Chapter 11
ผิดแผน (1)
เป็นอีกวันที่กลับเข้าบ้านมาในเวลาสี่ทุ่มเศษ...ท่ามกลางความเงียบงันยามราตรีกาล ภวินทร์ร่างเข้ามายืนกลางโถงของบ้านหลังใหญ่หากแต่ไร้ซึ่งความสุข แววตาเข้มมองไปรอบ ๆ ด้วยหัวใจที่เปลี่ยวเหงา และทุกครั้งที่กลับมา เขามักจะแวะไปที่บาร์เครื่องดื่มก่อนขึ้นห้องนอน
ต้องชะงักฝีเท้า เมื่อเดินมาถึงแล้วพบว่าพื้นที่ถูกจับจองโดยใครบางคน...อนงค์นาถ มารดาของเขามักฝังตัวเองนั่งดื่มอยู่เงียบ ๆ เพียงลำพัง
เขาเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้บาร์ตัวที่อยู่ติดกัน เหมือนอนงค์นาถจะรู้ หล่อนรินวิสกี้ใส่แก้วอีกใบแล้วเลื่อนมาตรง หน้าลูกชาย
และเรื่องที่หล่อนรู้มา อดไม่ได้ที่นำมาเป็นประเด็น
"เห็นว่าคุณพ่อเขาให้ลูกชายบ้านนั้นไปจีนนี่นะ หึ มันน่าแปลกนะ ทำไมต้องเป็นตาจอม"
เมื่อถูกรื้อฟื้น ภวินทร์ก็กำแก้ววิสกี้จนแน่น...มันเป็น
เรื่องที่เขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก สาขาที่จีน...แทนที่จะเป็นเขาแต่บิดากลับไว้วางใจจอมทัพมากกว่า เขาเจ็บใจ ผูกใจเจ็บมาตั้งแต่คำสั่งออกมาแล้ว
"นั่นก็หมายถึงคุณพ่อเขาวางตัวเอาไว้แล้ว ใครที่จะมานั่งแท่นซีอีโอแทนคุณอาก้องเกียรติ...คิงส์จะยอมให้มันเป็นแบบนั้นเหรอ"
"ผมยอมไม่ได้หรอกครับคุณแม่...ไม่มีวัน!"
วิสกี้ถูกกรอกลงคอ แววตาของคนเจ้าคิดเจ้าแค้นชอบเอาชนะจับจ้องหน้ามารดา...หล่อนคือคนเดียวที่อยู่เคียงข้างเขาเสมอมา
"คิงส์จะมัวชะล่าใจไม่ได้นะ จะจัดการอะไรก็รีบจัด การ ก่อนที่...เราจะถูกแย่งทุกอย่างไป Liquor เป็นของเรา เราต้องรักษาไว้ จะให้คนอื่นมาฮุบไปง่าย ๆ ไม่ได้"
คำว่า คนอื่น นั้นมารดามักตอกย้ำเสมอมาตั้งแต่เด็ก เพราะเหตุนี้ภวินทร์เลยไม่เคยคิดว่าจอมทัพกับจอมขวัญเป็นพี่น้องร่วมบิดา เขาคิดแค่ว่าทั้งสองคือคนที่มาแย่งความรักของบิดาไปจากเขา...เขาควรจะเป็นลูกชายคนเดียวของตระกูล ไม่ควรเลย...ไม่ควรมีจอมทัพเกิดขึ้นมาเพื่อเป็นคู่แข่งของเขาในวันนี้
เขาเป็นลูกชายคนเดียว ลูกชายของเมียแต่ง...มันคือความเจ็บปวดที่ฝังรากลึกกับการที่ภรรยาอีกคนของบิดาให้กำเนิดจอมขวัญขึ้นมา ย้ำเตือนให้เขาคอยแต่จะคิดเปรียบเทียบ สรุปบิดาของเขาทุ่มเทความรักไปให้คนอื่นมากกว่ากัน นับตั้งแต่มีเขา ท่านก็ไม่คิดจะมีลูกคนที่สองกับมารดาของเขาอีกเลย
ในร้านคาเฟ่ที่ปิดทำการไปไม่นาน ของใช้ที่จำเป็นถูกยัดใส่กระเป๋าใบย่อม มีเสื้อผ้าอยู่ไม่กี่ชุดที่จะนำติดตัวไปด้วย หล่อนเน้นคล่องตัวที่พกพาขึ้นรถได้สะดวกเพราะต้องเดินทางไกล...ไปกับอุไรที่นัดเจอกันยังสถานีขนส่งหมอชิต ในขณะที่เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า หล่อนใจหายไม่น้อย นึกเป็นห่วงบิดาที่อาการป่วยยังไม่หายดี
หากแต่ก็ต้องไป...หล่อนตัดสินใจแน่วแน่ เรื่องงานที่ร้านนั้นบอกอุมาพรล่วงหน้าไว้แล้ว...ลาออกเพราะได้งานใหม่ นั่นคือเหตุผลที่ให้ไป และวันนี้คือวันทำงานวันสุดท้าย หลังร้านปิดและอุมาพรกลับบ้านไปแล้ว หล่อนก็เตรียมเดินทางไกลในเวลากลางคืน
ไฟในร้านดับลง และแน่ใจว่าล็อกกุญแจเรียบร้อย
บุษบากรก็หิ้วกระเป๋าเดินผ่านสวนร่มครึ้มออกมาที่ด้านนอก...ตรงนั้น...ริมฟุตบาทมีรถคันหนึ่งจอดเทียบอยู่ น่าแปลกที่สายตาของหล่อนนั้นกลับมองอย่างหวาดระแวง แววตาหวั่นวิตกมองกวาดไปทั่ว ยามดึกเช่นนี้ดูเงียบเหงาไร้คนสัญจรไปมา
แกร็บที่นัดให้มารับก็ยังไร้ซึ่งวี่แวว มีเพียงรถสีดำติดฟิล์มดำมืดที่จอดอยู่...หล่อนชำเลืองมองทำเป็นไม่สนใจ รีบเร่งฝีเท้าเพื่อเดินออกไปนอกปากซอย คิดเอาว่าหากแกร็บโทร.มาก็จะนัดจุดรับกันใหม่ ดูเหมือนตรงนี้จะไม่ปลอดภัยเสียแล้ว
หากแต่เสียงปิดประตูรถคล้ายกับเพิ่งมีคนลงมาก็ทำให้หล่อนหันไปมอง...ใจหล่นวูบ เมื่อผู้ชายคนนั้นกำลังก้าวเดินเร็ว ๆ ตามหลังหล่อนมา
".....!"
สัญชาตญาณทำให้หล่อนหอบกระเป๋าวิ่งหนี สัมผัสได้แม้ไม่ต้องหันมอง อีกฝ่ายกำลังวิ่งตามหล่อนมาติด ๆ เช่นกัน
แต่ต่อให้หล่อนจะวิ่งเร็วแค่ไหน คนร้ายนั้นไม่ได้มีเพียงหนึ่งคนเสียแล้ว...คนที่วิ่งไวกว่าอ้อมไปต้อนไว้ด้านหน้า ร่างสูงใหญ่ปราดเข้าไปปิดทางหนีเอาไว้ ในขณะที่คนข้างหลังก็ตามมาติด ๆ หล่อนหันหน้าหันหลังเพราะไปต่อไม่ได้ หมดทางที่จะหนีได้อีกต่อไป
คงจะต้องมีปีกเท่านั้นถึงจะรอดไปได้ บุษบากรยืนหน้าซีดใจเต้นแรง เหงื่อกาฬไหลออกมาเพราะความกลัว ในขณะที่พวกมันกำลังต้อนหล่อนให้จนมุม
หล่อนขว้างกระเป๋าใส่หน้าคนที่ยืนขวางเอาไว้ ก่อนจะวิ่งสวนออกไปด้วยความรวดเร็ว หากแต่อีกฝ่ายไวกว่า อุ้งมือแกร่งคว้าข้อมือเล็กเอาไว้แล้วออกแรงกระชาก ร่างของหล่อนถูกลากกลับไปที่เดิม
"ช่วย!..."
มือใหญ่ยื่นมาปิดเสียงไม่ให้เล็ดลอด ก่อนพวกมันจะลากแขนของหล่อนคนละข้าง บังคับให้เดินตามกลับไปที่รถ ในขณะที่บุษบาการพยายามขัดขืน หากแต่ก็ไม่อาจสู้แรงที่มีมากกว่าถึงสองคนได้เลย
ร่างของหล่อนถูกยัดเข้าไปในรถ ก่อนที่พวกมันจะจับแขนของหล่อนไพล่หลังแล้วมัดเอาไว้ นำผ้ามาปิดตาและปิดปาก...เสียงปิดประตูรถดังตามมา ภายใต้ผ้าปิดตาสีดำ บุษบากรน้ำตาไหลส่ายหน้าไปมาใจเต้นแรง มันแน่แล้วว่า
อิสรภาพของหล่อนต้องสูญสิ้นลง
หล่อนเบิกตากว้างอยู่ภายใต้ความดำมืด เมื่อเสียงสตาร์ทเครื่องยนต์ดังขึ้น ก่อนจะรับรู้ได้ว่ารถกำลังเคลื่อนออกจากที่อย่างช้า ๆ ก่อนจะเร่งความเร็วลัดเลาะไปตามท้องถนน...ท่ามกลางใจที่เต้นแรง บุษบากรคิดไปสารพัด กลัวถูกจับไปฆ่าหมกป่า หล่อนยังไม่อยากตาย อยากอยู่ต่อเพื่อให้ชีวิตน้อย ๆ ได้ลืมตาออกมาดูโลกเสียก่อน
ไม่รู้ว่าคนในรถคันนี้ต้องการอะไร แต่การเดินทางครั้งนี้มันช่างยาวนานเหลือเกิน...
บนรถโดยสารที่ล้อรถกำลังบดเคลื่อนไปบนท้องถนนมุ่งหน้าสู่ภาคเหนือ...อุไรทอดสายตาผ่านกระจกใสไปยังความมืดตลอดฟากข้างที่รถวิ่งผ่าน มันเป็นการเดินทางที่ยาวนานกว่าจะถึงจุดหมาย และแน่นอน...หล่อนเดินทางมาคนเดียว เบาะข้าง ๆ ที่ยังว่างนั้นไร้คนจับจองเพราะตั๋วเป็นหมัน...บุษบากร...หล่อนไม่มาตามนัด
หล่อนรอจนได้เวลารถออกตามที่จองตั๋วเอาไว้ จนวินาทีสุดท้ายบุษบากรก็ไม่มาตามนัด โทร.หาตั้งสายครั้งก็ไม่ยอมรับสายซ้ำยังปิดเครื่องเครื่องหนี หล่อนจึงอดคิดไม่ได้ อีกฝ่ายไม่ได้อยากหนีไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ตามคำชักชวนของหล่อน
'ป้าช่วยจนถึงที่สุดแล้วนะคะคุณดาว แต่คุณไม่รับมันเอาไว้เอง'
คิดพลางแอบปาดน้ำตาที่เอ่อซึมรอบขอบตาที่ลึกเหี่ยวย่นตามกาลเวลา อุไรเชื่อไปแล้วว่าที่บุษบากรผิดนัดก็เพราะคิดเปลี่ยนใจ...ไม่เป็นไร...หล่อนจะไม่บังคับใครทั้งนั้น คิดว่าโต ๆ กันแล้วคงไม่ต้องให้พูดซ้ำสอง เมื่อบุษบากรได้เลือกทางเดินของตัวเองแล้ว หล่อนก็จะไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวายอีกต่อไป
ตั้งใจจะไปพลิกฟื้นแผ่นดินที่มีอยู่เพียงน้อยนิด ปลูกผักเลี้ยงปลาไปตามประสา บุษบากรคงกลัวว่าลูกที่เกิดมาจะลำบาก หล่อนพยายามคิดอย่างเข้าใจ ใคร ๆ ก็อยากให้ลูกที่เกิดมามีพ่อเหมือนเช่นเด็กคนอื่น ๆ ทั่วไป