ความโกลาหลเกิดขึ้นภายในคฤหาสน์ตระกูลเที่ยงบูรณกำจรจนดูวุ่นวายไปทั่ว หลังจากเสร็จสิ้นงานเลี้ยงได้เพียงแค่ครึ่งชั่วโมงกว่าเท่านั้น เมื่อเจ้าสัวนาทเรียกหาบุตรสาวคนเล็ก แต่กลับไม่มีใครพบเห็นหญิงสาวเลยสักคนเดียว
“หนูนิ่มไปไหน?...ใครก็ได้ช่วยไปตามหนูนิ่มมาพบฉันที...” เจ้าสัวนาทเรียกหาบุตรสาวเสียงดัง เมื่อท่านเข้ามาพักยังด้านในตัวคฤหาสน์ แต่กลับไร้วี่แววลูกสาวคนเดียวของท่าน มานั่งคลอเคลียออดอ้อนเหมือนเช่นทุกครั้งไป...
ครั้งสุดท้าย ตอนทุกคนได้เห็นหญิงสาว คือตอนที่นาทยสุรีเดินลงมาจากเวทีพร้อมกันกับครอบครัว หลังจากขึ้นไปกล่าวคำขอบคุณบรรดาแขกเหรื่อผู้มีเกียรติทั้งหลาย ที่มาร่วมแสดงยินดีในงานเลี้ยงวันนี้ ก็ไม่มีใครได้พบหรือพูดคุยกับหญิงสาวอีกเลย นมแจ่มเดินเข้าไปตรวจความเรียบร้อยในครัว ส่วนคนอื่นต่างก็ยุ่งอยู่กับแขกคนพิเศษของตนเอง จนไม่มีใครสนใจใครจะอยู่ตรงมุมไหนซอกไหนของตัวบ้าน เมื่อไม่มีใครจะคาดคิด จะเกิดเหตุอันตรายอันใดขึ้นภายในบ้านของตัวเองแท้ๆเช่นนี้มาก่อน...
“คุณพ่อครับ น้องไม่ได้อยู่ในห้องนอนครับ...” อานนท์เดินลงมาจากชั้นบนด้วยสีหน้าไม่สู่ดีนัก ใบหน้าหล่อเหลาดูเคร่งเครียด น้องสาวของเขาจะหายตัวไปไหนได้ ในเมื่อตอนเจอกันเมื่อช่วงงานเลี้ยง เขายังเห็นน้องน้อยของเขาส่งยิ้มให้เขาอยู่เลย น้องไม่น่าจะมีปัญหาอะไรคิดมาก ถ้าอย่างนั้นแล้วน้องนิ่มจะหายตัวไปหลบอยู่ไหนเสียล่ะ...
“แล้วนี่มีใครเข้าไปหาหนูนิ่มในครัวแล้วหรือยัง...” เจ้าสัวนาทตะโกนถามอย่างร้อนใจ
“ในครัวก็ไม่มีเหมือนกันค่ะคุณพี่...” คุณหญิงละไมส่งเสียงมาก่อนตัว เธอกำลังเดินเข้ามาสมทบกับบุตรชายอีกคน ใบหน้าตบแต่งดูงามสง่าย่นหัวคิ้วกดต่ำคิดหนักไม่ต่างกัน แววตาของนางดูเป็นกังวล ไม่คิดว่าการบังคับให้หญิงสาวออกไปพบเจอผู้คนในวันนี้ จะทำให้ลูกสาวคนเล็กถึงขั้นคิดหนีออกจากบ้านไปเช่นนี้...
“หรือหนูนิ่มจะเดินเข้าไปในสวนดอกแก้วคะ...มีใครเดินไปดูมาแล้วหรือยัง” คุณหญิงละไมร้องทักขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ สถานที่โปรดปรานของบุตรสาวอีกแห่งหนึ่ง คาดว่าลูกสาวน่าจะไปที่นั่น
“อิฉันไปดูมาแล้วค่ะคุณผู้หญิง...คุณหนูไม่ได้ไปที่นั่นเหมือนกัน...” นมแจ่มเดินเข้ามารายงานเสียงสั่นเทา ใบหน้าเหี่ยวย่นฉายแววกังวลไม่แพ้คนอื่นในห้องโถงนี้
“อะไรกัน!คนทั้งคนเชียวนะ หายไปทางไหนทำไมถึงไม่มีใครเห็น รถก็อยู่ครบทุกคัน ค้นดูทุกห้องทุกมุมก็ไม่เห็น มันเกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวของกูกันแน่วะ! ไหน?ใครก็ได้บอกกูมาที...”
เจ้าสัวนาทขึ้นเสียงตวาดกร้าวลั่นห้องรับแขก ท่านชี้หน้าบอร์ดี้การ์ดทุกคนเรียงตัว ชี้ไปทางใครทางนั้นต่างก็พากันก้มใบหน้าลงงุด...
“มันน่าไล่ออกไปให้หมดนักไอ้พวกเลี้ยงเสียข้าวสุก”
เมื่อไม่มีใครพบตัวบุตรสาวของท่านสักคนเดียว อารมณ์ของท่านเจ้าสัวจึงสูงขึ้นด้วยความเป็นห่วงในตัวลูกสาวคนเล็ก กลัวจะเกิดอันตรายอะไรขึ้นมากกว่ากลัวสิ่งอื่นใด แต่นี่มันในบ้านของตัวเองแท้ๆ ยังจะมีใครหน้าไหน กล้าเข้ามากระตุกหนวดเสืออย่างตัวท่านได้อีกหรือไง ถึงจะเป็นเสือแก่ก็เถอะ แต่เขี้ยวเล็บยังคมกริบเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน...
“ใจเย็นๆสิคะคุณพี่ ลูกสาวเราคงไม่ได้หายไปไหนหรอกค่ะ แกคงอยู่ในบ้านนี่แหละ คงจะโกรธพวกเรา ที่ชอบไปบังคับให้แกออกไปงานเลี้ยงบ่อยๆน่ะค่ะ ทั้งที่ตัวเขาเองก็ไม่อยากออกไปสักเท่าไหร่ นี่คงเห็นแก่พี่ชาย ไม่อย่างนั้นคงจะงอแงหนักยิ่งกว่านี้อีกนะคะคุณพี่...” คุณหญิงละไมเดินมาทรุดกายนั่งลงข้างๆกับสามี เอื้อมมือไปจับมือใหญ่มากุมเอาไว้ เพื่อให้กำลังใจ หากนาทยสุรีหนีออกจากบ้านเนื่องจาสาเหตุนี้จริงๆ ตัวนางเองก็มีส่วนผิดอยู่มาก ที่ดันไปบังคับจิตใจให้นาทยสุรีทำในสิ่งที่ตัวเองไม่คิดอยากทำ...
“เหลวไหลใหญ่แล้วไอ้ลูกคนนี้ ถ้าเจอตัวเมื่อไหร่คงต้องพูดกันให้รู้เรื่องสักที จะอะไรกันนักหนา กะอีแค่ให้ออกไปเจอกับผู้คนภายนอกเสียบ้าง ทำอย่างกับเราบังคับให้แกไปตาย...ฉันไม่ได้บังคับเขาให้ออกไปเจอกับสิ่งที่ไม่ดีเสียหน่อยนะคุณหญิง ฉันหวังดีกับแกมากแค่ไหน ทำไมหนูนิ่มไม่เข้าใจหัวอกคนเป็นพ่ออย่างฉันเสียบ้างเลย...” เจ้าสัวนาทกระชับมือของตนกับภรรยาคู่ยาก
“ก็น้องไม่ชอบนี่ครับ คุณพ่อก็ไม่น่าจะไปบังคับแกมาก...” อานนท์พูดแทรกขึ้น เขาได้แต่ส่ายหัวไปมา หากน้องสาวของเขาหายตัวไปเพราะสาเหตุนี้จริงๆ
“แล้วชาตินี้เมื่อไหร่หนูนิ่มจะได้แต่งงานแต่งการเป็นหลักเป็นฐานของตัวเอง ขืนอยู่แต่ในบ้าน แล้วใครมันจะมาเห็นความงดงามของน้องสาวแกกันหะ ฉันให้เขาไปตกกระกำลำบากหรือก็เปล่า แค่ให้ออกไปพบปะผู้คนภายนอกเสียบ้าง มันจะอะไรนักหนาหึ...”
นาทยสุรีโตเป็นสาวสะพรั่งแล้วก็สวยมากด้วย สวยจนหัวกระไดบ้านเขานั้นไม่เคยแห้ง ทว่าเสียอย่างเดียวนาทยสุรีไม่ชอบสุงสิงกับใครมากเป็นพิเศษ ทำตัวไม่ต่างจากหุ่นยนต์ไขลาน ถามคำก็ตอบคำ อย่างนี้แล้วผู้ชายคนไหนมันจะอยากสร้างสัมพันธ์ด้วยต่อ พอเจอลุคนี้ของลูกสาวเขาเข้า ต่างก็เบือนหน้าส่ายก้นหนีกันเป็นทิวแถว
ลูกสาวของเขาไม่เคยคิดจะแลชายตามองผู้ชายคนไหนสักคน พาออกงานกี่งานต่อกี่งาน ก็มักทำตัวงอแงอิดออดไม่ยอมไปมันเสียทุกครั้ง ไอ้เราก็อยากให้ลูกได้พบปะผู้ชายดีๆสักคน จะได้ผูกสมัครรักใคร่เรียนรู้นิสัยซึ่งกันและกันเอาไว้บ้าง แต่ดูเหมือนยิ่งผลักยิ่งดัน นาทยสุรีก็ยิ่งทำตัวเหลวไหลไปกันใหญ่ ถ้าถึงขั้นมาหนีออกจากบ้านแบบนี้ เขาคงต้องหาผู้ชายสักคนแล้วจับแต่งไปกับลูกสาวของเขาให้สิ้นเรื่องสิ้นราวเสียแล้วล่ะ ขืนถ้าปล่อยเอาไว้ให้เวลาเนิ่นนาน ลูกสาวของเขาคงได้แก่ขึ้นคานกันพอดี...
“เอาเถอะค่ะ ถ้าลูกไม่ชอบก็อย่าไปบังคับใจแกให้มากนักเลย เดี๋ยวแกจะหนีเตลิดไปกันยกใหญ่ เท่าที่วันนี้หนูนิ่มแกยอมให้ความร่วมมือ ไม่ค่อยอิดออดเหมือนเท่าที่ผ่านมา ก็ถือว่าดีถมเถไปแล้วค่ะ คุณพี่ก็ต้องหัดใจเย็นๆบ้างสิ อย่าไปบังคับใจแกให้มากนักเลย คนเราถ้าเป็นเนื้อคู่กันแล้วต่อให้อยู่ไกลฟ้าเขียวแค่ไหน สักวันเขาทั้งคู่ต้องได้มาเจอกันอยู่ดี เชื่อน้องนะคะคุณพี่...”
“คงจะมีหรอกนะคุณหญิง ไอ้เนื้อคู่ของหนูนิ่มน่ะ...” เจ้าสัวนาทกระแทกเสียงประชดภรรยาคู่ใจ
“มีสิครับทำไมจะไม่...มี” อานนท์เผลอหลุดความจริงบางอย่างออกไป แต่ก็ต้องรีบหุบปากของตัวเองลงฉับพลันเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ แต่ก็ไม่ทันคนอาบน้ำร้อนมาก่อน เมื่อนางได้ยินสิ่งที่บุตรชายเอ่ยออกมาเมื่อสักครู่นี้เต็มสองหู
“หมายความว่าอย่างไงหรือนนท์...” ประมุขหญิงของบ้านหันมาทางบุตรชาย หัวคิ้วยกขึ้นด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไรหรอกครับแม่ นนท์ก็แค่หมายความว่า คนเราถ้าเกิดมาเป็นเนื้อคู่กันแล้ว ต่อให้อยู่ในถ้ำลึกสักแค่ไหน สักวันก็คงตามหากันเจอเองนั่นแหละครับ” อานนท์ตอบมารดายิ้มแหย เพราะกลัวปัญหาบางอย่างจะล่วงรู้ถึงหูของท่านเข้า และคราวนี้เรื่องราวคงได้ใหญ่โตไปกันยกใหญ่แน่นอน
คุณหญิงละไมกดดวงตาอ่อนแสงเพื่อจับพิรุธลูกชายคนโต มันจะต้องมีเรื่องอะไรสักเรื่องที่อานนท์ต้องการบิดบังเอาไว้...
“นนท์คงไม่มีอะไรปิดบังแม่อยู่หรอกนะ ถ้าลูกรู้เห็นอะไรเกี่ยวกับน้องก็รีบๆบอกแม่กับพ่อมาซะตอนนี้ดีกว่ามาปิดบังกันเอาไว้ เผื่อบางทีเราจะได้ช่วยเหลือน้องได้ทัน...”
ทั้งสายตาและน้ำเสียงของคุณหญิงละไมแสดงออกมาชัดเจน นางไม่คิดจะเชื่อคำพูดของบุตรชายสักทีเดียว คำพูดของอานนท์ฟังดูมีลับลมคมในอยู่ไม่น้อย เลี้ยงกันมาจะสามสิบปีแล้ว ทำไมตัวนางจะไม่รู้จักนิสัยใจคอของบุตรชายตัวเองดี อานนท์ไม่เคยโกหกนางได้สำเร็จสักเรื่องเดียว แต่ในเวลานี้คงต้องปล่อยไปก่อน เอาไว้ค่อยเรียกเจ้าตัวมาสอบถามกันภายหลังเป็นการส่วนตัวก็แล้วกัน เพราะตอนเรื่องของนาทยสุรีสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด...
“เอ่อ...ขอประทานโทษครับคุณท่าน...” เสียงตื่นตระหนกดังขัดจังหวะการปะทะคารมของสองแม่ลูก เจ้าสัวนาทเอี้ยวตัวไปหาต้นเสียง
“ว่าไงนายสร...วิ่งหน้าตื่นมาเลย แกเจอหนู่นิ่มแล้วหรือไง” เจ้าสัวนาทเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน ความหวังวูบเข้ามาในหัวใจ
“เปล่าหรอกครับท่านเจ้าสัว...แต่ผมเจอจดหมายนี่ตกอยู่ตรงประตูรั้วหน้าบ้านครับ...” นายสรยื่นจดหมายให้กับเจ้านายมือไม้สั่น เมื่อหน้าซองของจดหมายระบุชื่อของผู้ส่งว่าเป็นใคร
“จดหมาย! อะไร?หรือคะคุณพี่...” คุณหญิงละไมเอ่ยถามอย่างร้อนใจไม่ต่างกับผู้เป็นสามี
“จดหมายของหนูนิ่ม” สามีเฉลยข้อสงสัย และเมื่อทุกคนได้ยินว่าเป็นจดหมายของผู้ใดทำหล่นเอาไว้ ต่างก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง เพราะอย่างน้อยก็ยังพอมีเบาะแสให้รู้ได้บ้าง นาทยสุรีหายตัวไปไหน
ท่านเจ้าสัวเปิดจดหมายออกอ่านอย่างรวดเร็ว เมื่อหน้าซองระบุชื่อของบุตรสาวที่หายตัวไป ก่อนจะปิดลงพร้อมกับผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอกไปที...
“ลูกบอกว่าอย่างไรบ้างคะ...แกหายไปอยู่ที่ไหนกัน?” คุณหญิงละไมละล่ำละลักถามด้วยความอยากรู้
“ไปเหนือ...บ้านของหนูอิงอร เขามารับกันไปตั้งแต่ลูกลงมาจากเวทีนั่นแล้วล่ะ ในจดหมายบอกเพียงต้องรีบไปแค่นั้น...” เจ้าสัวเอ่ยปากบอก เพื่อให้ทุกคนได้เบาใจ...
เป็นอันรู้กันภายในครอบครัว อิงอรคือเพื่อนสนิทของนาทยสุรี สองคนนี้มักไปมาหาสู่กันยิ่งกว่าเพื่อนแท้ เป็นยิ่งกว่าพี่น้องกัน ถ้าอิงอรลงมากรุงเทพฯ ก็มักจะมานอนค้างยังบ้านของนาทยสุรี หรือถ้า นาทยสุรีอยากเปลี่ยนบรรยากาศ เข้าหาธรรมชาติ ก็จะขึ้นเหนือไปพักยังบ้านของอิงอรอยู่เป็นเดือนๆแทนก็มี...
“อ้าว...แล้วทำไมน้องถึงไม่บอกใครไว้เลยสักคนล่ะครับ จะไปไหนมาไหนทั้งทีก็น่าจะบอกกันเอาไว้บ้าง ไม่ใช่หนีหายแล้วทิ้งจดหมายเอาไว้เฉยๆเสียแบบนี้...” คนเป็นพี่ชายเอ่ยเสียงดุ เมื่อครั้งนี้นาทยสุรีทำไม่ถูกต้องนัก จะไปไหนมาไหนก็น่าจะบอกกับใครเอาไว้สักคนก็ยังดี ไม่ใช่มาเขียนจดหมายทิ้งไว้อย่างนี้ ทำตัวยิ่งว่าเด็กสามขวบ นี่ถ้ากลับบ้านมาหนนี้ เขาในฐานะพี่ชายจะต้องเรียกมาคุยกันให้รู้เรื่องสักทีเสียแล้วแม่น้องสาวคนนี้เนี่ย...
“น้องคงโมโหที่เราไปบังคับแกให้ออกไปในงานเลี้ยงน่ะสิ ถึงได้ไม่ยอมบอกใครว่าจะไปบ้านของหนูอร...” คุณหญิงละไมยังคงพูดให้ท้ายลูกสาวตามเคย ถึงจะมีศักดิ์เป็นเพียงแม่เลี้ยง แต่ใครๆก็รู้ว่าคุณหญิงละไมนั้น ทั้งรักทั้งเอ็นดูนาทยสุรีมากเสียยิ่งกว่าอานนท์ลูกชายแท้ๆของตนเองเสียอีก
“คุณแม่ก็เป็นเสียแบบนี้ทุกที ให้ท้ายกันตะพึดตะพือตั้งแต่เล็กจนโต เห็นไหมเล่าครับน้องเลยเอาแต่ใจ จะไปไหนมาไหนก็ไม่คิดจะบอกใครเอาไว้สักคน ถึงจะบอกว่าโมโหก็เถอะครับ แต่ก็ต้องบอกกันสิมันถึงจะถูกต้อง ทำไมถึงชอบทำตัวแบบนี้นะ...ปล่อยให้คนอื่นเขาต้องคอยเป็นห่วง ออกตามหาตัวเองกันให้วุ่นวายกันไปหมด แล้วสุดท้ายเป็นไงครับ แม่น้องสาวสุดที่รักของผม เลยหนีไปเที่ยวเล่นอย่างสบายใจเฉิบเสียนี่ คิดว่าสนุกนักหรือไง ถึงชอบทำให้คนอื่นเขาต้องมาวุ่นวายเป็นห่วง คอยดูนะถ้าเจอตัวเมื่อไหร่ นนท์จะตีให้ก้นลายเลย”
“ก็ลองทำอย่างที่ปากพูดดูสิ แม่นี่แหละ...จะเป็นคนจับนนท์มาตีให้ก้นลายตอนอายุยสามสิบกว่าๆ ให้ได้อายกันบ้างเสียเอง เรื่องอะไรจะต้องไปตีน้องด้วย แม่เลี้ยงของแม่มา แม่ยังไม่เคยตี เราเป็นแค่พี่ชายจะมาตีน้องได้ยังไง แม่ไม่ยอมหรอกนะจะบอกให้...”
“ก็คอยให้ท้ายกันอย่างนี้ไงครับ น้องถึงได้เคยตัวเอาแต่ใจตัวเอง จะไปไหนมาไหนก็ไม่เคยคิดจะบอกใคร ทำให้วุ่ยวายกันไปทั้งบ้าน” บุตรชายหันไปทำหน้างอใส่มารดา
“เอ๊ะ! ตานนท์นี่อะไรกันหนักหนานะ กะอีแค่น้องอยากไปพักผ่อน จะมานั่งบ่นให้มันได้อะไรขึ้นมา”
“พอๆ ทั้งสองคนแม่ลูกเลย เลิกทะเลาะกันได้แล้ว ถ้าไม่มีอะไรก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนเถอะนะ วันนี้ฉันต้องขอบใจพวกเราทุกคนมากๆด้วย เอาไว้สิ้นเดือนนี้ฉันจะตอบแทนน้ำใจของทุกคนด้วยการเพิ่มเงินให้ก็แล้วกัน แยกย้ายกันไปนอนได้แล้ว...” ท่านเจ้าสัวนาทเมื่อยุติสงครามน้ำลายระหว่างแม่ลูกเสร็จ ท่านจึงหันไปขอบใจบรรดาคนรับใช้ทั้งหลาย ซึ่งต่างช่วยวิ่งวุ่นกันไปหมด
“งั้นเราสองคนก็ขึ้นไปพักผ่อนกันบ้างเถอะนะคุณหญิง เลยเวลาทานยาก่อนนอนมานานแล้ว เดี๋ยวอาการเธอก็กำเริบขึ้นมาอีกจนได้หรอก...” เมื่อหันไปไล่บรรดาคนงานให้ไปพักผ่อนจนหมดแล้ว ท่านเจ้าสัวจึงหันมาสนใจภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก โอบหลังจับจูงกันเดินขึ้นไปชั้นบน โดยมีสายตายิ้มล้อของบุตรชายมองตาม
“แล้วพรุ่งนี้โทรหาน้องด้วยล่ะนนท์ ว่าถึงบ้านของหนูอรแล้วหรือยัง อ้อ...แล้วนนท์ไม่ต้องดุหรือต่อว่าอะไรน้องอีกล่ะ ปล่อยให้หนูนิ่มไปพักผ่อนให้หายเบื่อก็ดีเหมือนกัน เอาไว้พ่อจะหาเวลาขึ้นไปดูที่ดูทางเอาไว้เป็นของตัวเองสักหน่อย หาซื้อเอาไว้ปลูกบ้านพักตากอากาศสักหลังคงจะดี หรือว่าไงคุณหญิง เธอคงจะชอบล่ะสิ บ้านเพื่อนของเธออยู่ที่นั่นด้วยไม่ใช่หรือไง...” เมื่อหันไปสั่งเสียบุตรชายเสร็จ เจ้าสัวนาทเลยหันมาถามความคิดเห็นของภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากต่อ
“ค่ะ...บ้านของปานดาว ก็ดีเหมือนกันนะคะน้องชอบอากาศทางเหนือ มันบริสุทธิ์หายใจเข้าไปก็ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายได้...” คุณหญิงละไมยิ้มรับกับความคิดนี้ของสามี
ลูกชายระบายยิ้มเต็มวงหน้า นึกอิจฉาความรักของท่านทั้งสองอย่างบอกไม่ถูก...
“หวานกันเหลือเกินนะครับคุณพ่อ คุณแม่...” อานนท์ได้ทีเอ่ยแซวบิดา มารดา แม้ว่าภายในใจของเขา ยังอดแอบเป็นห่วงน้องสาวของตัวเองไม่ได้ ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าน้องสาวของตัวเองไม่ได้ตกอยู่ในที่อันตราย แต่ก็ยังไว้ใจไม่ได้เสียทีเดียวนัก
“เอาไว้พรุ่งนี้เขาจะโทรไปถามข่าวคราวของน้องนิ่มแต่เช้าก็แล้วกัน...” ชายหนุ่มพึมพำอยู่คนเดียว ก่อนจะลุกเดินตามบิดาและมารดาขึ้นไปพักผ่อนยังห้องนอนของตัวเองบ้าง
--------------------------------------------------------------------