ร่างของบุรุษในชุดขาวงามสง่ายืนโบกพัดสีขาวปนดำอยู่กลางทุ่งหญ้าที่กำลังออกดอกฝอยเล็กสีขาวปนม่วงทำให้แลเหมือนเทพเซียน ด้านขวาของคน ผู้นั้นมีสตรีในชุดสีแดงงดงามนางสะพายกระบี่คู่ที่มีชื่อเสียงลือลั่น
“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เห็นภาพที่น่าประทับใจเช่นนั้น”
“พระชายาทรงสะพายกระบี่ทิวาราตรีใช่หรือไม่?”
เสียงเด็กสามคนพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น ชิงเว่ยเว่ยเองก็พลอยตะลึงกับภาพตรงหน้า แม้นางจะรู้ว่าคุณหนูของนางเป็นจอมยุทธ์แกล้วกล้าแต่ก็มิเคยเห็นภาพเช่นนี้มาก่อน คนทั้งสองยืนอยู่บนโขดหินคนละฟากของทุ่งหญ้าบนเขาไข่มังกร ราวกับเทพในชุดขาวและชุดแดง
ร่างของคนทั้งสองทะยานมาราวกับเหาะเหิน ลอยลงยืนบนแผ่นหินตรงหน้าที่เด็กทั้งสี่เคยมานั่งรับประทานของว่างกันในคราวก่อน
“ข้าบอกไว้ก่อนว่าที่จะพาพวกเขาเข้าไปในวันนี้เป็นเพียงการสอนสายลับให้เอาตัวรอดจากค่ายกลเบื้องต้นเท่านั้น พวกเจ้าห้ามทำสิ่งที่นอกเหนือไปจากที่ข้าบอกโดยเด็ดขาด ค่ายกลของจอมยุทธ์ลู่ยากที่จะทำลายและเอาชนะได้”
“หัวหน้าจิน ท่านเคยเข้าไปในค่ายกลแห่งนี้หรือไม่?”
“ข้าเคยเข้าไปครั้งเดียว ข้าแอบเข้ามาเพราะอยากรู้น่ะ คราวนั้นเป็นการเปิดทดสอบนักศึกษาเค่อเฉิงด้วยค่ายกลนี้ครั้งแรก ข้าเสียดายที่ไม่รู้ว่าจอมยุทธ์ลู่แอบมาสร้างไว้ตั้งแต่เมื่อใด? ข้าคารวะผู้อาวุโสสักครั้งแต่ก็ยังไม่มีโอกาส”
“ท่านมั่นใจว่าจะพาพวกเราออกมาได้แน่นะขอรับ?” ฉีเหยียนที่ยังกล้าๆ กลัวๆ เอ่ยถามอีกครั้ง
“พูดตามตรง ข้าก็ไม่มั่นใจจึงให้ได้ให้ทุกคนเตรียมตัวมาอย่างไรเล่า?” จินวั่งซูชี้ให้ดูห่อผ้าสะพายที่คาดอยู่บนตัวเขา มีอาหารและน้ำดื่มเตรียมพร้อมเช่นเดียวกับทุกคน
ฉีเหยียนได้ยินคำตอบเช่นนั้นก็หน้าซีด เขากลัวว่าจะต้องหลงทางอยู่ในป่าที่น่ากลัวนั้นอีกครั้ง แต่จะไม่เข้าไปก็จะคุยกับเหล่าสหายไม่รู้เรื่อง ในเมื่ออยากเป็นสายลับแล้วก็ต้องเกาะกลุ่มให้ถึงที่สุด
“เจ้าไม่ต้องห่วงน่า หัวหน้าจินแค่ล้อเล่น เขาพาพวกเราออกมาได้แน่” ซิวอี้เซิงเห็นหน้าฉีเหยียนขาดความมั่นใจก็รีบจับแขน “เจ้าตามข้าทุกฝีก้าวก็แล้วกัน ข้าในฐานะหัวหน้าหน่วยจะต้องพาเจ้าออกมาจากป่านี้ให้ได้”
ได้ยินคำยืนยันเช่นนั้นก็ทำให้ฉีเหยียนสีหน้าดีขึ้น ซิวลู่ฉิงหันไปมองชิงเว่ยเว่ย เมื่อเห็นว่าสหายหญิงของตนยังทำหน้านิ่งเฉยนางก็ไม่กล้าแสดงความหวาดหวั่นออกมา
“เอาล่ะ! หน่วยฉีหลิน การเข้าไปในค่ายกลครั้งนี้ขอให้ทำตามคำสั่งของข้าอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันการพลัดหลง เรามาเพื่อสำรวจพื้นที่มิใช่เปลี่ยนแปลงสิ่งใด”
เมื่อทุกคนรับทราบ จินวั่งซูจึงได้พวกเขาเดินเข้าไปในร่องทางเดินที่สอง เป็นเพราะชิงเว่ยเว่ยเล่าเรื่องที่อาจารย์ใหญ่พาพวกนางออกมาจากทางนั้น เมื่อเดินเข้าไปก็เป็นอย่างที่พวกเขาเคยประสบ นั่นคือยิ่งเดินไปก็ยิ่งมีทางแยกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซิวอี้เซิงจึงเล่าให้หัวหน้าจินฟังเรื่องที่เขาทำสัญลักษณ์ตามต้นไม้ไว้ครั้งที่แล้ว
“ไม่ว่าเจ้าจะบากลำต้นมันไว้สักกี่คน เมื่อเรากลับออกไปได้ รอยพวกนั้นก็จะหายไปจนหมด”
“ไอหยา!” ซิวอี้เซิงหน้าซีด เขาคิดจะกลับมาอาศัยร่องรอยเดิมเพื่อหาทางออกได้เร็วขึ้น
จินวั่งซูกวาดตามองไปรอบๆ “จริงอย่างที่อาจารย์ใหญ่หวังกังวล ค่ายกลแห่งนี้เปลี่ยนไปจริงๆ เรามีเวลาหนึ่งชั่วยามเท่านั้น ข้าเกรงว่าเจ้าเหยี่ยวสายฟ้าของอาจารย์ใหญ่หวังอาจจะบินโฉบมาตรวจสอบ พวกเจ้าก็รู้ว่าเขาไข่มังกรเป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับคนภายนอก ข้าต้องรีบแนะนำและหาทางพาพวกเจ้าออกไป”
ครั้นเดินไปจนถึงจุดที่มีทางแยกถึงหกทาง จินวั่งซูก็กวาดตามองไปรอบๆ
“ตรงนี้คือจุดเปลี่ยนของค่ายกล พวกเจ้าจะเห็นว่าเดิมทีเราเลือกเดินตามทางแยกด้านซ้ายสุดเสมอ รอยบากที่ทำสัญลักษณ์ไว้ตั้งแต่จุดแยกที่หนึ่งปรากฏที่ทางเดินด้านขวา คือทางเดินที่หก ถ้าเป็นเช่นนั้นเราต้องเลือกอีกทั้งห้าทางที่เหลืออยู่ แต่ปัญหาคือเราจะเลือกเส้นทางใดดี?”
“หัวหน้าจิน ข้าสังเกตว่าวันนั้นอาจารย์ใหญ่มิได้เดินตามทางแยกใดเลย” เสียงของชิงเว่ยเว่ยดังขึ้น
“เก่งมาก เว่ยเว่ย สมแล้วที่เจ้าเป็นนักสืบดาวดำ จากตรงนี้เจ้าต้องมีจิตแข็งกว่าเดิมเพื่อกำหนดเส้นทางออกด้วยตนเอง”
“อย่างไรหรือขอรับ?” ซิวอี้เซิงเอียงศีรษะ
“หากเราเลือกเดินทางใดทางหนึ่งที่ค่ายกลทำให้เราเห็น เราจะเดินวนเวียนอยู่เช่นนี้โดยค่ายกลจะสร้างทางแยกเพิ่มให้เราเรื่อยๆ แต่ก็อย่างที่พวกเห็น มองหันหลับกลับไปทางเดินก็หดเข้ามาเรื่อยๆ นั่นหมายถึงว่าอันที่จริงแล้วเราเดินวนอยู่ในป่าเล็กๆ ในบริเวณที่คนสร้างค่ายกลกำหนดภาพลวงตาเอาไว้” จินวั่งซูหันไปมองหน้าเด็กทั้งสี่และไห่ฮ่าวที่ยืนปิดท้ายแถว “หากเจ้ากำหนดจิตมุ่งตรงไปอย่างเดียวโดยไม่สนใจมองว่ามีเส้นทางหรือไม่? เจ้าจะออกจากป่าแห่งนี้ได้”
ชายหนุ่มหลับตาเดินตรงไปยังต้นไม้ใหญ่ระหว่างทางเดินที่สองและทางเดินที่สาม เด็กทั้งสี่แทบจะร้องออกมาพร้อมกันว่าเขากำลังจะเดินชนต้นไม้ทว่าจู่ๆ เหมือนต้นไม้นั้นหลบเขาและเกิดทางเดินขึ้นตรงหน้า พวกเขาจึงรีบเดินตามอย่างว่องไว เมื่อเดินตรงไปพักใหญ่ก็เจอทางแยกเจ็ดทางขึ้นตรงหน้า
“หัวหน้าจิน เหตุใดจึงมีทางแยกเพิ่มขึ้นอยู่ดี?” พระชายาชิงหลานที่เดินตามหลังจินวั่งซูมองเห็นก็ประหลาดใจ
“ทางแยกพวกนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดิมพะยะค่ะ เพียงแต่เราต้องตั้งมั่นที่จะเดินตรงต่อไป” จินวั่งซูตอบแล้วก็เดินตรงไปยังต้นไม้ใหญ่ระหว่างทางเดินที่สองและสาม แล้วข้างหน้าก็เกิดร่องทางเดินขึ้นมาอีกครั้ง
ผ่านไปสองเค่อทุกคนก็พักดื่มน้ำ ชิงเว่ยเว่ยรู้สึกว่าป่าในยามเช้าบรรยากาศมิได้น่ากลัวเช่นยามเย็นตอนที่นางเร่งฝีเท้าตามอาจารย์ใหญ่หวังเพื่อกลับออกไป
“หัวหน้าจิน ไม่รู้เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าค่ายกลนี้ในตอนเช้าต่างกับตอนเย็น?” ชิงเว่ยเว่ยรู้สึกกังวลอย่างบอกไม่ถูก นางจำได้ว่าวันนั้นนางรู้สึกเหมือนมีเงาคนคอยลอบมองพวกนางจากในป่า แต่เช้านี้กลับไม่มี
“ค่ายกลของจอมยุทธ์ลู่แปรเปลี่ยนไปตามสภาพอากาศ มันสามารถผันแปรได้จึงน่าเป็นห่วงยิ่งนัก” จินวั่งซูรู้สึกเช่นกัน แม้จะเกิดทางแยกเหมือนอย่างเคยแต่กลับมีบางอย่างแปลกไป
“หัวหน้าจินขอรับ เรามาถึงจุดที่มีทางแยกสิบทางแล้วนะขอรับ” ซิวอี้เซิงสีหน้าเป็นกังวลเพราะเขารู้สึกว่าป่ารอบข้างดูเหมือนจะกว้างยิ่งกว่าเดิม
“ยิ่งเดินต่อไป ทางแยกจะมากขึ้นจนล้อมรอบตัวเรา จนสุดท้ายกลายเป็นเราที่ยืนอยู่จุดศูนย์กลางของวงกลมที่มีทางแยกรอบตัว”
“ไอหยา!”
“ในนี้ไม่มีสัตว์เหลือแม้สักตัว ข้าเดาว่ามีคนเปลี่ยนแปลงกลไกของค่ายกล หากเราหลงทางอยู่จนถึงค่ำโอกาสจะออกไปจากที่แห่งนี้ก็จะยิ่งน้อยลง ค่ายกลนี้จะทำให้เดินวนเวียน เหน็ดเหนื่อยไม่รู้จบสิ้น สุดท้ายพ่ายแพ้ต่อตนเองจนสิ้นใจตาย”
***********************