Chapter 1 จะรักพี่ก็ต้องมาสายเซ็กซี่ (4)
ยามค่ำคืนของเมืองที่ไม่เคยหลับจากแสงไฟสาดส่องในซอกมุมร่องหลืบ ปอร์เช่ดำเด่นเงาวับต้องแสงไฟริมทางแทรกเบียดเสียดกับรถราที่แน่นขนัดบนท้องถนนเพื่อมุ่งหน้าสู่จุดหมาย ปลายทางคือโรงแรมที่เป็นจุดนัดหมายในค่ำคืน กลิ่นหอมสดชื่นที่อบอวลอยู่ภายในห้องโดยสาร เสียงเพลงที่ดังคลอเบาๆ และแอร์เย็นๆ ช่วยคลายความน่าเบื่อจากสภาพเดิมๆ ที่หลีกหนีไม่พ้น แต่...ในเวลาเช่นนี้ บรรยากาศแบบนี้ กลับมีบางคนชอบมัน เพียงเพราะเหตุผลเดียว เหตุผลที่จะได้ชิดใกล้แม้จะเป็นได้แค่ความฝันเล็กๆ ก็ตาม
เสียงร้องคลอตามเบาๆ จนกลมกลืนไปกับเสียงต้นฉบับในเครื่องเล่น ดังมาจากคนขับที่กำลังปลดปล่อยอารมณ์ให้โลดแล่นไปกับเสียงเพลง มันคือสิ่งเดียวที่เขาจะไม่หงุดหงิดจากรถที่ติดยาวเหยียด...สุดที่รักเหลือบมองเสี้ยวหน้าคมคร้ามที่ไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะหันมาสบตากับเธอ สองมือนุ่มประสานอยู่บนหน้าตักแล้วถูกันไปมาเพื่อลดอาการเกร็ง ในท่วงทำนองเสียงเพลงขับกล่อม สายตาของเขาเอาแต่จับจ้องไปบนหนทางข้างหน้ามากกว่าหันมาคุยกับตน
เหมือนเขาจะรู้ได้ด้วยเซ้นส์ว่าคนข้างกายกำลังนั่งเหงา รอยยิ้มเล็กๆ ผุดพราวเพราะรู้ว่าหล่อนทั้งเกร็งและประหม่าจนไม่กล้าให้เสียงเล้ดลอด เป็นครั้งแรกที่เขาพาหล่อนนั่งรถมาด้วยกันสองต่อสอง แถมเป็นช่วงเวลาที่สุ่มเสี่ยงเหลือเกิน
"เคยไปไหนมาไหนกับผู้ชายแบบนี้หรือเปล่า"
หญิงสาวขยับท่านั่งแก้เขิน เมื่อจู่ๆ เขาก็ชวนคุยหลังจากปล่อยให้นั่งฟังเพลงมาเสียนาน
"ไม่เคยค่ะ ปกติถ้ากลับบ้านมืดก็จะนั่งแต่แท็กซี่ค่ะ"
"เป็นผู้หญิงนั่งแท็กซี่กลางค่ำกลางคืนอันตรายรู้มั้ย ทำไมไม่หาคนรู้ใจไว้รับส่งสักคนล่ะครับ"
'ถ้าผู้ชายดีๆ หาง่ายขนาดนั้นก็ดีนะสิ คงมีแต่ในนิยายมั้งคะ’
หล่อนคิดในใจแต่ไม่กล้าพูด เขาคงลืมนึกไปว่าผู้ชายดีๆ ที่เข้ากันได้จะมีสักกี่คนที่เดินสวนทางมาให้ได้สบตา และที่ผ่านมาหล่อนไม่เคยโฟกัสที่จุดนั้น คิดเพียงแต่เรื่องเรียนเพื่อให้ทางบ้านสบายใจ
"แล้วที่มากับพี่ ไว้ใจเหรอครับว่าจะไม่พาไปที่อื่นน่ะ"
"ก็พี่ภามเป็นคนพูดเองว่าอย่างปลากริมน่ะไม่อยู่ในสายตาหรอก ก็เลยเชื่อว่าคงจะไว้ใจได้แน่นอน เพราะพี่ก็คงเห็นปลากริมเป็นน้องคนหนึ่งเท่านั้น"
"แต่คนเราก็รู้หน้าไม่รู้ใจนะครับ บางคนหน้าใสๆ แต่ก็ไว้ใจได้หรือเปล่าไม่รู้"
"ปลากริมโทร.บอกที่บ้านแล้วว่าเจ้านายพาไปเลี้ยงข้าว ท่านเห็นเป็นพี่ภามก็เลยยอม เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ตามตัวง่ายหน่อยค่ะ"
เขาหัวเราะออกมาเบาๆ กับถ้อยคำขู่ฟ่อ และในช่วงจังหวะที่รถติดไฟแดง หญิงสาวต้องนั่งเกร็งกลั้นหายใจเมื่อจู่ๆ เขาก็โน้มกายเข้ามาใกล้ มือข้างหนึ่งยื่นมาดึงยางรัดผมออกราวขัดตากับมันเสียเหลือเกิน
"ไหนลองปล่อยผมดูสิครับ เคยบอกแล้วใช่ไหมว่าเราน่ะทำทรงนี้แล้วดูเหมือนป้าชะมัด ผมสวยๆ ก็ต้องปล่อยอวดสายตา จะเก็บซ่อนมันเอาไว้ทำไม"
จอมบงการสอดปลายนิ้วไปตามเส้นผมเรียบลื่นมีน้ำหนัก จับปลายให้สยายออกจัดแต่งเป็นทรงให้คลอเคลียอยู่บนไหล่ เขาชอบเวลาหล่อนปล่อยผม เพราะผมของหล่อนสวยเงางามมีน้ำหนัก อาจเป็นเพราไม่เคยทำอะไรที่เป็นการนำสารเคมีเข้าสู่เส้นผมเลยสักครั้งเดียว
"ก็ปลากริมถนัดทำแบบนี้ ไม่ชอบก็เรื่องของพี่ภาม"
หล่อนพูดคล้ายน้อยใจที่เขาควงมาแล้วก็คอยแต่จะบงการให้เป็นอย่างที่เขาชอบ อยากที่จะเปิดประตูรถแล้วหนีไปขึ้นแท็กซี่ แต่ก็ไม่กล้าเพราะกลัวว่าเขาจะมองว่าตนนั้นเป็นผู้หญิงขี้งอนที่น่ารำคาญ
"พูดแค่นี้ก็ทำงอนเป็นเด็กสิบขวบไปได้ ก็แค่บอกให้ว่าต้องปรับปรุงอะไรบ้างผู้ชายถึงจะหันมามอง"
"ถ้าหาไม่ได้เพราะไม่เซ็กซี่ หน้าอกไม่ได้ล้นทะลักทิ่มตา ปลากริมก็จะขออยู่เป็นโสดไปจนตาย ไม่เห็นจะแคร์ถ้าไม่มีแฟน"
"จริงเหรอ"
คนฟังหัวเราะออกมาพลางไล่สายตามาหยุดอยู่ที่ช่วงบน สายตาที่ทำเอาหล่อนถึงกับยกมือปิดบังเนินเนื้อตามสัญชาตญาณป้องกันตัว...เขาขำอะไร หรือหล่อนพูดในสิ่งที่แปลกประหลาดใจ คิดพลางถอดแว่นออกแล้วเสียบไว้ตรงกลางสาบเสื้อ ถลึงตามองเจ้าของสายตากรุ้มกริ่มด้วยความข้องใจ
แวบหนึ่งนั้นที่ภัทรนนท์เหลือบสบตากับคนข้างกาย เหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างที่ทำให้เขาไม่อาจละสายตาไปจากกรอบหน้ารูปไข่นั้นได้...ท่ามกลางแสงไฟสาดส่องสลัวไม่ชัดเจน หากแต่ว่าดวงตาสีน้ำตาลของหล่อนกลับโดดเด่นต้องแสงกลางคืนจนสะกดให้เขาจับจ้องมองอย่างสนเท่ห์ แววตาที่สุกปลั่งสวยราวภาพวาดชวนให้ใหลหลง หล่อนซ่อนเร้นอำพรางเอาไว้หลังเลนส์แว่นสายตามาเนิ่นนาน
"แล้ว...เอ่อ เคยถูกผู้ชายทำแบบนี้ไหม"
ภัทรนนท์งงตัวเองไม่น้อยที่ถามอะไรแบบนั้นออกมา ใบหน้าคมคร้ามโน้มเข้าไปใกล้จนสุดที่รักสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนที่ผ่อนออกมา...จูบ! เขากำลังจะทำในสิ่งที่มโนไกล คิดพลางเอี้ยวหน้าหนีฝ่ามือร้อนที่สอดรั้งมายังท้ายทอย ปลายนิ้วเรียวจิกลงบนซีกหน้าข้างขวาของเขาแล้วออกแรงครูดปลายเล็บฝังรอยลงบนผิวเนื้อหนุ่ม...มันได้ผล เสียงเขาสูดปากออกมาเบาๆ แล้วผละออกห่างเมื่อเจอสัญชาตญาณป้องกันตัวของเธอ
"ซี๊ดดด"
"พี่ภามจะทำอะไร!"
ฝ่ามือแกร่งลูบไปตามรอยเจ็บบนผิวแก้มที่หล่อนฝากเอาไว้ เขาสะบัดศีรษะไล่ความสับสนอยู่หลายที นึกด่าตัวเองในใจว่าทำไมจึงแสดงอะไรแบบนั้นออกมา
"มะ เมื่อกี้น่ะเหรอ อ๋อ สงสัยพี่จะเครียดจากรถติดน่ะ สารเคมีในสมองก็เลยเกิดความผิดปกติ ทำให้แสดงอะไรที่ไม่ใช่ตัวเองออกมา โรคไม่รู้ตัวเฉียบพลันน่ะ เคยได้ยินไหมครับ"
เขามั่วจนสีข้างถลอก พร้อมกับคิดในใจอย่างคาดโทษ ยายแว่นจอมแสบฝากรอยเจ็บเอาไว้ แล้วเขาจะกล้าเอาหน้าหล่อๆ ไปเสนอหน้าบนเวทีร้องเพลงได้อย่างไรนั้น มันคือสิ่งที่ทำให้เครียดขึ้นมาทันที
"มั่วไปเรื่อย ใครเชื่อก็บ้าแล้ว"
"นั่นไง แสดงว่าไม่ได้เรียนมาน่ะสิเรา"
"ถ้าไบโพล่าร์ล่ะก็เชื่อ"
"บ้าเหรอ พี่ไม่ได้หนักขนาดนั้น"
"ปี๊นๆๆๆ"
ทั้งสองต้องสะดุ้งแล้วหันไปมองด้านหลัง เมื่อเสียงบีบแตรดังลั่นเพราะไฟเขียวนานแล้ว แต่พอร์ชดำเด่นกลับขวางทางชาวบ้านไม่ยอมขยับจนรถคันหลังติดกันเป็นแถวยาว
"ไอ้บ้าเอ๊ย ตายแล้วรึไงวะ!"
เสียงก่นด่ามาพร้อมเสียงทุบกระจกถี่ๆตามอารมณ์ที่พุ่งพล่านของคนนอกรถ ภัทรนนท์รีบเข้าเกียร์แล้วเหยียบคันเร่งอย่างเร็วรี่ หนีไปจากตรงนี้ก่อนที่จะได้กินลูกปืน
"ฟู่..เกือบตายก่อนวัยอันควรซะแล้ว คนสมัยนี้อารมณ์ร้อนจริง"
ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจโล่งอก สายตาเหลือบมองกระจกส่องหลังเพื่อให้แน่ใจว่าคู่กรณีไม่ได้ตามมา อาศัยความช่ำชองจากวิทยายุทธที่ฝึกขับในสภาพแบบนี้มาหลายปี ใช้ความใจกล้าหน้าด้านซอกแซกเบียดซ้ายปาดขวาแฝงตัวหายไปกับรถราที่แน่นขนัด เพราะไม่อยากมีเรื่องต้องขึ้นโรงพักเสียเวลาทำมาหากิน
สุดที่รักเหลือบมองคนข้างกายอย่างหมั่นไส้ เขายังจะมีหน้ามา
ยิ้มให้ทั้งที่เพิ่งก่อเรื่องจนหล่อนเกือบซวยไปด้วย ความที่ยังเข็ดกับการที่เขาเข้าใกล้ หล่อนจึงขยับกายเสียจนชิดประตู เว้นระยะห่างจากเขาให้มากที่สุดเพื่อความปลอดภัยในการรักษาความบริสุทธิ์ของตัวเอง