บทที่ 24 นิยายนักสืบ

1301 คำ
จินวั่งซูกับพระชายาชิงหลานปรึกษาหารือกันว่าคดีนี้น่าสนใจควรส่งคนไปสืบเสาะความจริงเพิ่มเติม “ในเมื่อไต้เส้าจวินยืนยันว่าโครงกระดูกนั่นมิใช่บิดาของเขา ข้าก็จะให้คนของสำนักข่าวนกกระจิบที่เมืองชิงหลิงสืบหาเบาะแสเพิ่ม” เมื่อธุระสำคัญเสร็จสิ้นลง นักสืบน้อยทั้งสี่ก็จะพากันกลับไปจวนสกุลชิง ก่อนจะกลับชิงเว่ยเวยแอบกระซิบบางอย่างกับจินวั่งซู เขาจึงได้พยักหน้าและนัดหมายเวลากับนาง เมื่อถึงจวน ชิงเว่ยเว่ยเดินนำหน่วยฉีหลินเข้าไปยังห้องของตน “คดีนี้อยู่ถึงเมืองชิงหลิง เกินกำลังของพวกเราไปจริงๆ” ชิงเว่ยเว่ยรำพึงรำพัน นางเสียดายที่ไม่อาจจะสืบคดีได้ด้วยตนเอง “เว่ยเว่ย หัวหน้าจินรับปากจะไปสืบที่ชิงหลิงให้แล้วนี่? เจ้ายังกังวลอยู่อีกหรือ?” “จะไม่กังวลได้อย่างไร? นี่มันคดีใหญ่นะ ข้าจะต้องไปคอยแอบฟังท่านพ่อพูดกับรองเจ้ากรมกลาโหมอีกที” “คนผู้นั้นมาจวนของเจ้าบ่อยหรือ?” “อืม...มาจิบสุราคุยธุระกับท่านพ่อที่ศาลาริมน้ำ ครั้งล่าสุดที่ข้าแอบฟังพวกเขาคุยกัน ซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้ตั้งนานยุงกันขาเต็มไปหมด” “ชีวิตนักสืบมันไม่ง่ายเลยนะขอรับคุณหนู” ไห่ฮ่าวรีบเอ่ยเตือน “คราวหน้าให้ข้าช่วยแอบฟังก็ได้ขอรับ” ชิงเว่ยเว่ยจึงหันมามองใบหน้าเรียบเฉยคล้ายไร้ความรู้สึกของผู้อารักขาตน “จริงสิ! นักสืบไห่เองก็เป็นคนในหน่วยสายลับเดียวกับข้า คราวหน้าเรื่องลำบากเช่นนั้นให้เจ้าไปทำก็แล้วกัน” ซิวลู่ฉิงรีบหยิบเอานิยายสามเล่มออกมา “เว่ยเว่ย เจ้าลองอ่านนิยายเรื่องนี้ดูสิ ข้าว่ามีหลายอย่างเหมือนคดีของบิดาอาจารย์ไต้ คิดๆ ไปเหมือนคนเขียนจะรู้เรื่องคดีที่เกิดขึ้นแล้วเอามาดัดแปลงเลยนะ” “จริงหรือ?” ชิงเว่ยเว่ยรีบพลิกดูนิยายเล่มแรก “คนเขียนคือมารน้อยมี่มี่ ข้าเคยได้ยินว่าคนผู้นี้เขียนตำราเกี่ยวกับยุทธภพเอาไว้หลายเล่ม” “เจ้าเปิดดูเล่มสามสิ ตอนที่ข้าบอกเจ้าคือตอนที่จอมยุทธเซียวไปสืบคดีที่ขุนนางผู้หนึ่งถูกขุนนางโฉดหลอกให้ไปปราบโจรด้วย สุดท้ายกลับตีเขาจนสิ้นสติแล้วเอาไปซ่อนไว้ จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเขากับโจรผู้หนึ่งเพื่อสวมรอยแล้วเผาเสียเพื่อมิให้ผู้ใดจำได้” ชิงเว่ยเว่ยจึงเปิดตอนที่ซิวลู่ฉิงแนะนำและอ่านออกเสียง ทุกคนยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้เข้าเค้ายิ่งนัก....เหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นกับไต้จี้หลิงมาก ชิงเว่ยเว่ยอ่านไปได้หลายหน้าก็เริ่มคอแห้ง ไห่ฮ่าวจึงเดินออกไปบอกให้จ้งซูเตรียมน้ำชาร้อนๆ มาให้เด็กทั้งสี่ “แค่กๆ แค่กๆ” “เจ้าอ่านไปเยอะแล้ว พักก่อนๆ” ซิวอี้เซิงผู้ไม่นิยมการอ่านตำรา เห็นเช่นนั้นก็พลันโบกมือให้สหายหญิงอย่าหักโหม ซิวลู่ฉิงเห็นว่าชิงเว่ยเว่ยยังเจ็บคออยู่จึงหันไปหาฉีเหยียน “เจ้าอ่านให้พวกเราฟังต่อก็แล้วกัน” เรื่องราวหลังจากที่จอมยุทธ์เซียวไปขุดหลุมศพแล้วพบว่าที่แท้ศพที่ถูกฝังนั้นมิใช่ขุนนางตัวจริง เขาจึงได้ส่งเจ้าพายุเหยี่ยวระวังภัยออกตรวจตราโดยรอบตำบลที่เกิดเหตุ ต่อมาก็พบป่าประหลาดแห่งหนึ่งซึ่งมีต้นไม้หนาแน่นและเล่าลือกันว่ามีภูตผีแฝงอยู่ ชาวบ้านล้วนไม่กล้าเข้าไปใกล้ ทว่าเจ้าพายุกลับร้องเรียกให้จอมยุทธ์เซียวเข้าไปตรวจสอบ “ข้าคิดว่าหากข้าเป็นคนที่จับตัวไต้จี้หลิงเอาไว้แล้วเอาไปซ่อน ก็จะเอาไปซ่อนในที่ที่ผู้คนหวาดกลัวไม่กล้าเข้าไป” ซิวอี้หลิงออกความเห็น เขาฟังและคิดตามเนื้อหาในนิยาย “หัวหน้าซิว หากเป็นข้า ข้าคิดว่าจะพยายามซ่อนเขาไว้ในที่ที่คนไม่คาด” ซิวลู่ฉิงยิ้มน้อยๆ “ที่ใดหรือ?” “ที่ใกล้คนแต่คนไม่สนใจ” ชิงเว่ยเว่ยฟังแล้วรีบหันไปหาซิวลู่ฉิง “เจ้าหมายถึง ที่ๆ คนไม่คิดว่าน่าจะซ่อนคนไว้ได้ใช่หรือไม่?” “ถูกต้อง!” ฉีเหยียนก้มหน้าอ่านเนื้อหาท่อนสุดท้ายของบทอีกครั้ง “ในเรื่องนี้คนร้ายเอาขุนนางไปซ่อนไว้ในป่าที่ลือกันว่ามีภูตผี เป็นธรรมดาที่คนส่วนใหญ่กลัวสิ่งที่มองไม่เห็นและเรื่องเล่าที่ทำให้หวาดกลัว” “ป่างั้นหรือ?” ชิงเว่ยเว่ยเอ่ยขึ้น “หากจะซ่อนของสำคัญไว้ในเมืองหลวง เจ้าคิดว่าป่าเขาไข่มังกรเป็นอย่างไร?” “มีเหตุผล รองหัวหน้าชิง ป่าไข่มังกรอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยเพราะคนทั้งเค่อเฉิงถูกห้ามมิให้ขึ้นไปข้างบน เจ้าจำไม่ได้หรือที่พวกเขาเห็นว่าต้นไม้บนนั้นผิดปกติแล้วอาจารย์ใหญ่หวังห้ามพวกเราพูดไป” “ข้างบนอาจจะมีความเปลี่ยนแปลง หากว่ามีคนคิดเอาบางอย่างมาซ่อนไว้ล่ะ” “ถ้าเช่นนั้นพวกเรามีเรื่องน่าตื่นเต้นให้ทำแล้ว” ซิวลู่ฉิงรีบเสนอให้กลุ่ม ฉีหลินขึ้นไปบนป่าไข่มังกรอีกครั้ง “คดีใต้เท้าไต้เกิดที่เมืองชิงหลิงไกลเกินกำลังพวกเราจะไปสืบได้ แต่หากเริ่มจากการสืบความลับของป่าเค่อเฉิงน่าจะง่ายกว่า” เมื่อทุกคนเห็นพ้องต้องกันพวกเขาก็เริ่มนึกถึงค่ายกลร้อยทางแยก “เราต้องเริ่มจากการศึกษาค่ายกลร้อยทางแยก” ชิงเว่ยเว่ยเอ่ยปาก “ข้าได้ตำราจากหัวหน้าจินมาเล่มหนึ่ง มาดูกัน” นางหยิบตำราออกจากตู้ด้านหลังแล้วกางให้สหายดู นางอธิบายลักษณะพื้นฐานของค่ายกลร้อยทางแยกให้สหายฟัง “อันที่จริงนอกจากจะมีทางแยกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เดินไปแล้ว ยังต้องมีเหยื่อล่อให้หลงทางด้วยอย่างเช่นสัตว์เล็กๆ อย่างกระต่าย นกหรือกวาง” “แต่เรากลับไม่เจอสัตว์แม้สักตัว” ซิวลู่ฉิงสำทับ “ใช่! ทั้งต้นไม้ก็มีลักษณะคล้ายกันไปหมด อาจารย์ใหญ่หวังก็ยังคิดว่าผิดปกติ ข้าว่าป่าไข่มังกรอาจจะบางคนข้าไปเปลี่ยนแปลง” ไห่ฮ่าวที่ยืนฟังรีบทักท้วง “คุณหนูคิดจะเข้าไปในค่ายกลหรือขอรับ?” “ไม่เข้าถ้ำเสือหรือจะได้ลูกเสือ?” ชิงเว่ยเว่ยมองผู้อารักขาด้วยสายตามีเลศนัย นางรู้ว่าวรยุทธ์ของไห่ฮ่าวล้ำเลิศคราวนี้ต้องเอาเขาไปด้วย “เราต้องค้นหาวิธีออกจากค่ายกลร้อยทางแยกให้ได้ก่อน หาไม่อาจจะต้องทิ้งชีวิตไว้ในป่าเขาไข่มังกร” ซิวลู่ฉิงยังเป็นกังวล นางนึกถึงวันที่ไปติดอยู่ในป่าแห่งนั้นแล้วยังขนลุกไม่หาย แม้จะกลัวแต่เมื่อเห็นว่าสหายคิดจะเข้าไปกันอีกนางก็รู้สึกตื่นเต้นอยากจะไปด้วย “เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าขอร้องให้ผู้เชี่ยวชาญพาพวกเราไปแล้ว” ซิวอี้เซิงขมวดคิ้ว เขาสงสัยว่าชิงเว่ยเว่ยเอาเวลาใดไปหาผูเชี่ยวชาญค่ายกลที่นางว่า “ผู้ใดหรือ?” “หัวหน้าของเราอย่างไรล่ะ?” “จินวั่งซู” “ไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นผู้ใด? ในแคว้นจินก็มีเพียงจวิ้นอ๋องกับหัวหน้าจินเท่านั้น แต่ยามนี้จวิ้นอ๋องอยู่ที่แคว้นจินเราไม่อาจจะไปเข้าเฝ้าขอคำปรึกษาได้” “แล้วนัดหมายจะไปเมื่อใด?” “เตรียมตัวไว้เถอะ พรุ่งนี้ยามเช้าตรู่เราจะบุกป่าไข่มังกรกัน” *********************************
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม