจ้องมองจินวั่งซูอย่างมาดหมาย พวกเขาตั้งใจจะตอบให้ได้ดีที่สุด ชิงเว่ยเว่ยเอียงศีรษะขมวดคิ้ว นางก้มลงอ่านโจทย์ที่เขียนไว้ก็เห็นว่าล้วนเป็นเรื่องพื้นฐาน เมื่อหันไปมองสหายน้อยทั้งสามพวกเขาล้วนเริ่มฝนหมึกเพื่อเตรียมตัว หน้าตาแต่ละคนจริงจังยิ่งกว่าการทำงานที่อาจารย์สั่งในห้องเรียน นางจึงเริ่มฝนหมึกบ้าง “เอาล่ะเริ่มได้ ข้าให้เวลาพวกเจ้าตอบครึ่งชั่วยาม” *****************************
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม