Chapter 6 ตกลงเราเป็นอะไรกัน (2)
"ไม่นะ อย่า!"
สุดที่รักตะโกนออกมาสุดเสียงพร้อมกับร่างที่ทะลึ่งพรวดลุกนั่ง ใจเต้นแรงจนต้องยกมือขึ้นมาทาบไว้ที่อกด้านซ้าย...เมื่อตั้งสติได้จึงผ่อนลมหายใจเพื่อคลายอาการตกใจ หล่อนฝันร้าย ฝันว่ากำลังถูกล่วงล้ำทางกายจากผู้ชายที่ไว้ใจว่าเขาจะไม่ทำแบบนั้นกับตน
'ฝันรึเนี่ย ตกใจหมด...’
ภาพรอบๆ ที่พร่าเลือนทำให้ต้องหรี่ตาเพ่งมอง มือควานหาแว่นสายตาตามความเคยชินเช่นทุกวัน หล่อนวางไว้บนโต๊ะข้างเตียงซึ่งเป็นที่ประจำของมัน ทว่าวันนี้มันหายไป...หายไปไหนนั้นสมองยังคงมึนงงคิดทบทวนถึงเมื่อคืน มาถึงบ้านตอนไหนนั้นหล่อนจำอะไรไม่ได้เลย
'แว่นไปไหนล่ะเนี่ย’
สายตาสอดส่ายมองหา บางอย่างที่แปลกไปทำให้สะดุดใจฉุกคิด...ทำไมห้องของตนจึงเปลี่ยนไป ทั้งการตกแต่งและมุมมองในห้อง แม้จะมองเห็นไม่ชัดแต่ก็เห็นถึงความแตกต่างได้อย่างชัดเจน เมื่อก้มลงมองผ้าห่มและผ้าปูที่นอน ลวดลายที่เปลี่ยนไปทำให้หล่อนรีบผลุนผลันลงจากเตียง เดินวนรอบๆ ห้องด้วยความงุนงง
"ระ รึว่า มะ ไม่ได้ฝัน!"
หญิงสาวก้มลงสำรวจตัวเองยกใหญ่ ใจเต้นแรงอีกครั้งเพราะความหวาดระแวง ทั้งสับสนมึนงงจนฟุ้งซ่าน หล่อนคิดมโนไกล เสียตัวให้ผู้ชายเป็นอย่างไรไม่อาจแยกความรู้สึกแบบนั้นได้ เสื้อผ้ายังอยู่ในชุดเดิมนั่นแสดงว่าเมื่อคืนไม่ได้อาบน้ำ สมองเริ่มคิดลำดับเหตุการณ์...หลังภัทรนนท์พาแวะทานข้าวเย็นตอนค่ำ ขึ้นรถไม่นานก็ผล็อยหลับเพราะความอ่อนเพลีย หลังจากนั้นก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย
แต่ที่แน่ๆ หล่อนไม่ได้นอนอยู่บ้าน คิดพลางปราดไปแง้มม่าน
มองวิวทิวทัศน์ด้านนอก...สวนสวยมีน้ำตกและบ่อปลาคาร์ฟ มุมคุ้นตาเหล่านี้คงจะเป็นที่ไหนไม่ได้ นอกจากบ้านของภัทรนนท์
"นั่นไง มีหน้ามาออกกำลังกายไม่รู้ไม่ชี้"
สุดที่รักเดินลงมาข้างล่างด้วยไฟที่ลุกท่วมไปทั้งหัว รู้สึกโกรธอย่างบอกไม่ถูกที่เขาไม่พาไปส่งบ้านแต่กลับพามานอนที่นี่แทน และเขาคงใช้มารยาหลอกมารดาของเธอจนหลงเชื่อและไว้ใจไม่คิดระแวง หญิงสาวคิดอย่างรู้เท่าทันคนเจ้าเล่ห์ที่มีแต่เพื่อนๆ ของเขาเท่านั้นที่ทันเกม
"พี่ภาม!"
คนที่กำลังวิดพื้นหยุดค้างอยู่อย่างนั้น เมื่อเสียงเขียวๆ ดังแทรกสมาธิจนกระเจิดกระเจิง เหลือบมองเห็นคนที่ยังอยู่ในชุดเมื่อวานทำหน้าง้ำเป็นม้าหมากรุกมาให้กันแต่เช้า เขาแกล้งด้วยการแสร้งไม่ใส่ใจเริ่มการเริ่มวิดพื้นต่อ เพราะต้องการให้ได้จำนวนครั้งตามที่ตั้งเป้าเอาไว้...ท่าทีกวนประสาทยิ่งทำให้คนมองไฟลุกพรึบ หล่อนปรี่เข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าเพื่อขอคำตอบจากเรื่องเมื่อคืน
"ทำไมพาปลากริมมานอนที่นี่ ทำไมไม่พาไปส่งบ้านคะ"
"พี่ไม่คุยกับคนไม่อาบน้ำ ผู้หญิงอะไรสกปรกที่สุด แปรงฟันหรือยังมาคุยกับพี่เนี่ย ไปไกลๆ เลยอย่ามาใกล้ เหม็น"
หล่อนอยากยกดัมเบลที่อยู่ใกล้มือมาฟาดปากให้ฟันหลุด หมั่นไส้ท่าทีที่ทำจมูกฟุดฟิดพร้อมกับวิดพื้นไปด้วย สายตาเผลอจับจ้องมองสองแขนแข็งแรงที่รองรับน้ำหนักยามขยับขึ้นลงอย่างไม่รู้จักเหนื่อย เม็ดเหงื่อจากการเบิร์นผุดพราวไหลลงมาตามแนวสันกรามก่อนเคลื่อนผ่านลำคอลงไปเปียกชุ่มอยู่บนเสื้อยืดพอดีตัวที่เขาสวมใส่...หล่อนแพ้ผู้ชายที่ชอบออกกำลังกายและดูแลสุขภาพให้ยังฟิตดูดีอยู่เสมอ ยิ่งกับคนตรงหน้าด้วยแล้วเขายิ่งดูมีเสน่ห์ยามร่างกายชุ่มไปด้วยเหงื่อจากการออกกำลัง ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเผลอจับเขาอยู่นานแค่ไหน มารู้ตัวอีกทีเขาก็หยุดทำท่านั้นแล้วหันมาหัวเราะใส่หน้า เขาอ่านแววตาคนมองออกจึงแกล้งแซ็วให้อายเล่นๆ มองได้มองดีเขาเป็นผู้ชายก็อายเป็น
"มองอะไรยายแว่น เธอมองพี่วิดพื้นแล้วคิดอะไรล่ะฮึ"
"บะ บ้าเหรอ คิดอะไรคะ ไม่ได้คิดอย่างนั้นสักหน่อย"
"ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับ มีแต่คนหื่นๆ เท่านั้นแหละที่คิดไปถึงไหนต่อไหน คิดไปไกลถึงดาวพลูโต"
"ดาวอังคารก็พอมั้งคะ ไม่ต้องไกลขนาดนั้น"
"แล้วทำไมพี่ต้องพูดให้เหมือนคนอื่นด้วยล่ะครับ ก็อยากพูดแบบนี้มีปัญหาอะไรไหม"
"มีค่ะ มีเยอะด้วย"
หล่อนเดินตามเมื่อเขาลุกเดินไปหยิบขวดน้ำ นึกเรื่องแว่นขึ้นมาได้ว่ามันหายไป
"พี่ภามเอาแว่นไปซ่อนไว้ที่ไหน เอาคืนมาเดี๋ยวนี้เลย"
"ไม่ใส่ก็ไม่เห็นจะเดินชนอะไรเลยนี่ ถ้ามองไม่เห็นจริงๆ ก็คงมาที่นี่ไม่ถูกจริงไหม"
"คนตาบอดกับคนสายตาสั้นเหมือนกันเสียที่ไหน ถึงแม้มองเห็นแต่ภาพก็เบลออยู่ดี"
"ไม่จริง คนสายตาสั้นอะไรถึงจ้องมองผู้ชายตาเป็นมัน เมื่อกี้เธอมองพี่จนแทบจะกินเข้าไปอยู่แล้ว แววตาหื่นๆ ของเธอมันฟ้องน่ะรู้ตัวมั้ย"
หล่อนเถียงไม่ออกเพราะมองเขาจริงๆ ด้วยความลืมตัว รีบกลบเกลื่อนความอับอายขายขี้หน้าด้วยการเปลี่ยนมาหาเรื่องเขาต่อ
"พี่ภามยังไม่ตอบ ทำไมถึงไม่พาปลากริมไปส่งบ้าน"
"พอดีหมอนั่นขับเลยบ้านของเธอน่ะ พี่ก็เลยปล่อยเลยตามเลยเพราะมันก็ดึกมากแล้วด้วย"
คนฟังหรี่ตามองคล้ายไม่เชื่อ เพราะเขาลื่นเป็นปลาไหลที่ผู้ใหญ่ยังตามไม่ทัน
"จริงเหรอคะ..."
"ก็คงต้องโทษหมอนั่นแล้ว ขับยังไงให้เลยบ้าน เดือดร้อนพี่ที่ต้องอุ้มคนขี้เซาขึ้นไปนอน"
คนฟังหน้าร้อนผ่าวเมื่อได้รู้ว่าใครเป็นคนพาไปนอนในห้องนั้น...พลันความกลัวบางอย่างก็แวบเข้ามาพอดี
"ละ แล้ว...แล้ว...เอ่อ...แค่พาไปส่งใช่มั้ยคะ ไม่ได้ทำอย่างอื่นแน่ใช่มั้ย"
"อย่างอื่นน่ะอะไร ทำอะไรล่ะครับ"
"ก็อย่างอื่นไง พี่ภามก็ชอบแกล้งไม่รู้ ไม่คุยด้วยแล้ว"
หล่อนทำท่าจะผละหนีเพราะอายสายตากรุ้มกริ่มที่จับจ้อง เขาคว้าข้อมือเล็กเอาไว้ เอ่ยในสิ่งที่ทำให้ใจสั่นกับถ้อยคำกำกวม
"แล้ว...คิดว่าจะรอดมั้ยล่ะ มาถึงบ้านแบบนี้"
".....!"
"อะแฮ่ม"
เสียงกระแอมดังขัดจังหวะ เสียงคุ้นๆ จนทั้งสองตกใจหันไปมอง ภัทรนนท์ซ่อนยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าและแววตามารดา...ดูท่าความน่าจะแตกแล้วแน่นอน
"คุณป้า!"
"แล้วยังจะ...มือน่ะมือ..."
สายตากมลกานต์โฟกัสไปตรงนั้น ตรงที่ลูกชายตัวดียังคงไม่ปล่อยมือ ภาพตรงหน้าชวนให้จินตนาการบรรเจิด สองคนคุยกันมุ้งมิ้งแลดูกระหนุงกระหนิง เห็นทีแบบนี้ต้องเรียกไปคุยเป็นการส่วนตัว
"พี่ภาม! ปลากริมต้องตายแน่ๆ ทั้งคุณป้าและคุณแม่ต้องไม่พอใจกับเรื่องนี้
สีหน้าและแววตาของหล่อนสื่อถึงความตื่นกลัว ส่วนลึกนึกสงสารเขาจึงเคลื่อนฝ่ามือไปกอบกุมอุ้งมือชื้นเหงื่อเอาไว้ บีบกระชับเบาๆ สื่อให้รู้ว่าไม่มีอะไรที่ต้องหวั่นกลัว
"ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวพี่จัดการเอง"
'เมื่อคืนยิ่งฝันแปลกๆ ฝันว่าปลากริมวิ่งหนีงูตัวใหญ่ สงสัยจะได้ลูกสะใภ้ในเร็ววัน’
กมลกานต์มองสองมือที่สอดประสานพลางคิดฟุ้งซ่านกับฝันเมื่อคืน...สุดที่รักวิ่งหนีงูตัวใหญ่ที่เลื้อยตามแต่งูก็ยังตามทัน งูตัวนั้นเลื้อยกอดเกี่ยวพันขาจนสะดุดล้มลง ก่อนจะเคลื่อนเลื้อยรัดไปทั้งตัว
จนไปไหนต่อไม่ได้ หล่อนสะดุ้งตื่นขึ้นมาในเวลาตีห้าพอดี
"ไปอาบน้ำให้เรียบร้อยกันทั้งคู่แล้วลงมาทานข้าว แล้วก็พากันไปหาแม่ที่ชั้นสี่ด้วย"
กมลกานต์จะเก็บคำถามเอาไว้คุยทีเดียวตอนซักผู้ต้องหาให้รับสารภาพ ก่อนจะผินหลังเดินหนีไปด้วยความรู้สึกแปลกๆ ในหัวใจ...เสียงผ่อนลมหายใจดังตามหลังเมื่ออยู่เพียงลำพังสองคน
"ปล่อยค่ะ ปลากริมจะไปอาบน้ำ"
ภัทรนนท์เพิ่งนึกได้ว่าต้องปล่อยมือ เขาผละออกแล้วเอามือไปซ่อนไว้ข้างหลัง ในช่วงวินาทีที่ทำอะไรไม่ถูก สองคนที่เอาแต่ยืนสบตากันด้วยความรู้สึกแปลกๆ ในหัวใจ ต่างมีคำถามว่าเมื่อสักครู่นั้นคืออะไร กับการกางปีกปกป้องเมื่อถึงเวลามีภัยมาถึงตัว