บทที่ 1 บังเอิญหรือพรหมลิขิต

3226 คำ
บทที่ 1 บังเอิญหรือพรหมลิขิต “คุณจะยืนอยู่หน้าห้องผมอีกนานไหมครับ” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นจากข้างหลังของฉันทำให้ฉันถึงกับสะดุ้ง ยืนยันสิ่งที่ฉันคิดได้เป็นอย่างดี บ้าเอ๊ย! ซวยอะไรขนาดนี้... “หลีกทางให้ผมด้วยครับ ผมมีธุระ” สิ้นสุดเสียงของเขา ฉันก็รีบเบี่ยงตัวหลบให้เขาเปิดประตูเข้าไป เอาไงดีเรา... ตามเข้าไปเลยดีไหม หรือว่าจะชิ่งหนีดี ยอมรับแบบไม่อายเลยว่าฉันสู้หน้าเขาไม่ได้แน่ ๆ ถึงแม้ฉันจะเป็นคนไม่ยอมใคร แต่ถ้าเป็นเขา ฉันคงต้องยกธงขาวแล้วล่ะ ใครจะไปรู้ว่าเขาคือคนที่ฉันแอบมองมาโดยตลอด แต่ด้วยความรับผิดชอบ ฉันไม่อยากละทิ้งเรื่องนี้ไปเพราะความขี้ขลาดของตัวเอง ซึ่งพอก้มมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือ เข็มนาฬิกาก็กำลังชี้บอกว่าถึงเวลานัดแล้ว เป็นไงเป็นกัน ฮึบ! ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! ฉันเคาะประตูสามครั้งเป็นมารยาท ก่อนจะเอื้อมมือไปหมุนลูกบิดประตู แอ๊ดด... ฉันเปิดประตูเข้ามาหลังจากที่ได้ยินเสียงตอบรับจากเจ้าของห้อง ด้วยความเกร็งจากเรื่องก่อนหน้านี้ทำให้ฉันไม่กล้าสบตากับเขา พอเข้ามาก็รีบเลื่อนสายตาสำรวจห้องพักของเขาแทน ซึ่งห้องพักของเขาค่อนข้างกว้างมีของใช้อำนวยความสะดวกครบครัน ทว่าพอเลื่อนสายตามองเขาก็เห็นว่าเขากำลังมองหน้าฉันอยู่ เราสบตากัน ซึ่งมันทำให้ฉัน รู้สึก… เขินอย่างบอกไม่ถูก... ทำไงดี ตอนนี้ฉันทำหน้านิ่ง ทำเป็นเคร่งขรึม ทำตัวให้เหมือนกับเสียงแข็ง ๆ ที่ตอบกลับเขาไปในโทรศัพท์เมื่อชั่วโมงที่แล้ว แต่ตอนนี้หน้าฉันกำลังร้อนผ่าวด้วยความเขิน เขาจ้องมองฉันเขม็งไม่ละสายตาเลยทีเดียว ก่อนที่ริมฝีปากหนาจะเอ่ยคำถามออกมาอย่างช้า ๆ “คุณคือ...หมอแล็บคนนั้นงั้นเหรอ นั่งสิ” เขาพูดพลางผายมือออกมา เป็นสัญลักษณ์บอกให้ฉันนั่งที่เก้าอี้ตรงกันข้ามกับเขา ก่อนที่ฉันจะรีบเดินไปหย่อนสะโพกลงที่เก้าอี้ตัวนั้นตามที่เขาบอกอย่างว่าง่าย “คุณไม่สบายหรือเปล่าครับ ทำไมหน้าแดงจัง หรือว่า...” พรึ่บ! “อ๊ะ! ทะทำอะไรของคุณน่ะ!” ฉันร้องสะดุ้งตกใจที่อยู่ ๆ เขาก็ลุกพรวดขึ้นพร้อมกับเอาหลังมือมาอังหน้าผากฉัน ราวกับกำลังจะวัดไข้ “วัดไข้ไง ดูไม่ออกเหรอ” เขาพูดหน้าตาย แต่มันกลับทำให้อาการเขินอายของฉันเป็นหนักกว่าเดิม “ก็ปกตินี่” เขาว่าพร้อมกับนั่งลงที่เดิมก่อนที่คิ้วหนาของเขาจะขมวดเข้าหากันราวกับกำลังสงสัยอะไรบางอย่าง เขาบ้าไปแล้วหรือไง ไม่รู้หรือไงว่ากำลังมีคนเขินเขาน่ะ ฉันเขินจะตายอยู่แล้ว... “ผมต้องการเหตุผลที่ฟังขึ้นนะ อะไรที่ทำให้คุณมั่นใจนักหนาว่าคุณไม่มีทางตรวจวิเคราะห์เลือดคนไข้รายนี้ผิด” เขาว่าพลางจ้องตาฉันเขม็ง น้ำเสียงของเขาทุ้มลึกเสนาะหูมาก แล้วอย่างนี้ฉันจะตั้งสติได้ยังไงกันล่ะ “เอิ่ม เอ่อ คือ...” บ้าเอ๊ย! มาติดอ่างอะไรตอนนี้ก็ไม่รู้ บอกเลยว่าปกติฉันเป็นคนมีความมั่นใจสูงมาก แต่ตอนนี้กลับกำลังไม่เป็นตัวของตัวเอง เอาไงดี เอาไงดี... “ไม่ต้องเขินหรอกนะ” “ห๊า...พะพูดอะไรของคุณน่ะ เขินอะไร...ฉันไม่ได้เขินนะ” เขาดูออกเหรอ...เอาไงล่ะทีนี้ ไม่ได้ ๆ แบบนี้เสียชื่อหมด ฉันกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะรีบเอ่ยปากพูดขึ้น “คุณก็น่าจะรู้นะคะว่า ในการวิเคราะห์ตัวอย่างของผู้ป่วยเราจะมีการทำสารควบคุมคุณภาพ [1] เสมอ ผลการวิเคราะห์ไม่อยู่ในช่วงค่าที่ยอมรับได้ เราจะไม่มีทางรายงานผลออกมา สิ่งที่ฉันกำลังจะสื่อคือเป็นไปได้ยาก ถ้าผลการวิเคราะห์อยู่ในช่วงที่ยอมรับได้แล้ว การวิเคราะห์ตัวอย่างของผู้ป่วยจะผิด ดังนั้นฉันจึงคิดว่า...ไม่มีทางที่ฉันจะวิเคราะห์ผิดค่ะ!” เฮือก!! ฉันพูดรวดเดียวจบโดยไม่ได้หยุดพักหายใจสักนิด เขามองหน้าฉันนิ่ง ทว่าก่อนที่เขาจะเอ่ยพูดอะไรออกมานั้น แอ๊ดดดด~ อยู่ ๆ เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นขัดจังหวะที่หมอวายุกำลังจะพูด ฉันหันหลังกลับไปมองก็พบว่าผู้มาใหม่ที่เข้ามานั้นเป็นเพื่อนเก่าฉันเอง “อ้าว! ญดามาทำอะไรที่นี่ ห้องของเธอไม่ใช่ห้องแล็บเหรอ” เธอเอ่ยทักฉันด้วยน้ำเสียงหวานหยดย้อยราวกับน้ำผึ้งเดือนห้า ซึ่งมันไม่ถูกใจฉันเลย “มาคุยธุระ” ฉันตอบเสียงแข็ง เธอพยักหน้าตอบรับก่อนจะหันไปหาบุคคลที่เธอต้องการพบ “พี่หมอคะ อรมีเรื่องจะปรึกษา คือมีเคสหนึ่งเขาเข้ามาตรวจด้วยอาการไอเรื้อรังมานานมาก อรส่องกล้องดูเจอพยาธิตัวหนึ่งอยู่ในปอดของเขา พี่หมอช่วยอรดูหน่อยสิว่าคือตัวไหน พอดีอรไม่แม่นเรื่องพยาธิสักเท่าไร” ยัยคุณหมออรเดินเข้าไปถามหมอวายุก่อนที่เธอจะยื่นภาพถ่ายจากกล้องจุลทรรศน์ให้เขาดู ถึงตอนนี้...ฉันเหมือนไม่มีตัวตน ฉันกำลังกลายเป็นฝุ่นเพียงแค่เขาเอื้อมมือขึ้นไปปัด มันก็สลายและหายไปจากตรงนี้ อยู่ ๆ หัวใจของฉันก็กระตุก มันเสียวแปล๊บที่หัวใจ มันเหมือนกำลังน้อยใจ ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่เข้าใจไหมว่าฉันแอบชอบเขามานานมาก แล้วอยู่ ๆ เธอคนนี้ก็มีท่าทีสนิทสนมกับเขาแถมเธอยังเป็นเพื่อนเก่าฉันอีกต่างหาก เราเคยมีปัญหากัน...ปัญหาที่ฉันไม่อยากพูดถึง ฉันกำลังน้อยใจ... หมอวายุหันมาสบตาฉันครู่หนึ่งก่อนที่ริมฝีปากหนาจะเอ่ยพูดในสิ่งที่ฉันไม่คิดว่าจะได้ยิน “ผมกำลังคุยธุระกับคุณญดา อรไม่เห็นหรือไง อีกอย่างทำไมอรไม่เคาะประตูห้องก่อนเข้ามา” เขาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ แฝงไปด้วยความไม่พอใจ “เอ่อ...อรไม่รู้ว่ามีพี่หมอมีแขก อีกอย่างคนไข้รายนี้เขาเป็นคนสำคัญ อรกำลังเร่งมือเพื่อวินิจฉัยโรคให้เขาอยู่ อรขอโทษนะคะที่ทำให้พี่หมอไม่พอใจ” หมออรพูดพลางทำหน้าเศร้า เธอก้มหน้าลงเล็กน้อย “อร คนไข้ทุกคนสำคัญเท่ากันหมดนะ ผมว่าถ้าอรอยากรู้เรื่องปรสิต หรือพยาธิตัวนี้อรควรไปขอคำปรึกษากับคุณญดานะ เพราะเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้มากกว่าผม” หมอวายุพูดพร้อมกับพยักพเยิดหน้ามาทางฉัน “อรไม่อยากรบกวนดาหรอกค่ะ ถ้างั้นอรไปถามหมอแล็บที่ห้องปรสิตวิทยาก็ได้ค่ะ อรไปก่อนนะ ขอโทษที่รบกวนนะคะ” เธอพูดพร้อมกับตีหน้าเศร้าก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับจ้องฉันเขม็ง เธอคงไม่พอใจที่ฉันเป็นต้นเหตุให้เธอเสียหน้ามั้ง แต่ฉัน...สะใจจัง “เรามาต่อเรื่องของเราดีกว่า” หมอวายุเอ่ยขึ้นหลังจากที่หมออรออกไปแล้ว “เอ่อ ฉันว่าฉันกลับไปทบทวนกระบวนการวิเคราะห์ใหม่ดีกว่าค่ะ” ฉันเริ่มไม่มั่นใจแล้ว ทำไมฉันเปลี่ยนคำพูดน่ะเหรอ เพราะฉันเห็นชื่อมหา’ลัยที่เขาจบออกมาไงล่ะ เขาจบมาจากมหา’ลัยเดียวกันกับฉันซึ่งเป็นมหา’ลัยทางการแพทย์โดยเฉพาะ ซึ่งเขาคงเก่งมากที่สามารถสอบได้และจบออกมาได้ เพราะฉันน่ะรู้ดีว่ามหา’ลัยนี้โหดเหี้ยมมากแค่ไหน อีกอย่าง...เหมือนที่เขาว่านั่นแหละ เขาวินิจฉัยโรคตามผลแล็บ ถ้าฉันไม่กลับไปทบทวนเขาก็คงวินิจฉัยออกมาเหมือนเดิม ยอมลดราวาศอกให้เขาดีกว่า ...ฉันไม่ได้เห็นแก่ผู้ชายนะ ฉันพูดจริง ๆ “งั้น...นี่เป็นเอกสารรายงานผลการติดตามอาการของ คนไข้สมพงษ์ รัตนสมบูรณ์นะครับ” ว่าพลางยื่นแผ่นชาร์ตคนไข้ที่มีชื่อคนไข้ติดอยู่ทางด้านหน้ามาให้ฉัน “โอเคค่ะ งั้นฉันกลับไปทำงานก่อนนะคะ” ฉันคว้าเอาชาร์ตคนไข้แผ่นนี้มาถือไว้ในมือ ก่อนจะลุกขึ้นและหมุนตัวเดินกลับ ทว่า “เดี๋ยวก่อน” “คะ?” เสียงเรียกของเขาทำให้ฉันหันกลับมาสบตา “ขอไลน์หน่อยสิ” “ละไลน์...อึก” /// ฉันทำตัวไม่ถูก และสมองของฉันกำลังเพ้ออย่างหนัก คาดว่าแก้มของฉันคงแดงเป็นตูดลิง “ไม่ได้เหรอ?” ทำไมต้องทำหน้าอ้อนขนาดนี้ด้วย เขาขอไลน์ฉันทำไมหรือว่า เขาจะ จี... “พอดีจะเก็บไว้ติดต่อคุยเรื่องเคสคนไข้น่ะ ผมไม่อยากใช้โทรศัพท์ที่ห้องทำงาน มันน่าสงสัย คุณก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก การวินิจฉัยโรคผิดเป็นเรื่องใหญ่ ผมไม่อยากให้ใครสงสัยว่าทำไมถึงโทรเข้าห้องแล็บบ่อย” อย่างนั้นเหรอ เขาอธิบายซะยาวเหยียด เล่นเอาสิ่งที่ฉันมโนในหัวพังทลายลงในพริบตาเดียว ฉันคิดอะไรของฉันเนี่ย...ฉันกำลังคิดว่าเขาจะจีบฉันเนี่ยนะ! “อ้อ” ฉันทำหน้าเลิ่กลั่กก่อนจะบอกไอดีไลน์เขาไป “งั้นฉันไปก่อนนะคะ” พอไม่มีอะไรจะพูด ฉันก็เลยขอตัวพร้อมกับหมุนตัวหันกลับไปอีกรอบ ทว่า “เดี๋ยวก่อน” ฉันหมุนตัวกลับมาหาเขาทันควัน ราวกับรอจังหวะให้เขาเอ่ยเรียก “คะ?” “ไม่มั่นใจว่าอะไรติดฟันคุณ” “ห้ะ!!” ใครก็ได้เอาปืนมายิงฉันทิ้งที ฉันอายมากแล้วอะไรมาติดฟันฉัน! “ทะทำไม เพิ่งมาบอกคะ” “ล้อเล่นน่ะ คุณทำหน้าแบบนี้แล้ว น่ารักดี” เขาว่าหน้าตายโดยที่ไม่คิดถึงจิตใจคนฟังว่ามันละลายมากแค่ไหน น่ารักดี น่ารักดี คำคำนี้กำลังดังกึกก้องในหัวของฉัน ฉันนิ่งอึ้งไปเลย.... “ไปดีกว่า” ฉันก้มหน้างุดก่อนจะวิ่งออกจากห้องทำงานของเขาไป เขาพูดบ้าอะไรเนี่ย!...รู้ไหมว่ามีคนใกล้จะหัวใจวาย! พอออกมาฉันก็ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองที่มันกำลังเต้นตึกตัก ภาพลักษณ์คุณหมอที่ฉันเห็นที่ฉันแอบมองมาตลอดกับตอนนี้มันต่างกันราวฟ้ากับเหว เขาหล่อเหมือนกับเทพบุตรแต่มีนิสัยปลิ้นปล้อน ชอบเย้าแหย่ ขัดกับลุคคุณชายของเขาและฉัน...ก็ชอบมากกว่าเดิมอีก เวลาต่อมา... @ห้องตรวจอายุรกรรมแพทย์ [14.00น.] -วายุ- เวลาผ่านมากว่าหนึ่งชั่วโมงแล้วที่ผมได้คุยกับญดาจนถึงตอนนี้ผมก็ยังคงหุบยิ้มไม่ได้ บ้าเอ๊ย! เธอน่ารักชะมัด ใบหน้าสวยของเธอแดงก่ำพร้อมกับท่าทางเขินอายของเธอนั้น แต่เธอกลับพยายามเกร็งใบหน้าไม่ให้ยิ้มจนผมอดไม่ได้ที่จะบอกเธอว่าเธอน่ารักมาก ซึ่งมันดูตลกพิลึกดีที่ผมพูดออกมาหน้าด้าน ๆ แบบนั้น... ก่อนหน้านี้ผมเผลอสบตากับเธอที่โรงอาหาร ตอนนั้นเธอกำลังชะเง้อหน้ามองหาใครสักคน มันทำให้ผมรู้สึกแปลก ๆ รอบกายมันเงียบมาก เหมือนว่าเวลานั้นมีแค่เรา ถ้าเรียกความรู้สึกนี้ว่าตกหลุมรัก ผมว่าผมตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกเห็น ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้กับตัวเองเลยตั้งแต่เกิดมา...ผมไม่เคยเจอเธอและไม่เคยสังเกตเห็นเธอ ด้วยความที่โรงพยาบาลของเราใหญ่มาก หรือไม่ก็...เธออาจจะหลบหน้าผม เธอเป็นคนสวยโดยเฉพาะในสายตาของผม ท่าทางการเดินการพูดของเธอดูมั่นใจมาก และมันก็ตรงกับสเปกของผมมาก เธอไว้ผมหน้าม้า มีสีผมสีน้ำตาล ทุกอย่างมันดูลงตัวไปหมด ...ทว่าขณะที่ผมกำลังเพ้อฝันอยู่นั้น “ไอ้ยุ!!!” เสียงเรียกชื่อของผมก็ดังสนั่นห้องตรวจโรคทันที ผมเงยหน้าขึ้นก็พบกับใบหน้าอันหล่อเหลาที่น้อยกว่าผมกำลังโมโหอยู่ “มึงจะตะโกนทำไมเนี่ย...ไอ้ชัยย์ไม่เห็นหรือไงว่ากูกำลังเขียนรายงานตรวจโรคอยู่” ว่าอย่างข่มอารมณ์ พยายามกลบเกลื่อนความคิดของตัวเองโดยการกล่าวโทษเพื่อนรักออกไป “กูเรียกมึงสามสี่รอบแล้วมึงก็ไม่หัน แถมยังเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เป็นบ้าหรือไง” มันว่าพลางล้อเลียนหน้าตาผมตอนยิ้ม ผมยิ้มขนาดนั้นเลยเหรอ บ้าหน่า… “แล้วมึงมีอะไร ไม่มีผ่าตัดหรือไง” “มี แต่ไม่ผ่า” ได้เหรอ? ผมขมวดคิ้วด้วยความมึนงง มันพูดออกมาแบบนี้ได้ยังไง “กูหมายถึงว่าเคสที่นัดไว้ถูกเลื่อน แต่เลื่อนเคสหลังมาก็ไม่ได้เพราะยังไม่ถึงเวลาเหมาะสม” “ละมึงมาหากูมีไร” คนอย่างไอ้ชัยย์ ถ้าไม่มีธุระมันไม่มาหาผมหรอก “คือเมื่อตอนบ่าย กูเห็นหมอดาเดินออกจากห้องพักมึง มึงรู้จักเขาด้วยเหรอวะ” “หมอแล็บน่ะเหรอ” ผมถามพร้อมกับเลิกคิ้วข้างหนึ่งด้วยความสงสัย หรือไอ้นี่จะ... “ใช่ ถ้ามึงรู้จักเขามึงช่วยแนะนำกูให้เขาหน่อยสิ กูมีบางอย่างอยากถามเขา” “ถามเรื่อง?” “ก็เธอน่ารักดี” ไอ้ชัยย์พูดพลางทำหน้าตาเพ้อฝัน แต่ผมว่าไอ้นี่มันหน้าหม้อ หรือไม่มันก็มีจุดประสงค์อะไรบางอย่าง ถ้าไม่มีมันไม่ถ่อมาหาผมด้วยเรื่องแค่นี้หรอก ...หรือเทคนิคการแพทย์ที่มันเคยพูดถึง มันจะหมายถึงเธอคนนี้ แต่ถ้าหมายถึงจริง ๆ คนหน้าด้านอย่างมันต้องจีบแล้วป่ะ “เขาไม่เอามึงหรอก” ผมว่าอย่างไม่ใส่ใจ อีกอย่างผมเห็นมันพูดแบบนี้กับผู้หญิงทุกคน “ทำไมล่ะ กูโปรไฟล์ออกจะดี” “เขาน่าจะมีแฟนแล้ว ไม่งั้นก็คงกำลังจะมี” “เขาบอกมึงเหรอ?” ไอ้ชัยย์จ้องผมด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “เถอะน่า เอาเป็นว่ากูรู้ก็แล้วกัน” ผมตอบพลางยกแขนขึ้นมาดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือเป็นการไล่มันกลาย ๆ “เออ ๆ ไม่ต้องทำท่าจะไล่ ไปก็ได้ แต่วันนี้มึงอยู่เวรกับกูนะ...อย่าลืม” “เอ้อ กูไม่ลืมหรอก” ผมพูดไล่หลังไอ้ชัยย์ก่อนมันจะเดินออกจากห้องทำงานของผม...สักที “เฮ้ออ...” คล้อยหลังมันไปผมก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เกือบไปแล้วเรา เกือบเผยพิรุธแล้ว ผมคิดในใจก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าเอาโทรศัพท์มาโทรบอกพยาบาลหน้าห้องให้เรียกคนไข้คนต่อไปเข้ามาได้ ตกดึก... @ห้องปฏิบัติการเคมีคลินิก [19.00 น.] -ญดา- ติ๊ง! ติ๊ง! “ดา! เสียงแจ้งเตือนเครื่อง Automate [2] ดังแล้ว” ฉันสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงเรียกของหัวหน้า “อ้อค่ะ...” ฉันรีบวิ่งไปที่เครื่องก่อนที่จะบันทึกผลตรวจพร้อมกับลงชื่อตัวเอง แล้วกดส่งรายงานผลแล็บไปที่ห้องฉุกเฉิน “เรียบร้อย” ฉันพูดขึ้นหลังจากส่งรายงานผลแล็บไปแล้ว วันนี้ฉันเข้าเวร ตอนกลางคืนมักจะมีแต่คนไข้ฉุกเฉิน แต่เมื่อครู่ฉันกำลังเหม่อคิดไม่ตกเกี่ยวกับเคสคนไข้สมพงษ์ รัตนสมบูรณ์ คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก คิดไม่ออกว่าฉันพลาดตรงไหนในการทำการวิเคราะห์ เฮ้อ...เครียด “ดา พี่ขอคุยด้วยหน่อยสิ” เสียงของหัวหน้าดังขึ้นซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีสักเท่าไร น้ำเสียงเมื่อครู่นั้น...มีอะไรหรือเปล่านะ “ค่ะ” ฉันเดินคอตกไปที่โต๊ะทำงานของหัวหน้า หัวหน้าไม่ได้ทำการวิเคราะห์แต่เป็นคนควบคุมดูแลห้องปฏิบัติการ และดูแลเอกสารต่าง ๆ “เมื่อกี้เธอเหม่อไม่มีสติ เธอรู้ใช่ไหมว่าทุกวินาทีมีความหมายกับคนไข้ นี่เป็นเคสฉุกเฉินการที่เธอเหม่อ ไม่ได้ยินเสียงแจ้งเตือนเพียงแค่วินาทีเดียวอาจจะทำให้คนไข้ได้รับการรักษาช้า คนไข้เสียชีวิตได้เลยนะ เธอก็รู้ว่าทางห้องฉุกเฉินเขารอผลแล็บจากเราอยู่” “เข้าใจค่ะ ขอโทษนะคะ” ฉันเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี ฉันไม่เคยพลาดสักวินาที แต่วันนี้ทำไมเป็นงี้นะ... “เธอไปล้างหน้าล้างตาไปพักผ่อนก่อนเถอะ เดี๋ยวมีเคสฉุกเฉินมาอีกฉันจะโทรหา อย่าลืมโทรศัพท์ล่ะ” “ค่ะ ขอบคุณค่ะ” ถึงแม้หัวหน้าของฉันจะมีสีหน้าและท่าทางน่ากลัว แต่ฉันก็รู้ว่าเธอเอ็นดูฉัน ให้คำแนะนำในทุก ๆ เรื่องรวมถึงเรื่องนี้เช่นกัน... เวลาต่อมา... @หน้าห้องฉุกเฉิน [ER] ฉันกำลังนั่งข้าง ๆ ตู้กดกาแฟเย็น ด้านหน้าของฉันเป็นห้องฉุกเฉิน ฉันเป็นห่วงคนไข้ที่เพิ่งส่งผลตรวจไป ซึ่งการที่ฉันส่งผลแล็บช้าทำให้ฉันเกรงว่าจะมีผลอะไรกับคนไข้ในภายหลัง ตึ้ง! ตึ้ง! เสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ฉันดังขึ้น ก่อนที่ฉันจะหยิบขึ้นมาดู ซึ่งรายชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์นั่นก็คือ... หมอวายุ... เขาแอดไลน์ฉันมา แต่ว่า...ขอไปตั้งนานเพิ่งแอดมาเหรอเนี่ย! แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะฉันก็กดตอบรับเขาเป็นเพื่อนอยู่ดี ในตอนนี้ก้อนเนื้อใต้ซี่โครงกระดูกหน้าอกของฉันกำลังเต้นไม่ส่ำ เขาเป็นต้นเหตุให้ฉันเหม่อหรือเปล่านะ ฉันแค่เอาเคสคนไข้เข้ามาเป็นข้ออ้างหรือเหล่า ฉันกำลังคิดถึงเขาอยู่สินะ เฮ้อออ… หรือว่าฉันควรหยุดชอบเขา มันดูเพ้อฝันมาก ๆ และที่สำคัญการที่ฉันแอบมองเขาอยู่มันดีกว่าการที่ฉันได้รู้จักกับเขา เพราะฉันรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลย ฉันจะไปต่อหรือพอแค่นี้ดีนะ ทว่า “อ๊ะ!” ใครกันเนี่ย อยู่ ๆ ใบหน้าของฉันก็ชาวาบด้วยความเย็นเฉียบ ใครกันที่เอากระป๋องกาแฟเย็นมาแนบพวงแก้มของฉัน ฉันหันหน้าไปมองด้านข้างทันที กำลังจะตวาดด้วยความหงุดหงิดอยู่แล้ว แต่... “หมอ วายุ” ///// เราสบตากันนิ่ง พอได้เห็นหน้าเขา ฉันก็สามารถตอบคำถามในใจได้เลย จะไปต่อหรือพอแค่นี้น่ะเหรอ ไปสิ! ไปต่อ ลุยไปเลย! [1] สารวัสดุควบคุมคุณภาพ (control material or QC sample) หมายถึง วัสดุหรือสารซึ่งมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับตัวอย่างผู้ป่วยที่เตรียมขึ้นอย่างดีเป็นค่าอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ [2] เครื่อง Automated เป็นเครื่องมือตรวจวิเคราะห์อัตโนมัติแต่ต้องถูกควบคุมด้วยบุคลากรทางการแพทย์ที่เชี่ยวชาญ มีการตั้งค่ารวมถึงการเติมน้ำยาในการตรวจวิเคราะห์ สามารถรายงานผลได้ทันที
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม