บทที่๒/๑

1813 คำ
ชายหนุ่มจอดจักรยานยนต์คู่ใจหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ของผู้เป็นพ่อ บ้านหลังใหญ่ในความคิดของสัภยา แต่หาความอบอุ่นไม่ได้จนเขาต้องไปแสวงหานอกบ้าน ทันทีที่เขาลงจากยานพาหนะประจำตัวซึ่งพ่อและพี่ชายเคยสั่งห้ามไม่ให้ใช้ โดยบอกว่าอันตราย เนื้อหุ้มเหล็กหรือจะสู้เหล็กห่อเนื้อ แล้วซื้อรถยนต์ใหม่เอี่ยมให้เขา จะว่าไปแล้วรถยนต์ของเขาก็มีอยู่แล้วซึ่งพ่อซื้อให้เป็นของขวัญที่เขาเลือกเรียนตามใจพ่อแต่เขาไม่อยากใช้ ยิ่งเมื่อจบออกมาแล้วไม่ได้เดินตามทางที่พ่อปูไว้ เขาก็ละอายใจ ไม่อยากใช้รถคันนั้น เวลานี้มันยังจอดสงบนิ่งอยู่ในโรงรถ เคียงข้างกับรถอีกคันที่พี่ชายซื้อให้ แต่เขายังไม่เคยขับสักครั้ง “คุณขิง สวัสดีค่ะ” แมว สาวใช้วัยสามสิบเศษวิ่งเข้ามาทักทาย พร้อมเรียกชื่อเล่นที่พ่อแม่ตั้งให้และใช้เรียกขานกันมาตลอด ส่วนชื่อพญานั้นเพื่อนๆ เป็นคนเรียก บุคคลภายนอกจึงคิดว่าพญาคือชื่อเล่นของเขา และเรียกตามไปโดยปริยาย “สวัสดีพี่แมว สบายดีนะ” “สบายดีค่ะ เมื่อคืนทำไมคุณขิงไม่มา รู้ไหมคุณผู้ชายกับคุณข่ารอทานข้าว” คำบอกของแมวทำเขาอึ้งไปเล็กน้อย เพราะเขาลืมไปจริงๆ ไม่เช่นนั้นจะไม่ปล่อยให้สองคนต้องรอ การที่เขาไม่เคยผิดนัดทำให้ไม่รู้ว่าหากเขาผิดนัดขึ้นมาวันไหน จะมีคนรอเก้อแบบนี้ “แล้วตอนนี้พ่ออยู่ไหน พี่ข่าละ ไปทำงานหรือยัง” “คุณผู้ชายออกไปตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ แต่คุณข่ายังอยู่” สีหน้าของแมวบอกเขาว่าพี่ชายกำลังรออยู่ สัภยารีบเดินเข้าไปในบ้านทันที บ้านหลังใหญ่เปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ ยามย่างเท้าไปบนพื้นหินอ่อนความเย็นแผ่ซ่านเข้าร่างกาย ความเย็นของพื้นบอกระยะเวลาของการเปิดเครื่องทำความเย็นนี้ว่านานพอสมควรแล้ว อาจจะทั้งคืน หากมีคนใดคนหนึ่งไม่ยอมขึ้นไปนอน และต่อด้วยช่วงกลางวันเมื่อสุกนต์ธีหรือข่าพี่ชายของเขายังไม่ไปทำงาน หากบนตึกไม่มีนายจ้างอยู่ เครื่องปรับอากาศจะถูกปิดลงทันที ช่างแตกต่างกับบ้านของพ่อครูเหลือเกิน บ้านหลังโน้นเล็กกว่าเยอะ เครื่องปรับอากาศก็มีเฉพาะห้องนอน โถงด้านล่างปล่อยโล่ง แค่เปิดหน้าต่างก็มีลมพัดผ่าน ถ่ายเท คลายร้อน จนแทบไม่ต้องพึ่งพัดลมเลย “นายขิง ทางนี้” เสียงเรียกดังมาจากห้องหนังสือที่อยู่ถัดจากห้องโถงใหญ่ ซึ่งใช้รับแขก ก่อนเจ้าของเสียงจะออกมาหน้าห้องกวักมือไหวๆ ท่าทีของสุกนต์ธีไม่ได้มีแววขุ่นเคืองแต่อย่างใด ทำให้สัภยาแปลกใจเป็นอันมาก “สวัสดีครับพี่ข่า วันนี้ไปเข้าบริษัทเหรอครับ” คำทักทายออกจะเป็นทางการไปนิด คงเพราะความห่างเหินของเขากับพี่ชาย ทำให้เป็นเช่นนี้ “ไม่เข้า เพราะพี่รอนาย พี่รู้นายต้องมา” “ผมขอโทษครับ เมื่อวานลืมจริงๆ มานึกได้ก็ดึกแล้ว เลยคิดว่าค่อยมาตอนเช้าจะดีกว่า” “อืม ช่างปะไรมันผ่านไปแล้ว กินอะไรมาหรือยัง จะได้ออกไปเลย” “ออกไปไหนครับ” สัภยาแปลกใจ คิ้วเริ่มขยับมาชิดกัน “ไปไหนก็ช่างเถอะ นายกินอะไรก่อนไหม” เขายังถามย้ำ “เรียบร้อยมาแล้วครับ ว่าแต่พี่ข่าจะพาผมไปไหน” “ไว้พี่เล่าให้ฟังบนรถ ไปเถอะ” สุกนต์ธีชวนอีกครั้งแล้วเดินนำทันที ในมือเขาถือซองเอกสารสีน้ำตาลไปด้วย สัภยาตั้งใจฟังสิ่งที่พี่ชายเล่า พร้อมกับเปิดซองสีน้ำตาลที่สุกนต์ธีส่งให้ ด้านในมีรูปถ่ายและเอกสารบางอย่าง สัภยามองรูปหลายใบในมือแล้วเงยหน้ามองพี่ชาย พร้อมถามด้วยความแปลกใจ “ที่นี่เหรอครับ” “ใช่ ที่สวยชิดลำคลอง พี่จะทำตลาดน้ำ ขายอาหารในเรือ ขายของที่ระลึกของพื้นบ้านจิปาถะ จะตกแต่งแบบย้อนยุคเพื่อดึงดูดคนมาเที่ยว มาถ่ายรูป บ้านเก่าสองหลังก็จะซ่อมแซมให้คนเข้าพัก แล้วสร้างเพิ่มจำลองให้เหมือนแต่ลดขนาดลงมาอีกสักสามสี่หลังเอาไว้ในบริเวณนั้น ไว้ให้คนไปถ่ายรูปและเช่าพักค้างแรม ทำร้านอาหารสี่ภาค รวมถึงร้านอาหารประเทศเพื่อนบ้าน นายคิดว่ายังไง” “ก็น่าสนใจครับ ว่าแต่พี่ข่าพาผมมาดู จะให้ผมช่วยอะไรครับ” เขาถามไม่เต็มปาก เพราะวิถีชีวิตของเขาต่างจากพี่ชาย จึงไม่รู้ว่าตนพอจะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้พี่ชายได้ทางใดบ้าง “นายชอบงานด้านศิลปะ มีหัวทางนี้ พี่อยากให้ช่วยวิจารณ์และออกแบบตกแต่ง” “โอย ผมไม่เก่งขนาดนั้นนะครับ” สัภยาออกตัวทันที “ไม่ลองไม่รู้ อีกอย่างทุกอย่างเป็นความลับ พี่ไม่อยากจ้างคนนอกทำ” สุกนต์ธีหันมามองเหมือนกำชับว่า เป็นความลับจริงๆ “ความลับ เอ่อ พี่ข่าจะทำตลาด ทำบ้านพัก แต่จะเก็บเป็นความลับ แล้วจะเรียกลูกค้ายังไง ทางไหนครับ” สัภยากำลังคิดว่าตนเองเขลาเกินจะเข้าใจความคิดของพี่ชาย “พี่อยากเปิดตัวตอนทุกอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว อีกอย่างพี่จะเอาไว้เซอร์ไพรส์พ่อ” “อ๋อ เข้าใจแล้ว” “นายช่วยมาดูแลให้พี่ด้วยนะ ถ้าพี่มาบ่อยๆ พ่ออาจสงสัยได้ พี่อยากให้นายช่วยถ่ายรูปเก็บเอาไว้ตั้งแต่เริ่มพัฒนาที่ดินผืนนี้เลย เก็บไปเรื่อยๆ จนเสร็จจะได้เอามาจัดนิทรรศการวันเปิดโครงการ ทำวิดีทัศน์ไว้ฉายในงานเปิดตัวด้วย นายทำได้ไหม” “ถ้าเรื่องถ่ายรูปผมมีเพื่อนเป็นช่างภาพฝีมือดี จะลองถามดูนะครับว่าเขาพอจะมีเวลาไหม” “ไม่ถ่ายเองละ ไปซุ่มเรียนถ่ายภาพเรียนวาดรูปอยู่ไม่ใช่เหรอ” สุกนต์ธีมีรอยยิ้มในใบหน้า ในขณะที่คนเป็นน้องส่ายหน้าอย่างกังวล “ฝีมือยังไม่ถึงขั้นครับ เดี๋ยวงานพี่ข่าออกมาไม่ดี เสียหายแน่ ผมให้เพื่อนช่วยถ่ายให้ดีกว่า” “ตามใจนาย จะถ่ายเองหรือจ้างเพื่อนอีกทีก็แล้วแต่ แต่ขอให้เขาเก็บเป็นความลับให้พี่ด้วยนะ รู้น้อยคนเท่าไหร่ยิ่งดี ส่วนค่าใช้จ่ายจะเรียกเท่าไหร่ก็บอกมา พี่จะโอนไปให้” “ครับ” ใจจริงแล้วเขาอยากลงมือเอง แต่ก็กลัวฝีมือไม่ถึงขั้น เขาติดสอยห้อยตามตีรณาไปทำงานหลายแห่ง เคยทดลองงานตามที่เธอให้โอกาส แต่ยังไม่ปีกกล้าขาแข็งพอ ที่ที่รถยุโรปคันหรูสีดำเข้มขรึมของสุกนต์ธีมาจอด หากมองเผินๆ ก็อยากเรียกว่าที่รกร้าง เพราะมีต้นไม้ต้นหญ้าขึ้นสูงท่วมศีรษะ สุกนต์ธีไม่ได้ลงจากรถ สัภยาจึงไม่ได้ลงไปด้วย คนขับรถลดกระจกลงแล้วหันไปมอง ก่อนจะพูดขึ้นโดยไม่หันมาหาคนฟัง “ทางนี้รก เราจะเก็บเอาไว้แบบนี้ แล้วไปเข้าอีกฝั่งที่เป็นถนนเลียบคลอง ข้ามสะพานมาที่ดินผืนนี้ ก่อสร้างปรับปรุงด้านในให้เสร็จก่อน ค่อยจัดการทางเข้าแล้วเปิดตัวทันที นายว่าคนจะฮือฮาไหม ที่จู่ๆ ก็มีแหล่งท่องเที่ยวครบวงจรเกิดขึ้นกลางแจ้ง” ตอนท้ายเขาหันมาถาม ใบหน้ายิ้มแย้มภูมิใจ ปิดกระจกรถแล้วบังคับให้รถเคลื่อนที่ทันที อีกสิบห้านาทีสุกนต์ธีก็พารถขึ้นสะพานข้ามคลอง มาจอดใต้ต้นไม้ใหญ่แล้วลงจากรถ สัภยารีบลงมายืนมองกวาดสายตาไปทั่ว แวบแรกของการย่ำเท้าลงบนผืนดินบอกเขาว่า เหมือนได้กลับมาเยือนถิ่นเก่า จากจุดนี้มองไปในทุ่งกว้างไกลสุดสายตา สุกนต์ธีบอกว่าที่เห็นเขียวๆ เป็นแนวยาวนั่นคือฝั่งที่เขาไปจอดรถดูเมื่อครู่ ฝั่งที่จะเปิดเป็นทางเข้าเมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพ สัภยาเดินไปทางคลองกว้างยาวเหมือนมีมนต์สะกด ริมตลิ่งมีเขื่อนกั้นคันดินสภาพใหม่ คาดว่าคงสร้างขึ้นไม่นานนัก ก่อนหันกลับมามองผืนดินขนาดใหญ่ สุกนต์ธีเดินตามมาแล้วบอกว่าเนื้อที่ทั้งหมดประมาณร้อยไร่ แบ่งเป็นที่พักอาศัยซึ่งมีเรือนไม้เก่าสองหลังอยู่ริมคลอง สองหลังห่างกันประมาณร้อยเมตร เนื้อที่ส่วนที่เหลือเป็นผืนนาซึ่งไร้การดูแลปล่อยให้รกร้าง ดินแตกระแหง คนเป็นพี่ชี้ไปที่เรือนไม้ยกพื้นสูงเก่าๆ สภาพผุพังที่รอการซ่อมแซม ทว่าภาพที่คนเป็นน้องเห็นกลับตรงกันข้าม บ้านไม้ยกพื้นหลังใหญ่เนื้อไม้สวยงามไร้คราบฝุ่นตั้งตระหง่านท่ามกลางต้นไม้น้อยใหญ่ กอไม้ออกดอกสะพรั่ง สัภยาเลื่อนสายตาชื่นชมอย่างเชื่องช้าผ่านบ้านหลังใหญ่ตรงหน้า ไปมองบ้านอีกหลังที่อยู่ไกลออกไป สภาพบ้านไม่แตกต่างกัน ดอกไม้บานสะพรั่งเหมือนประชันขันแข่ง พลันหน้าต่างไม้ก็เปิดออกช้าๆ ม่านหน้าต่างสีหวานพัดโบกตามแรงลม สัภยาขยี้ตาอย่างไม่เชื่อสายตา และเมื่อมองไปอีกครั้ง ภาพทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป บ้านหลังสวยกลับเป็นบ้านทรุดโทรมหมิ่นเหม่จะพังครืน “ขิงเป็นอะไร” สุกนต์ธีถาม แปลกใจที่น้องชายยืนขยี้ตาเมื่อมองบ้านเก่าๆ โทรมๆ “สภาพดูไม่จืดใช่ไหม นายว่าควรรื้อหรือซ่อมดี” “คงต้องให้ช่างดูความแข็งแรงนะพี่ข่า แต่ผมว่าเรือนเก่าใช้ไม้เนื้อดีไม่ผุพังง่ายๆ คงซ่อมแซมได้ จะได้อนุรักษ์ไว้ให้คนรุ่นหลังดู” “พี่ก็คิดแบบนายนั่นแหละ ซ่อมสองหลังนี้ แล้วปลูกเพิ่มสักสามสี่หลังแถวโน้น ทำร้านอาหาร ทำที่พัก พี่ว่าไม่เลวทีเดียว พี่นัดช่างไว้ตอนบ่ายๆ เดี๋ยวเราขับรถไปเรื่อยๆ หาของกินแล้วค่อยกลับมา นายว่ายังไง วันนี้มีธุระหรือเปล่า” เขาบอกสิ่งที่ต้องการ สัภยาพยักหน้าบอกเสียงงึมงำ “ไม่มีปัญหาครับ” “งั้นไปกัน” สุกนต์ธีชวนแล้วออกเดิน สัภยามองไปทางเรือนทั้งสองหลังอีกครั้ง ความรู้สึกคุ้นเคยเมื่อแรกสัมผัสผืนดินไม่เทียบเท่าความรู้สึกผูกพันยามมองเรือนทั้งสองหลัง แต่ความรู้สึกบอกเขาว่า ชอบเรือนตรงหน้ามากกว่าเรือนหลังโน้น
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม