Chapter 3
คนแปลกหน้าในคืนหลอกลวง (3)
หน้ารั้วบ้านที่สายตามองลอดผ่านเข้าไปด้านในได้ ภัทรนนท์จอดรถชิดขอบรั้วเมื่อมาถึงจุดหมาย...บ้านจัดสรรที่เน้นลูกค้าระดับกลาง พื้นที่จากหน้ารั้วไปจนถึงประตูบ้านนั้นมีไม่มาก เทียบกับบ้านของเขาแล้วที่นี่ดูแคบลงไปถนัดตา
"ขอบคุณมากนะคะ ที่แวะมาส่งถึงบ้าน"
สุดที่รักยกมือไหว้ตามความเคยชิน หล่อนเปิดประตูลงไปจากรถเพื่อที่จะเข้าบ้าน หันไปอีกทีก็เห็นเขาเดินตามลงมา ไม่ได้กลับเลยอย่างที่ตนเข้าใจ
"อ้าว! ตามลงมาทำไมคะ"
"ใจคอจะไม่เรียกเข้าบ้านเลยเหรอครับ อุตส่าห์มาส่งถึงที่แต่น้ำสักแก้วก็ไม่ได้กิน ใจร้ายใจดำที่สุด คนอะไร"
"แต่มันดึกแล้วนะคะ การพาผู้ชายเข้าบ้านคงจะไม่เหมาะเท่าไหร่ ใครเห็นเขาจะซุบซิบนินทาเอาได้"
"แค่พี่ขับเข้ามาจอดส่งเธอคนก็มองไปทางลบอยู่แล้ว ปากของคนถ้าจะพูด ต่อให้เราแค่ยืนคุยกันเฉยๆ เขาก็แต่งเรื่องได้เป็นคุ้งเป็นแควแล้ว"
หญิงสาวถอนหายใจขณะไขกุญแจรั้ว รู้ดีว่าป่านนี้ที่บ้านคงยังไม่มีใครนอน เหตุเพราะต้องการรอจนลูกสาวกลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย
"เชิญค่ะ แต่...บ้านของปลากริมอาจไม่สะดวกสบายเท่าที่บ้านของพี่ภามนะคะ อยู่กันแค่สามคนพ่อแม่ลูก อาจจะคับแคบไปหน่อยต้องขออภัย"
ชายหนุ่มปรายตามองไปรอบบ้านที่มีพื้นที่อยู่อย่างจำกัด หากแต่ว่าการจัดแต่งสวนน้อยๆ กลับดูอบอุ่นและน่าอยู่ เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายนั้น...เสียงสายน้ำที่ดังอยู่หน้าบ้าน ทำให้เขานึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
"ไอ้ด่างกับน้องเผือกของพี่ยังอยู่ไหม มันตายหรือยังนะ"
เขาหมายถึงปลาคาร์ฟที่เคยให้หล่อนมาเมื่อสามปีก่อน ทั้งสองพากันไปหยุดยืนอยู่ข้างบ่อเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยฝูงปลาแหวกว่าย...สุดที่รักเองก็เพิ่งรู้ว่าปลาคาร์ฟของเขาที่เฝ้าฟูมฟักมาอย่างดีนั้นมีชื่อประจำตัวด้วย
"ชื่อน่าเกลียดจัง ตั้งให้เพราะๆ กว่านี้ไม่ได้เหรอคะ ปลาอะไรชื่อด่างกับเผือก"
"ก็มันด่างๆ เผือกๆ สมชื่อ แล้วจะให้ชื่ออะไรล่ะครับ ชื่อทูน่า ปลากริมแบบนี้น่ะเหรอ"
เขาหัวเราะล้อเลียนคนที่กำลังมองลอดแว่นเพราะถูกแซ็วในขณะที่หล่อนเขม่นตามองไม่ขำด้วย เพราะไม่มีเลยสักครั้งที่คุยเรื่องอะไรก็ตามแล้วจะไม่วกมาจิกกัดกันเอง
"ยังไงชื่อปลากริมก็ยังน่ารักกว่าปลาเผือกของพี่ภาม"
"คนอะไรชื่อปลากริม หุหุ"
"หัวเราะไปเถอะ อย่ามาหลงเสน่ห์คนที่ชื่อปลากริมก็แล้วกัน"
สิ้นคำพูดเขาก็หัวเราะคล้ายได้ฟังเรื่องตลก ไม่เกรงใจคนที่ยืนหน้าง้ำหน้างอเลยสักนิดว่าจะคิดเช่นไร คนงอนต้องตกใจเมื่อสองมือแกร่งจับร่างของตนให้หันหน้าเข้าหา สายตาไล่มองจากบนลงล่างอย่างพินิจพิจารณา
"อ๊ะ!" หล่อนต้องตกใจเมื่อปลายนิ้วแกร่งยื่นมาดึงแว่นออกไปจากกรอบหน้า เมื่อไร้ซึ่งเลนส์สายตา ภาพตรงหน้าก็พร่าเลือนขึ้นมาโดยพลัน
"ถ้าถอดแว่นออกแล้วใส่คอนแทคเลนส์ กันคิ้วอีกสักนิด แต่งหน้าบางๆ ไม่ต้องหนา เขียนตานิดปัดขนตาหน่อย ไปทำสีผมมาใหม่แล้วก็ตัดหน้าม้าให้เหมือนดาราเอวี แล้วก็..."
รอยยิ้มซ่อนเล่ห์ผุดพราว หล่อนก้มลงมองตามสายตาที่เลื่อนลงต่ำไปหยุดนิ่งตรงเนินเนื้อคัพบี รู้สึกอับอายขายขี้หน้าขึ้นมาทันทีเพราะรู้ดีว่าเขากำลังหมายถึงอะไร
"แล้วก็...ไปทำให้มันอึ๋มๆ กว่านี้หน่อยได้ไหม บางที...พี่อาจจะรับไว้พิจารณาให้เป็นเด็กในคอนโทรล"
"พี่ภาม! เดี๋ยวเถอะ"
"สนใจไปทำมั้ย พี่จะออกตังค์ให้ พี่รู้จักหมอทำนมฝีมือเนี้ยบ เดี๋ยวขอให้มันคิดราคากันเอง"
"เชิญไปเป็นป๋าเปย์ให้สาวๆ คนอื่นเถอะค่ะ ถ้าจะทำให้พี่ภามสนใจแล้วต้องลำบากขนาดนี้ เคยได้ยินมั้ยคะ ความงามไม่คงที่ ความดีสิคงทน สังขารคนเราไม่เที่ยง แก่ไปก็หนังเหี่ยวหย่อนยานกันทุกคน ไม่มีใครหนีพ้นความตาย"
"สาาาธุ บวชชีหนีรักเมื่อไหร่บอกนะ พี่จะบวชพระเป็นเพื่อน"
"อย่างพี่ภามอย่าเลยค่ะ กลัวต้องนั่งปลงอาบัติทุกวัน หุหุ"
"ครับ"
ชายหนุ่มพยักหน้าน้อมรับ เขาอดซ่อนขำไม่ได้กับคนที่กำลังทำตัวเป็นแม่ชีมาเทศนาคนที่ยังตัดกิเลสไม่ได้เช่นเขา สุดที่รักหรี่ตามองใบหน้าของเขาผ่านม่านตาที่พร่าเลือน มือทำท่าจะยื้อแย่งแว่นที่อยู่ในมือของเขามาใส่ไว้ตามเดิม
เขาจับจ้องหน้าของหล่อนได้ชัดเจนมากกว่าที่สายตาของหล่อนมองเขา...หากแยกชิ้นส่วนออกมาอดที่จะปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาชอบจมูกและปากกระจับยื่นๆ เพราะกำลังงอน แต่เป็นเพราะหล่อนไม่แต่งหน้าความโดดเด่นจึงด้อยลงไปเมื่ออยู่ท่ามกลางสาวๆ ที่รายล้อมรอบตัวเขา...ท่าทางเงอะงะเพราะมองภาพตรงหน้าไม่ชัด สองมือแกร่งจึงยื่นไปช่วยสวมแว่นให้อยู่บนใบหน้ารูปไข่ตามเดิม สุดที่รักยืนนิ่งเมื่อความชัดเจนกลับคืนมา เห็นเขาคลี่ยิ้มมาให้เต็มสองตา พร้อมๆ กับปลายนิ้วแกร่งที่เกลี่ยปอยผมให้พ้นไปจากกรอบหน้า คล้ายต้องการจำจดรายละเอียดเอาไว้โดยไม่มีอะไรมาบดบัง
"กลับกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่จ๊ะ"
'แม่!’
ชายหนุ่มหดมือกลับไปซ่อนไว้ข้างหลังทันควัน เมื่อเสียงนั้นดังแทรกอยู่ด้านหลัง หันไปทางต้นเสียงแล้วแค่นยิ้มปร่าแปร่ง เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเห็นอะไรเมื่อสักครู่หรือไม่
"สวัสดีครับคุณน้า"
"ไหว้พระเถอะจ้ะภาม มาถึงกันนานหรือยังจ๊ะ"
ปริยฉัตรคลี่ยิ้มตอบ คุ้นเคยกันดีจนไว้ใจว่าจะไม่พาสุดที่รักไปเถลไถล จากที่น้องสาวของอีกฝ่ายเป็นเพื่อนสนิทกับลูกสาวตน
"อะ เอ้อ เพิ่งมา...มาถึงสักครู่นี้เองค่ะ"
สุดที่รักชิงตอบขณะเดินเข้าไปหามารดาด้วยใจที่เต้นตึกตักเพราะกลัวท่านจะเห็นภาพก่อนหน้า รีบกลบเกลื่อนด้วยการยิงคำถามต่อทันที
"แม่ยังไม่นอนอีกเหรอ ดึกแล้วน๊า หนูบอกแล้วไงว่าไม่ต้องรอ"
'หนูอะไรหนอทำไมตัวใหญ่จัง’
หญิงสาวปรายตามองคนที่ยืนซ่อนยิ้มอยู่ข้างๆ รู้ดีว่าเขาคิดอะไรภายใต้ใบหน้าซ่อนเล่ห์ เพราะเขาชอบล้ออยู่บ่อยๆ ว่าเวลาตนคุยกับที่บ้านแล้วดูไม่ต่างจากเด็กเล็กๆ ขี้อ้อนและลูกแหง่ ทั้งที่โตจนเรียนมหาลัยฯปีสุดท้ายใกล้จะเข้าสู่วัยทำงานในอีกไม่นาน
"แม่เป็นห่วงกลัวจะดึกมาก กลับกันมาอย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว ว่าแต่...ปลากริมไม่ได้ดื่มมากใช่มั้ยภาม"
ปริยฉัตรค่อนข้างหัวสมัยใหม่อยู่บ้าง หล่อนจึงไม่ค่อยจริงจังกับการห้ามเรื่องสังสรรค์ที่มักมีแอลกอฮอล์เข้ามาเกี่ยว เพียงแต่จะคอยบอกลูกให้รู้จักขอบเขต ไม่หลงระเริงไปกับมันแล้วพานกระทบมาถึงเรื่องเรียน และการที่ลูกสาวมีผลการเรียนที่น่าพอใจมาโดยตลอด ทำให้หล่อนเชื่อใจในระดับหนึ่งจึงให้อิสระด้านการใช้ชีวิตไม่เข้มงวด และยังไว้ใจทางบ้านของฝ่ายชายว่าจะไม่ทำในเรื่องที่จะนำพาความเสื่อมเสียมาสู่ครอบครัวตน
"ไปกับผมไม่ต้องห่วงครับ ผมจะคอยสอดส่องพฤติกรรมของน้องแทนคุณน้าเอง วางใจได้ว่าเธอจะไม่กล้าทำตัวเหลวไหลแน่นอน"
เขายิ้มซ่อนเล่ห์เมื่อได้ช่อง สุดที่รักรู้สึกไม่ไว้วางใจสักเท่าไหร่เพราะอยู่ลับหลังสองคนเขาไม่ได้เป็นแบบนี้ แต่ก็พูดอะไรไม่ได้เพราะภาพของเขาที่มารดาเห็นจนเชื่อหมดใจไปแล้วนั่นคือ ภาพพี่ชายเพื่อนลูกสาวที่แสนดีเป็นผู้ใหญ่ที่ไว้ใจได้แถมยังอนาคตไกล ไม่เจ้าชู้ไม่มือไวและแสนจะสุภาพบุรุษ แต่หล่อนกลับได้เห็นในอีกมุมหนึ่งของเขา มุมแปลกประหลาดต่างจากภาพภายนอกจนสุดขั้ว ที่ถ้าไม่สนิทจริงๆ จะไม่มีวันได้เห็นเขาแสดงออกมา
ปริยฉัตรนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้...น้ำพริกเผาที่เพิ่งตำเสร็จใหม่ๆ เมื่อตอนบ่าย หล่อนตั้งใจทำเผื่อใครบางคนที่อยู่แดนไกล
"พอดีเลยภาม น้าตำน้ำพริกเผาไว้เยอะเลย เห็นว่าอาทิตย์หน้าภามจะไปเยี่ยมน้องอัยย์ใช่มั้ยจ๊ะ น้าจะฝากน้ำพริกไปให้น้องด้วยได้ไหม"
"ได้ครับ น้องอัยย์คงดีใจ ที่คุณน้ามีของฝากไปให้ไม่เคยขาด"
"สงสารแก ไปอยู่คนเดียวต่างบ้านต่างเมือง อาหารการกินก็คงไม่ถูกปากเท่าบ้านเรา วันไหนเบื่อๆ ก็เอาน้ำพริกมากินแก้เลี่ยน คงจะพอช่วยได้บ้าง"
สุดที่รักพยายามจับความผิดปกติบนใบหน้าของภัทรนนท์ยามเอ่ยถึงมินตรา...แววตาของเขากำลังยิ้มคล้ายมีความสุข กับเพียงแค่ได้พูดถึงคนไกลที่อยู่ในหัวใจ เรื่องรักๆ นั้นซับซ้อนยากเกินที่จะทำความเข้าใจกับมัน ยิ่งกับผู้ชายตรงหน้านั้นแสนจะคาดเดาได้ยาก ใครกันแน่ที่อยู่ในหัวใจของเขาอย่างแท้จริง
ส่วนหล่อนก็ควรอยู่ในที่ของตนอย่างเจียมตัว แม้ใจจะคิดไม่ซื่อไปแล้วก็ตาม คิดเสมอว่าเขาอยู่สูงเกินไปที่จะไขว่คว้ามาเป็นของตน และเขาก็คงจะไม่ชายตาแลคว้าหล่อนไปควงในฐานะคนรัก ความเอ็นดูประหนึ่งคือน้องสาวของเขาอีกคนนั่นคือความจริง เพราะเขามักจะย้ำเตือนเสมอ ย้ำให้ได้รู้ว่ารักและเป็นห่วงในสถานะแค่พี่ชายและน้องสาวไม่ได้คิดอะไรเกินเลย…
++++++