@ห้องฉุกเฉิน [Emergency room]
ติ๊ง!
เสียงประตูอัตโนมัติดังขึ้นพร้อมกับเปิดออก ฉันแอบเห็นญาติคนไข้สองคนกำลังนั่งกุมมือกันอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน ทั้งสองคนกำลังร้องไห้อย่างหนัก คงเป็นพ่อแม่ของคนไข้
ฉันวิ่งมาที่เตียงคนไข้ พยาบาลห้องฉุกเฉินมองมาที่ฉันก่อนจะพยักหน้าไปที่รถเข็นที่มีเข็มเจาะเลือด และหลอดเก็บเลือดเต็มไปหมด เป็นอันรู้กันว่าฉันมาเก็บตัวอย่างเลือด ในขณะเดียวกันหมอ intern หรือหมอเพิ่งจบใหม่ทั่วไปกำลังใส่เครื่องช่วยหายใจให้คนไข้ พยาบาลกำลังต่อสาย Electrocardiogram เพื่อตรวจวัดคลื่นหัวใจ ส่วนหมอวายุเขากำลังเจาะเลือดเข้าที่ข้อมือของคนไข้ เป็นการเจาะเอาเลือดแดงจากเส้นเลือดแดงเพื่อตรวจวัด Blood gas [3] ส่วนฉันเจาะเลือดที่ด้านหน้าต้นแขนซ้าย เป็นการเจาะเลือดจากเส้นเลือดดำเพื่อตรวจวัดสาร Electrolyte [4] อย่างชำนาญ ทุกคนทำหน้าที่ตัวเองอย่างมืออาชีพ ไม่มีใครมีอาการสั่นหรือประหม่า ยอมรับเลยจริง ๆ ว่าฉันน่ะแอบประหม่าเล็กน้อย ถึงแม้ฉันจะเจาะเลือดมาหลายพันครั้งแทบนับไม่ถ้วน หรือลงมาเก็บเลือดด้วยตัวเองหลายครั้ง แต่ฉันไม่ได้ทำมันทุกวันสักหน่อย นาน ๆ ทีฉันถึงลงมาเก็บตัวอย่างเอง
“เตรียมเข็มฉีดไบคาร์โบเนต 5 ml ด้วยครับ” หมอวายุหันไปบอกพยาบาลที่เพิ่งต่อสายเครื่องตรวจวัดคลื่นหัวใจเสร็จ ทว่า
ตี๊ด...ตี๊ด...
เสียงแจ้งเตือนจากเครื่องตรวจวัดคลื่นหัวใจกลับดังขึ้น
“คุณหมอคะ คนไข้หัวใจหยุดเต้นค่ะ” ไม่รอให้พยาบาลพูดจบ หมอวายุก็ทำการกู้ชีพทันที เขาประสานมือที่หน้าอกของคนไข้พร้อมกับบีบนวดหัวใจโดยการปั๊มหัวใจ แต่ดูเหมือนจะไม่ถนัด ร่างหนากระโดดขึ้นเตียงผู้ป่วยพร้อมกับประสานมือเข้าหากันก่อนจะปั๊มหัวใจคนไข้ด้วยท่าทีทะมัดทะแมง
...ตอนนี้สีหน้าของหมอวายุไม่สู้ดีนัก ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ที่ผุดขึ้น คิ้วหนาของเขาขมวดเข้าหากันเป็นปม ฉันสัมผัสได้ถึงความเครียดที่เขากำลังเผชิญ
“ฉีดยากระตุ้นหัวใจ” เขาหันไปบอกหมอ intern ซึ่งอีกฝ่ายก็รีบทำตามโดยฉีดยากระตุ้นหัวใจที่เส้นเลือดดำที่ต้นแขนทางด้านหน้า หมอวายุผละตัวออกหลังจากที่เขาปั๊มหัวใจด้วยมือครบสองนาที จากนั้นหมอ intern ได้เปลี่ยนขึ้นมาปั๊มหัวใจแทน เวลาผ่านไปครบสองนาที แต่หัวใจก็ไม่กลับมาเต้นแล้ว...
บรรยากาศแบบนี้ฉันไม่ชอบเลย
หมอวายุหอบหายใจอย่างหนัก เขาค่อย ๆ เอ่ยพูดขึ้นอย่างช้า ๆ “คุณพยาบาล ไปเรียกญาติคนไข้เข้ามา”
หมอวายุว่าพลางก้มหน้าลงมองดูนาฬิกาบนข้อมือ ก่อนที่เขาจะขึ้นไปปั๊มหัวใจอีกครั้ง ฉันแอบเห็นว่าดวงตาของเขากำลังแดงก่ำ ฉันเข้าใจเขา เพราะตอนนี้น้ำตาของฉันมันก็ได้ไหลออกมา ในหัวของฉันมีภาพของผู้ปกครองเด็กคนนี้ที่นั่งร้องไห้อยู่หน้าห้องฉุกเฉิน มันจุกที่ลิ้นปี่ จุกมาก ๆ เลย
ฉันควรออกไปจากตรงนี้ดีไหมนะ แต่ฉันอยากอยู่ข้าง ๆ หมอวายุในทุกช่วงชีวิต แม้จะไม่รู้ว่าเขาต้องการไหม แต่ว่าฉันชอบเขาและอยากอยู่เป็นกำลังใจให้ มันอาจจะดูสะเหล่อหน่อย ๆ แต่นั่นแหละก็ฉันชอบเขานี่
เขาเหมือนจะไม่ไหวเลย สีหน้าของเขามันบอกให้ฉันรอเขาอยู่ตรงนี้ บางทีในตอนที่เขาอ่อนแอ เขาอาจจะต้องการใครสักคนให้พักพิง...ฉันขอเข้าข้างตัวเองก็แล้วกันว่าคนนั้นควรเป็นฉัน
“ลูกแม่ ฮึก...ฮืออ~” เสียงร้องไห้ของญาติคนไข้ดังระงม ยิ่งกระตุ้นต่อมน้ำตาของฉัน แต่ฉันต้องกลั้นมันเอาไว้ไม่ให้มันไหลออกมาอีกครั้ง ตอนนี้หมอวายุลงมายืนอยู่ข้าง ๆ ญาติคนไข้ก่อนจะหันหน้าไปบอกพยาบาลด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกไม่สั่นไหว แต่ฉันรู้ว่าเขากำลังฝืน
“คนไข้เสียชีวิต เวลา 21.30 น.จากภาวะ Ketoacidosis [5]” สิ้นสุดเสียงพูดของเขา แม่ของคนไข้ก็ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นทันที
“ผมขอแสดงความเสียใจด้วยครับ” เขานั่งยอง ๆ ลงพูดต่อหน้าแม่ของคนไข้ที่มีคุณพ่อของคนไข้ยืนเสียใจอยู่ข้าง ๆ เช่นกัน หมอวายุพูดแสดงความเสียใจด้วยน้ำเสียงอ่อนไหว
“ฮึก ฮือ...” ญาติคนไข้ร้องไห้หนักกว่าเดิม หมอวายุลุกขึ้นก่อนจะเดินออกจากห้องฉุกเฉินไป โดยไม่หันหลังกลับมามองอีกเลย...ฉันรู้สึกว่าตัวเองต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่รู้ว่าเขาจะต้องการไหมเหมือนกัน แต่เวลานี้แหละที่ฉันควรทำคะแนนกับเขา
@สวนดอกไม้หน้าโรงพยาบาล
-วายุ-
บรรยากาศรอบกายเวลานี้มันควรจะดีกว่านี้ ผมนั่งที่ม้านั่งในสวนดอกไม้นานเท่าไรแล้วนะ
หนึ่งชั่วโมงแล้วหรือเปล่า
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก
ผมทำงานที่นี่มานานแล้ว มีคนไข้หลายรายที่เสียชีวิตลงต่อหน้าต่อตาผม แต่บอกเลย ยังไงมันก็ไม่ชินสำหรับผม ผมอยากมาเป็นแพทย์เพราะต้องการช่วยชีวิตคน แต่กลับกลายเป็นว่าต้องมาบอกเวลาเสียชีวิตซะงั้น ผมเข้าใจเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดนะ มันเป็นปกติ แต่ผมยอมรับความเสียใจนี้ไม่ได้หรอก มันแบกรับเอาไว้ไม่ไหว ทว่า
“ถ้าแบกรับไม่ไหว แบ่งมาให้ฉันด้วยก็ได้นะคะ” ผมเงยหน้ามองตามเสียงเอ่ยพูดของใครบางคน จ้องมองหน้าเธอที่กำลังส่งยิ้มให้ผม
ญดา...
ผมรับรู้ความรู้สึกบางอย่างที่เธอเผยให้ผมได้รู้ แววตาเป็นประกายเวลาที่เธอมองผม ผมรู้สึกว่าเธอกำลังชอบผมอยู่
“ได้ยินความคิดผมเหรอ” ผมถามเธอ เพราะเธอพูดราวกับรู้ว่าผมเพิ่งคิดว่าตัวเองกำลังแบกรับความรู้สึกเสียใจไว้ไม่ไหว
“เปล่า ก็แค่อยากแบ่งเบาความทุกข์น่ะ” เธอว่าพลางยิ้มให้ผมเล็กน้อย
“นั่งสิ” ผมบอกให้เธอนั่งลงข้าง ๆ ผม ก่อนที่ผมจะถือวิสาสะอิงศีรษะที่ไหล่ของเธอ นี่แหละ...ผมจะบอกเอาไว้ให้ ผู้ชายทุกคนติดการสกินชิพหรือการแตะเนื้อต้องตัวผู้หญิง
“งั้นผมขอแบ่งเบาหน่อยนะ”
“อือ...” เธอตอบเสียงอ่อน ผมเพิ่งรู้จักกับเธอ คงทำให้เธอประหม่า แต่ว่าผมไม่ไหวแล้วจริง ๆ ก็เลยแสดงความรู้สึกออกมาแบบนี้
“เธอชื่อส้มโอครับ น้องส้มโอ คนไข้ที่เสียชีวิตลงเมื่อกี้น่ะ ผมดูแลมาตั้งแต่สิบเอ็ดขวบ เธอเป็นเบาหวานชนิดที่หนึ่ง ผมให้ยา ติดตามอาการของเธอมาตลอด สามปีมันนานนะสำหรับความผูกพันกับเด็กหญิงน่ารักคนหนึ่ง”
“_” ญดาไม่ได้พูดอะไรออกมา ผมรู้สึกอ่อนแอมาก ๆ อยากระบายความรู้สึกที่ติดอยู่ในอกออกไป มันดูเพ้อจริง ๆ แล้วก็อายเธอด้วย แต่ผม...เสียใจว่ะ
“ส้มโอมักจะถามผมเสมอว่า เธอกินขนมหวานได้ไหม ผมก็มักจะตอบว่า 'ได้สิ แต่ถ้าหนูกินเยอะ หนูจะไม่ได้เห็นหน้าพี่หมอนะ' แล้วเธอก็จะตอบว่า 'งั้นไม่กินก็ได้ เพราะส้มโออยากเห็นหน้าพี่หมอ' เรามักยิ้มและก็หัวเราะให้กันเสมอครับ ผมรู้ว่าไม่ควรผูกพันกับคนไข้แต่ว่าเราเจอกันทุกเดือน ทุกครั้งที่เธอมารับยา” ผมแบ่งปันความทุกข์ในใจให้ญดาฟังพร้อมกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลออกมา
ไม่รู้สิ...ปกติผมไม่ชอบเล่าอะไรให้ใครฟัง แต่พอเป็นเธอ ผมก็อยากที่จะแบ่งปันความทุกข์ความสุขไปกับเธอ แม้ว่าจะเพิ่งรู้จักกับเธอ แต่ความรู้สึกลึก ๆ ในใจมันบอกว่าอย่างนั้น
“...เขาว่ากันว่าการที่เราร้องไห้มันออกมา มันจะทำให้เราหายเศร้าเร็วนะคะ ฉะนั้นคุณร้องมันออกมาเถอะ” สิ้นสุดเสียงของเธอ น้ำตาที่ผมกลั้นเอาไว้ก็ได้หลั่งออกมาเป็นสาย มันหลั่งออกมาไม่หยุด ไม่ได้อยากร้องไห้ต่อหน้าสาวสักหน่อย แต่ว่า...ผมไม่ไหวจริง ๆ ทว่า
“อะไรที่ทำให้คิดมาก อย่าคิดมากนะคะ” คำปลอบใจนี้มันคุ้น ๆ มันเหมือนกับที่ผมใช้ปลอบใจเธอไปก่อนหน้านี้นี่
“หึ” /// ผมกระตุกยิ้มเบา ๆ ทั้งน้ำตา...พอได้ทำแบบนี้ก็หายเศร้าเร็วดีเหมือนกันนะ