บทนำ
เหตุการณ์ในวันวาน...
@The hospital A
ณ ห้องเคมีคลินิก [11:50 น.]
ภายในห้องปฏิบัติเคมีคลินิกของโรงพยาบาลกึ่งรัฐกึ่งเอกชนแห่งหนึ่ง มีเสียงโทรศัพท์ดังอย่างต่อเนื่อง
กริ่ง กริ่ง~
“ญดา มีสายเรียกเข้าจากคุณหมอที่ดูแลเคสคนไข้ ‘สมพงษ์ รัตนสมบูรณ์’ รีบมารับเร็ว”หญิงวัยกลางคนเอ่ยเรียกหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังเก็บอุปกรณ์ตรวจวิเคราะห์อยู่อีกด้านหนึ่งของห้องทำงาน
“คะ?” เจ้าของชื่อเอ่ยปากตอบรับด้วยความสงสัยพร้อมกับเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันเมื่อได้ยินชื่อคนไข้คนนี้ ชื่อคุ้นหูเช่นนี้...หากจำไม่ผิดเธอเคยส่งผลตรวจไปแล้ว คนไข้คนนี้ยังไม่ออกจากโรงพยาบาลอย่างนั้นหรือ
“สวัสดีค่ะ เทคนิคการแพทย์ ญดา อศวนนท์ กำลังถือสายค่ะ” หญิงสาวรับโทรศัพท์ประจำห้องปฏิบัติการเคมีคลินิกจากหญิงวัยกลางคนที่เป็นหัวหน้าของเธอด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลใจ พร้อมกับเอ่ยเสียงหวานแนะนำตัวออกไป
[ครับ...ผมวายุ นฤบดินทร์ เป็นแพทย์เจ้าของไข้ ‘คุณสมพงษ์ รัตนสมบูรณ์’ ผมมีข้อสงสัยอยากจะถามคุณ คุณเป็นคนตรวจวิเคราะห์เลือดคนไข้รายนี้ใช่ไหมครับ] เสียงของชายหนุ่มต้นสายพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบแต่แฝงไปด้วยความกังวลใจเป็นอย่างมาก
“ใช่ค่ะ” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงแน่วแน่แสดงความมั่นอกมั่นใจ ถึงแม้ในแต่ละวันเธอจะตรวจวิเคราะห์คนไข้หลายราย แต่เลือดคนไข้คนนี้ถูกส่งเข้ามาตรวจในห้องแล็บนานถึงสามวันติดแล้ว ทำไมเธอถึงจะจำไม่ได้
[ผมว่าคุณตรวจวิเคราะห์เลือดคนไข้ผิดนะ] สิ่งที่ได้ยินทำให้ญดาชะงักไป เป็นไปไม่ได้ เพราะเธอตรวจเช็กผลทุกครั้งหลังจากเครื่องมือตรวจวิเคราะห์เสร็จแล้ว
“คุณกำลังกล่าวหาฉันอยู่นะคะ รบกวนคุณช่วยอธิบายรายละเอียดที่ทำให้คุณคิดว่าฉันตรวจวิเคราะห์เลือดคนไข้ผิดด้วยค่ะ” หญิงสาวกัดฟันพูดด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ เธอกำลังเครียดอย่างหนัก จะไม่ให้เครียดได้อย่างไร การตรวจวิเคราะห์ผิดพลาดนั้นไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่มันเป็นเรื่องใหญ่มาก ตลอดระยะเวลาห้าปีที่ทำงานมาเธอไม่เคยตรวจวิเคราะห์ผิดแม้แต่ครั้งเดียว แต่วันนี้กลับมีหมอเสียงหล่อโทรมาบอกว่าเธอวิเคราะห์เลือดผิดเสียอย่างนั้น...
อีกด้านหนึ่ง...
@ห้องตรวจโรคอายุรกรรมแพทย์
ภายในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวล้วน นายแพทย์คนหนึ่งกำลังนั่งคุยโทรศัพท์กับนักเทคนิคการแพทย์หญิงหรือที่รู้จักกันในชื่อหมอแล็บ เขามีสีหน้ากังวลเป็นอย่างมาก วายุคิดไม่ตกมาหลายวันแล้วว่าทำไมคนไข้รายนี้ถึงมีรายงานผลการรักษาไม่ดีขึ้นเลย เขาสั่งให้พยาบาลส่งใบคำร้องขอตรวจเลือดไปยังห้องแล็บมาสามวันติด และผลการตรวจเลือดออกมาเป็นเหมือนเดิมทุกวัน ทำให้เขาวินิจฉัยเหมือนเดิม ให้ยารักษาเหมือนเดิมทุกวัน แต่ผลตรวจเลือดทางห้องแล็บกลับไม่ดีขึ้นเลยสักนิด ราวกับว่าคนไข้ไม่ได้รับการรักษาอย่างไงอย่างงั้น
“ผมไม่ได้กล่าวหาคุณ คนไข้รายนี้เข้ารับการรักษามานานแล้ว แต่อาการของเขาไม่ดีขึ้นเลยสักนิด คุณก็น่าจะรู้ว่าผมวินิจฉัยโรคต่าง ๆ ร่วมกับการรายงานผลแล็บของคุณ แต่สิ่งที่จะยืนยันผลการรักษาได้คือผลตรวจจากห้องแล็บของคุณ และคุณก็น่าจะรู้อีกอย่างนะว่า คนไข้ได้รับยาต่าง ๆ ก็เป็นผลมาจากการวินิจฉัยจากห้องแล็บ ถ้ามันไม่ผิดที่คุณ แล้วมันจะไปผิดที่ใคร” ชายหนุ่มรัวคำพูดลอดไรฟันอย่างเหลืออด เขาอัดอั้นมานานกับเรื่องนี้ วายุอยากจะเดินเข้าไปถามตรง ๆ กับทางห้องแล็บเอง แต่ก็มีเวลาไม่มากพอ
ทว่าคำตอบของเขากลับทำให้คนฟังตอบกลับด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างมากกว่าเดิม
[เนี่ย...แบบนี้แหละที่เรียกว่ากล่าวหา ฉันจะบอกเอาไว้เลยว่าฉันไม่มีทางวิเคราะห์ผิดแน่!] ตอบกลับเสียงไม่พอใจ
หน็อย...ใครจะยอมให้ไอ้คุณหมอคนนี้มากล่าวหาแบบไม่มีหลักฐานแบบนี้
หญิงสาวคิดในใจ ก่อนจะเหลือบมองเห็นนาฬิกาติดฝาผนังที่กำลังบอกเวลาเที่ยงกว่าแล้ว
“เที่ยงห้าสิบเจอกันที่ห้องพักของคุณ ฉันจะไปอธิบายเหตุผลว่าทำไมฉันถึงไม่มีทางวิเคราะห์เลือดผิด!” หญิงสาวไม่ทิ้งเวลาให้หมอหนุ่มตอบกลับ รีบกดตัดสายทันที
ติ๊ด!
“เฮ้อ~” เสียงถอนหายใจยาวผ่อนออกมาอย่างคนเหนื่อยหน่ายกับชีวิต ทำงานตั้งแต่เช้ายังไม่ทันได้พัก ยังต้องมาคอยรองรับอารมณ์หมอบ้าวินิจฉัยโรคผิดแล้วมากล่าวโทษเธออีก
...แต่พอนึกได้ว่าเที่ยงนี้เธอจะได้เจอกับใครบางคนที่โรงอาหารบุคลากรแพทย์แล้ว หัวใจดวงน้อยก็กระชุ่มกระชวยขึ้นมาทันที ริมฝีปากบางกระตุกยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ออกมาอย่างคนเพ้อฝัน...
@โรงอาหารบุคลากรแพทย์
-ญดา-
เวลาพักเที่ยงยิ่งน้อย แต่ต้องรีบสั่งอาหารแล้วรีบไปหาคุณหมอคนนั้นอีก แค่คิดอาหารมื้อนี้ก็ไม่อร่อย
“วันนี้รับอะไรครับคุณหมอคนสวย” พ่อค้าเจ้าของร้านอาหารตามสั่งเอ่ยถามฉันที่ยืนหันซ้ายหันขวา เพื่อมองหาใครบางคนอยู่
“เหมือนเดิมค่ะ” ฉันตอบทั้ง ๆ ที่ไม่ได้หันไปมอง แต่ก็รับรู้ได้ว่าพ่อค้าพยักหน้ารับ เป็นอันรู้กันว่าคำว่า ‘เหมือนเดิม’ ของฉันหมายถึงอะไร ทว่า
“ไม่ได้เป็นหมอ ยังจะให้เขาเรียกหมออีกนะ หึ” เสียงพูดเสียดสีที่ดังมาจากทางด้านหลังพร้อมกับเสียงหัวเราะเยาะชอบใจของใครบางคนดังขึ้น ทำให้ฉันที่กำลังเอาช้อนแช่ในน้ำร้อนรีบหันกลับไปมองในทันที
“เอ๊ะ! ชิ่ว ๆ เสียงนกเสียงกาที่ไหนมันร้องขึ้นเนี่ย อ๊ะ! เสียงคุณพยาบาลข้างบ้านนี่เอง หึ! ไม่ให้เขาเรียกหมอจะให้เขาเรียก คุณนักเทคนิคการแพทย์หญิงเหรอจ๊ะ คุณพยาบาล” ฉันว่าพลางสลัดช้อนที่มีหยดน้ำร้อนแรง ๆ ให้หยดน้ำกระเด็นใส่ยัยพีชพยาบาลสาวข้างบ้านของฉัน
“นี่เธอ!”
“อุ๊ย! โทษทีนึกว่าผีเลยเผลอรดน้ำมนต์เข้าให้ หึ ๆ” ฉันไม่ปล่อยให้ยัยนั่นมีโอกาสได้โต้กลับสักคำเดียว รีบรับข้าวจากพ่อค้าก่อนจะเบี่ยงตัวหลบเดินหนีไป แต่ไม่วายแอบเห็นสายตาอาฆาตพร้อมกับเสียงกัดฟันกรอดของยัยพีชที่ส่งมาให้ ให้ตายยัยนี่ก็ไม่กล้าส่งเสียงกรี๊ด หรือตะโกนด่าฉันในขณะที่คนเยอะ ๆ หรอกนะ เดี๋ยวมันเสียภาพพจน์ คุณพยาบาลแสนใจดี
“ญดา! ทางนี้” เสียงตะโกนเรียกชื่อไม่สนใจใครของน้ำผึ้งเพื่อนของฉันดังขึ้น ซึ่งฉันก็กำลังสอดสายตามองหาพอดี เธอตะโกนพร้อมกับกวักมือเรียกให้ไปหา ฉันที่เห็นท่าทางตลกของยัยเพื่อนรักจึงรีบเดินไปที่โต๊ะกินข้าวด้วยความรวดเร็ว
“ทำไรของแกน้ำผึ้ง ไม่อายคนหรือไง” ฉันเอ็ดเพื่อนเล็กน้อย
“เปล่าสักหน่อย เอ้อ...ว่าแต่ แกยืนคุยอะไรกับยัยพีชน่ะ”
“ไม่มีอะไรหรอก ยัยนั่นก็พูดเสียดสีฉันตามเคย” ฉันกับยัยพีชเราเป็นคู่กัดกันมานานมากแล้วตั้งแต่เด็ก ด้วยความที่ฉันสอบได้เทคนิคการแพทย์ แต่แม่ฉันนึกว่าวิชาชีพเดียวกันกับแพทย์
...แม่เล่นไปอวดฉันให้เพื่อนข้างบ้านฟัง ทำเอายัยพีชที่เป็นลูกของเพื่อนบ้านที่สอบได้พยาบาลไม่พอใจ ส่วนฉันน่ะเหรอ อธิบายร้อยแปดครั้งให้แม่ฟังแล้วล่ะว่ามันคนละวิชาชีพกัน แต่แม่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ฉันเลยปล่อยผ่านไปใครจะเรียกอะไรก็ช่าง แต่สุดท้ายฉันก็รักในวิชาชีพของฉันเหมือนเดิม
ฉันกับน้ำผึ้งเรานั่งกินข้าวด้วยกันจนหมด ก่อนที่ยัยน้ำผึ้งจะทำท่าทางแปลก ๆ ละล่ำละลักพยายามพยักพเยิดหน้าแทนการชี้นิ้วให้ฉันมองไปทางด้านหลัง ซึ่งฉันก็รีบหันหลังไปมองทันที
ซึ่งมัน…ทำให้
ฉันสบตาเข้ากับ ‘ใครบางคน’ ที่ฉันอยากเจอเข้าอย่างจังกรี๊ด!!! เอาไงดี...
ทำเป็นเสมองไปทางอื่นหรือหันกลับมาทันทีดี ไม่ได้ ๆ ถ้าหันกลับมาทันทีเขาก็รู้น่ะสิว่าฉันมองเขาอยู่
งั้น...
ฉันทำท่าทีเหมือนเหม่อชะเง้อคอมองหาใครสักคนทางด้านหลังของเขา ก่อนจะหันกลับมาแยกเขี้ยวใส่ยัยน้ำผึ้งทันที
“ทำอะไรของแกยัยผึ้ง!”
“ทำไมมองฉันอย่างงั้นอ่ะ ฉันอุตส่าห์เรียกให้ดู แก...ญดา เมื่อไรแกจะเข้าไปทำความรู้จักกับเขาอ่ะ ชื่อก็ไม่รู้ ข้อมูลอะไรก็ไม่รู้ แกไม่อยากได้เขาจริงดิ หล่อมากเลยนะแก ระวังเถอะหมามันจะคาบไปแด-กซะก่อน”
“แกก็รู้ว่าหมอน่ะ เขาไม่ข้ามสายพันธุ์หรอกนะ หมอก็ต้องคู่กับหมอสิ” ส่วนฉันเป็นแค่เทคนิคการแพทย์จะไปกล้าเอื้อมได้ไง นี่เป็นเหตุผลที่ฉันไม่เคยสืบหาชื่อของเขาเลย เพราะมันแทบจะเป็นไปไม่ได้ ซึ่งขณะที่ฉันกำลังจมกับความคิดของตัวเอง อยู่ ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าฉันมีนัด
“เฮ้ย! เที่ยงสี่สิบห้าแล้ว ฉันไปก่อนนะ “ฉันก้มมองดูนาฬิกาข้อมือ เกือบลืมไปแล้วว่าฉันมีนัดคุยกับหมอบ้านั่น รีบลุกขึ้นวิ่งออกจากโรงอาหาร
“เดี๋ยวสิดา แกจะรีบไปไหนเนี่ย!” ไม่วายได้ยินเสียงตะโกนเรียกชื่อดังไล่หลังมา ซึ่งฉันก็รีบเกินกว่าจะตอบคำถามนั้น
@ตึกอายุรกรรมแพทย์
ติ๊ง!
ทันทีที่ประตูลิฟต์เลื่อนเปิดออก ฉันก็พุ่งทะยานเข้าไปด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะกดขึ้นไปยังชั้นสิบสองซึ่งเป็นห้องพักแพทย์ ทว่าก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดสนิทมันกลับเปิดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับใบหน้าหล่อเหลาของหมอคนหนึ่ง
ซึ่งเขาเป็นหมอ...
คนที่ฉันแอบชอบมาสามปีคนนั้น!!
ฉันเบี่ยงตัวหลบให้เขาไปยืนทางด้านหลัง เพราะฉันไม่กล้ายืนข้าง ๆ เขา
กรี๊ด...
ฉันกรีดร้องออกมาในใจ ไม่เคยอยู่ใกล้เขาขนาดนี้มาก่อนเลย
โอ๊ย! เขินเป็นบ้า
ซึ่งตอนนี้เขากำลังกดปิดลิฟต์ แต่ทำไมไม่กดชั้นหรือว่าไปชั้นเดียวกัน
อร้ายยย~
ทำอะไรก็ตรงกันไปหมด เนื้อคู่ชัด ๆ
ติ๊ง!
เสียงแจ้งเตือนลิฟต์ที่ดังขึ้นราวกับจงใจเตือนสติฉันที่กำลังฝันกลางวันอยู่ ประตูลิฟต์ค่อย ๆ เปิดออก นึกเสียดายที่ไม่ได้เดินตามเขาไปอย่างที่อยากทำ ฉันก้าวขาเดินออกไปเรื่อย ๆ พร้อมมองหาห้องพักของหมอบ้านั่น
แต่เอ...ฉันกลับรู้สึกเหมือนกับมีคนเดินตามหลังมา เหมือนหมอคนที่ฉันแอบชอบ เขา...เขา กำลังเดินตามฉันมา! หรือว่า... เขาจะตามมาบอกรักฉัน
เพียะ!
ฉันยกมือข้างหนึ่งตบหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติ นับวันยิ่งเพ้อเจ้อไปกันใหญ่
กึก!
กึก!
เจอแล้ว...
@ห้องพักนายแพทย์ วายุ นฤบดินทร์
แต่ว่าเอ...ทำไมคนตัวโตข้างหลังฉันถึงได้หยุดยืนพร้อมกันกับฉันล่ะ หรือว่า...ฉันยืนมองป้ายชื่อหน้าห้องทำงานของหมอบ้าคนนั้นพร้อมกับภาวนาในใจขอให้สิ่งที่ฉันคิดไม่เป็นความจริง
แต่สวรรค์คงทอดทิ้งฉันแล้ว
“คุณจะยืนอยู่หน้าห้องผมอีกนานไหมครับ”