บทที่ 23 นักสืบดาวแดง

1276 คำ
“ข้านี่นะ!” มืออวบขาวที่กำกระดาษจนตึงสองข้างสั่นระริก สายตาเขามองดูดาวสีแดงบนมุมขวาด้วยความผิดหวัง “ข้าได้เป็นนักสืบดาวขาว เย้ๆๆ” เสียงร้องด้วยความยินดีทำให้เด็กชายทั้งสองหันไปถลึงตาใส่ซิวลู่ฉิงพร้อมกัน “เว่ยเว่ย! ไหนของเจ้า? ข้าขอดูหน่อย” “อ่ะ....” ชิงเว่ยเว่ยยื่นให้อย่างเสียมิได้ “โอ้โห! เจ้าได้เป็นนักสืบดาวดำเชียวหรือ?” ซิวลู่ฉิงทำตาโตหันไปมอง ชิงเว่ยเว่ยด้วยความอัศจรรย์ใจ “แต่จะว่าไปก็สมควรแล้วนะ เพราะเจ้าสุขุมและรอบคอบมากที่สุดในหมู่พวกเรา” ชิงเว่ยเว่ยได้แต่ทำปากขมุบขมิบ นางอยากจะสารภาพความจริงว่านางช่วยพี่รองกับหัวหน้าจินสืบข่าวมานานแล้ว เพียงแต่ไม่ได้เข้าสังกัดอย่างเป็นทางการเสียที กระทั่งครั้งนี้จึงได้รู้ว่าที่ผ่านมานางถูกหัวหน้าจินหลอกมาโดยตลอดว่านางได้เป็นสายลับแล้ว จินวั่งซูยิ้มน้อยๆ เมื่อพระชายาชิงหลานเปิดกลไกที่ตู้หนังสือด้านหลังเอาสมุดเล่มใหญ่ออกมาบันทึกรายชื่อสายลับของสำนักข่าวนกกระจิบทั้งสี่ “อันที่จริง ฉีเหยียนเกือบสอบตกแล้ว หากทำคะแนนได้น้อยกว่านี้เพียงคะแนนเดียวเขาก็จะไม่ได้เป็นสายลับของสำนักข่าวเรา” “เอ๋? มีสอบตกด้วยหรือเจ้าคะ” “ถูกต้อง! ดีที่พวกเจ้าสอบผ่าน ข้ายินดีด้วย” “รองหัวหน้าชิง ท่านให้พวกเขาลงลายมือชื่อได้เลย” คนทั้งสี่จึงเข้าแถวเพื่อรอลงนามในสมุดเล่มใหญ่ ซิวอี้เซิงที่หน้าบึ้งใน ทีแรกครั้นได้ยินว่าตนเองมิใช่ที่โหล่ก็ค่อยยิ้มออก อีกทั้งจินวั่งซูยังยืนยันว่ามีคนมากมายที่มาทดสอบแล้วไม่ผ่าน ดังนั้นพวกเขาทั้งสี่จึงถือว่าเป็นกลุ่มนักสืบที่อายุน้อยที่สุดในสำนักแห่งนี้ จินวั่งซูให้ทุกคนเรียกเขาในนามลับว่า ‘หัวหน้าจิน’ “พวกเจ้ามีชื่อกลุ่มอยู่แล้วว่าฉีหลิน ต่อไปข้าจะเรียกพวกเจ้าว่า หน่วยฉีหลินก็แล้วกัน” “แต่พวกเรามีกันห้าคนนะเจ้าคะ?” “เอ๋? ไหนเจ้าว่ามีเพื่อนอยู่สามคน?” “เราเพิ่งรับสมาชิกใหม่เมื่อวานขอรับ” จินวั่งซูทำหน้าเหรอหรา “อ้าว! เจ้าไปเรียกเขาเข้ามาสิ! พวกเจ้าอยู่หน่วยเดียวกันจะไม่ให้เขาทดสอบระดับหน่อยหรือ?” ซิวอี้เซิงหน้าบานด้วยความดีใจ “หัวหน้าจิน อนุญาตแล้วนะขอรับ” “อืม...ใช่!” เด็กชายตัวท้วมจึงออกไปดึงข้อมือไห่ฮ่าวเข้ามา “นี่ขอรับ! สมาชิกคนที่ห้าของพวกเรา เพิ่งรับเข้าหน่วยเมื่อคืนวานนี้เอง” “ไอหยา!” จินวั่งซูตกใจ เขารู้ว่าไห่ฮ่าวคือผู้ติดตามฝีมือดีของใต้เท้าชิงที่ได้มาเมื่อไม่กี่ปีก่อน แม้ยังประเมินวรยุทธ์คนผู้นี้ยังมิได้แต่ฟังจากฝีเท้าแล้วเบาจนน่าประหลาดใจ “คารวะพระชายา คารวะคุณชายจิน” “เอาเถอะๆ ในเมื่อข้ารับปากไปแล้ว เจ้าเองก็อยู่หน่วยฉีหลิน เช่นนั้นก็ทดสอบสักหน่อยก็แล้วกัน” พระชายาชิงหลานพาเด็กทั้งสี่ออกไปนั่งกินซาลาเปาอร่อยอยู่โรงน้ำชา เพื่อให้ไห่ฮ่าวได้ทำแบบทดสอบด้วยความเงียบสงบ เมื่อเดินกลับมาอีกครั้งก็พบว่าโต๊ะที่วางไว้ให้เด็กๆ ทดสอบความรู้พังไปสองตัวและกระดาษทดสอบปลิวว่อน ชายทั้งสองคนยืนอยู่คนละมุมห้อง ไรผมมีเหงื่อซึมออกพอสมควร “สรุปว่าอย่างไรหัวหน้าจิน?” จินวั่งซูมองความเละเทะของห้องแล้วยิ้มน้อยๆ “ไห่ฮ่าวมีความเหมาะสมอย่างยิ่ง ข้าให้เขาเป็นนักสืบดาวดำ” พระชายาชิงหลานเรียกให้เสี่ยวเอ้อมาเก็บกวาดห้องจนเรียบร้อยจากนั้นก็เอาโต๊ะมาต่อกันเพื่อเริ่มประชุม “เว่ยเว่ย เจ้าบอกว่ามีเรื่องอยากปรึกษาพวกเรา” “เจ้าค่ะ หน่วยฉีหลินมีคดีที่น่าสนใจอยากให้พวกท่านช่วยวิเคราะห์” ชิงเว่ยเว่ยเล่าถึงเงื่อนงำการตายของใต้เท้าไต้บิดาของอาจารย์ในสำนักเค่อเฉิงและการลอบติดตามอาจารย์หนุ่มทั้งสองไปเปิดสุสานแล้วพบว่ากระดูกที่ฝังอยู่ในนั้นมิใช่ศพของไต้จี้หลิงอย่างที่มีรายงานเข้ามาเมืองหลวง “คดีนี้เหมือนจะมีผู้ติดใจในการตายของใต้เท้าไต้อยู่สองสามคน ทว่าเรื่องพวกนี้ถูกปัดตกไปเพราะมีการพิสูจน์จากข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดแล้วว่าล้วนเป็นของส่วนตัวของไต้จี้หลิงที่ยากจะมอบให้ผู้อื่น” จินวั่งซูจำได้ว่าการตายของขุนนางขั้นสี่แห่งกรมกลาโหมผู้นี้น่าสงสารยิ่งนัก “หัวหน้าจิน ท่านได้อ่านผลชันสูตรศพหรือไม่เจ้าคะ?” “ข้าทั้งไปดูศพ และอ่านผลชันสูตรด้วย เนื้อตัวของเขาไหม้เกรียม ใบหน้าถูกทำลายก่อนการเผา ขาหักสองข้าง ศีรษะยุบไปส่วนหนึ่ง ดูเหมือนจะมีการฆ่าก่อนนำไปเผา” ชิงเว่ยเว่ยพยักหน้า “กระดูกที่อยู่ในสุสานมีร่องรอยอย่างที่ท่านว่าจริงๆ เจ้าค่ะ กะโหลกยุบและขาหักสองข้าง” “จุ๊ๆ เจ้านี่มันใจกล้าสมแล้วที่เป็นนักสืบดาวดำ” จินวั่งซูเอ่ยปากด้วยความทึ่งที่เด็กหญิงกล้าเข้าไปดูศพในสุสาน “เจ้าไม่กลัวที่แคบแล้วหรือ?” ชิงเว่ยเว่ยหน้าตึงขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงห้องเก็บศพใต้สุสาน “เคราะห์ดีที่ไห่ฮ่าวไปเป็นเพื่อนข้า สุสานของไต้จี้หลิงเองก็กว้างมาก ข้าจึงไม่ค่อยกลัว” “อืม...นับว่าเจ้ามีความก้าวหน้า” สหายทั้งสามหันไปมองชิงเว่ยเว่ยพร้อมกัน พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่านางกลัวที่แคบ ชิงเว่ยเว่ยจึงหันไปบอกทุกคน “หากว่าข้ามีเพื่อน ข้าก็จะไม่กลัว” นางคิดว่าเคราะห์ดีที่นางมิได้กลัวรถม้าอย่างเช่นพี่รองในอดีต รถม้ามีประตูและหน้าต่างนาง หากต้องเดินทางนางต้องเปิดหน้าต่างให้กว้างเอาไว้หรือเปิดม่านประตูได้ก็ยิ่งดี ที่สำคัญนางจะไม่ขึ้นรถม้าคนเดียวหากไม่จำเป็น “เอาล่ะ! ตอนนี้ไต้เส้าจวินก็ยืนยันแล้วว่าศพในสุสานนั่นไม่ใช่บิดาของเขา และยังมีจดหมายที่พวกเจ้าว่าเป็นของพี่ชายจงกว้านซีพูดเรื่องการตายที่ผิดปกติของใต้จี้หลิงอีก เรื่องนี้....ชักน่าสนใจเสียแล้วสิ!” ในเมื่อจินวั่งซูยืนยันว่าเขาได้อ่านผลชันสูตรด้วยตนเอง ชิงเว่ยเว่ยก็วางใจได้ว่าหัวหน้าจินย่อมจดจำทุกอย่างได้แม่นยำ “หัวหน้าจิน ท่านพอจะรู้เรื่องก่อนการตายของใต้เท้าไต้หรือไม่?” “อ้อ! ตั้งแต่ข้าได้ข่าวว่าเขาตายเพราะถูกโจรป่าทำทารุณ ข้าก็เริ่มสืบเสาะทันที ครั้งนั้นเป็นเพราะราษฏรร้องเรียนว่าเจ้าเมืองชิงหลิงปราบปรามโจรป่าที่อาละวาดไม่ได้เสียทีจึงต้องการให้ฮ่องเต้ทรงส่งคนฝีมือดีไปจัดการ ใต้เท้าชิง บิดาของเจ้าได้ปรึกษาหารือกับผู้ใหญ่ในกรมแล้วเห็นควรให้ส่งไต้จี้หลิง ซึ่งเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ออกไปประสานงานกับเจ้าเมืองชิงหลิง ครั้งนั้นมีทหารส่วนหนึ่งถูกส่งมาจากเมืองฉู่จิ้งเพื่อให้การช่วยเหลือในการปราบโจรป่า ใต้เท้าไต้กับคนสนิทร่วมกับกองทหารหลายร้อยนายบุกขึ้นไปทลายชุมโจรที่หมู่บ้านบนหุบเขาชู่ชี ได้ยินว่าพวกเขาจับกุมโจรป่าได้สำเร็จแต่ไต้จี้หลิงกับคนสนิทกลับเสียชีวิต” ************************
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม