ตีรณาเดินวนเวียนชะเง้อมองไปหน้าบ้านครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนเฝ้ารออะไรสักอย่าง เด็กแถวบ้านที่เลิกเรียนแล้วมาเรียนวาดรูปกับพ่อและแม่เดินผ่านต่างไหว้ทำความเคารพ ตีรณารับไหว้พยักหน้าหงึกๆ แล้วก็ชะเง้อมองไปยังจุดเดิม หากรวมเวลาที่เฝ้าคอยอยู่อย่างนี้นับได้เป็นชั่วโมงแล้ว จนญาดาผู้เป็นแม่ที่ละงานสอนเพื่อมาทำกับข้าวอดเดินมาดูไม่ได้
“รอพญาหรือลูก” ญาดาถามออกไปตามที่คิด เพราะวันนี้ชายหนุ่มออกจากบ้านไปแต่เช้า จนพลบค่ำก็ยังไม่กลับมา ตามปกติสัภยาจะติดสอยห้อยตามตีรณาหรือไม่ก็ขลุกอยู่กับสุขุม วาดรูป ลากเส้นตามที่ชื่นชอบ
“โอ๊ย! แม่ ตีจะไปรอมันทำไม”
“ตี พูดไม่เพราะนะ แม่บอกหลายครั้งแล้วไม่ให้เอ่ยถึงใครว่ามัน”
“โห แม่ ไม่เห็นจะแปลกจะหยาบเลย” เมื่อเถียงออกไปแล้วเห็นสายตาระอาของแม่ ตีรณาก็จำต้องยอม
“โอเคค่ะ ตีจะรอเขาทำไมละแม่”
“ก็วันนี้พญาออกไปจากบ้านทั้งวัน ถ้าตีไม่รอพญา แล้วตีรอใครลูก”
“รอ...” ตีรณารีบหยุดคำพูดตนเองเพราะติดสัญญากับน้องสาวคนสวยเอาไว้ ญาณิศารับงานถ่ายแบบเอาไว้หนึ่งชิ้น ซึ่งต่างรู้ดีว่าคนว่าจ้างเป็นเช่นไร แต่เพราะค่าจ้างสองเท่าที่เสนอมาทำให้ญาณิศาไม่อาจปฏิเสธได้ ซ้ำยังสั่งห้ามเธอบอกพ่อกับแม่ด้วย เพราะไม่อยากให้ท่านทั้งสองเป็นห่วง ทีแรกเธอคิดจะตามไปด้วย แต่เกิดอุบัติเหตุทำให้ดวงตาเขียวช้ำจนไม่กล้าย่างเท้าออกจากบ้าน
“เอ่อ ก็รอพญาแหละแม่ ไม่ได้บอกไว้ว่าจะกลับมานอนที่นี่หรือกลับบ้านเลยด้วยสิ” สุดท้ายก็ต้องเออออไปกับแม่เพื่อปกปิดเรื่องกังวลในใจ
“นั่นไง อายุยืนเชียว พูดถึงก็มาเลย” ญาดายิ้มเมื่อหันไปตามเสียงรถจักรยานยนต์ของสัภยา ก่อนหันมามองลูกสาว “แม่ไปทำกับข้าวก่อนนะ”
“คอยผมหรือป้า” สัภยายิ้มแย้มทักทายหลังนำรถไปจอดแล้วเดินกลับมาตรงที่ตีรณายืนอยู่
หากแม่เดินพ้นระยะได้ยินแล้ว เธอจะถามกลับว่า ‘จะรอทำบ้าอะไร’ แต่เมื่อแม่ยังอยู่ในระยะที่ได้ยินจึงตอบไปตามน้ำว่า
“อืม ไปไหนมาทั้งวัน คิดถึงรู้ไหม”
“เย้ย! สยองได้อีก ป้ามาคิดถึงผมทำไม ขนลุกเลย ดูสิๆ” สัภยายื่นแขนให้เธอดู ก่อนขยับออกห่างมองหน้าตีรณาแล้วหัวเราะเบาๆ ก่อนถามกลั้วหัวเราะ
“หรือติดใจหมัดตรง อยากได้อีเบ้าตาใช่ไหมป้า”
“ไอ้บ้า” ตีรณาตวาดเสียงแหลม ก่อนหันมองทางที่แม่เดินไปอย่างอัตโนมัติเพราะเกรงจะได้ยิน แต่โชคดีที่อีกฝ่ายเดินไปไกลแล้ว เมื่อไม่มีสายตาจ้องมองตีรณาก็ขยับเข้าไปใกล้ฟาดมือใส่ แต่สัภยาตั้งรับอยู่แล้วจึงจับข้อมือเธอไว้ได้ทัน
“ท่าทางอยากให้ชกอีกตาแน่ๆ”
“ไอ้บ้า ปล่อย”
“ปล่อยป้าก็ตีผมนะสิ ไหนบอกมาดีๆ ป้ามาคอยใคร” เขาไม่ปล่อยมือ แต่ถามกลับดีๆ
ตีรณาสบตาเขาเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็หลุบลงต่ำผงะเหมือนเห็นอะไรผิดแผกไปจากที่ควรจะเป็น ก่อนจะกะพริบตาอีกครั้งจึงเห็นชัดว่าขากางเกงของสัภยาเปื้อนโคลน
“ไปทำอะไรมา”
“อะไรเหรอป้า” เขาก้มลงมองตาม สายตาตีรณาบ่งชัดว่ามองปลายเท้าเขา ซึ่งก็ไม่มีอะไรผิดแผกไปให้สงสัยจนเกิดคำถามออกมาเลย สัภยาสบตาเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองเขา ก่อนถามซ้ำอย่างงุนงง “มีอะไรผิดปกติตรงไหนละครับ” เขาไม่ถามเปล่า ยังขยับขาไปมา
‘หายไปแล้ว แปลกจริง’
ตีรณาได้แต่สงสัย ทีแรกเธอเห็นเหมือนเขาสวมกำไลข้อเท้า พอเพ่งมองก็กลายเป็นดินโคลนเปรอะเปื้อน แต่เวลานี้มันก็แค่ขากางเกงยีนสีซีดๆ เท่านั้น ไม่มีอะไรแปลกปลอมให้สมกับคำถามเธอเลย
“คงตาลายเพราะแกชกฉันเต็มเบ้าตานี่ละ มาแล้วก็ไปช่วยแม่ทำกับข้าวไป” เธอไล่ส่ง
“อ้าว! แล้วสรุปว่าป้ามาคอยใคร” เขามั่นใจว่าตีรณาคงมีเหตุให้มายืนตรงนี้
“คอยศา”
“คอยทำไม ศาไปทำงานไม่ใช่หรือ”
“ก็เพราะไปทำงานนะสิถึงห่วง พูดแล้วก็เอาสักที” เธอใช่ช่วงเวลาที่เขาเผลอสะบัดข้อมือจนหลุด แล้วทุบต้นแขนเขาเสียงดังพอควร ก่อนบอกเหตุผลที่ทำร้ายร่างกาย
“ถ้าแกไม่ชกฉันจนตาเขียว ฉันก็คงได้ตามศาไปแล้ว เพราะแกคนเดียวทำให้ฉันไม่ได้ออกจากบ้าน” ตีรณาทำท่าจะฟาดซ้ำ แต่สัภยาที่กำลังหัวเราะร่วนย้อนถาม
“แล้วทำไมป้าไม่สวมแว่นปิดไว้ละ”
“แว่นดำฉันพังยังไม่ได้ซื้อ แกก็รู้”
“อ่า ผมลืม ขอโทษครับ” สัภยาเพิ่งนึกได้ว่าเขาติดค้างหญิงสาวตรงหน้า เพราะทำแว่นกันแดดของเธอตกพื้นขณะที่รถแล่น จึงเหยียบเสียแตกยับ ตีรณาไม่ได้ให้เขาชดใช้หลังเขาเอ่ยคำขอโทษอย่างจริงใจเพราะรู้ว่ามันคืออุบัติเหตุ แต่เขาก็ซื้อไว้ให้เธอแล้ว แค่ยุ่งๆ ก็เลยลืม
“ช่างมันเถอะ นายไปช่วยแม่ทำกับข้าวเถอะ” เธอคิดอย่างนั้นจริงๆ ช่างมัน ไม่ใส่ใจ หันไปมองประตูแล้วเหลือบมองนาฬิกาอย่างห่วงใยน้องสาวแทน
“ศาไปถ่ายแบบที่ไหน ดูท่าทางป้าเป็นห่วงจังเลย”
เขายังสงสัยจนเดินจากไปไม่ลง ตีรณาหันมามองสบตาเขา เห็นแววหนักใจแจ่มชัด แต่ก่อนที่เธอจะบอกอะไรรถเก๋งสีบรอนซ์เงินของญาณิศาก็เลี้ยวมาจอดหน้าประตู สัภยาวิ่งไปเปิดประตูให้โดยไม่เกี่ยงให้ใครทำ ในขณะที่ตีรณาลอบถอนหายใจโล่งอก แล้วยิ้มกว้างเมื่อญาณิศาเดินมา
มื้ออาหารค่ำที่ผ่านไปมีสมาชิกร่วมโต๊ะครบครัน แต่ที่ถูกต้องเรียกว่าเกินมาหนึ่งคน ตามปกติเสร็จสิ้นอิ่มหมีพีมันกันถ้วนหน้า สัภยาอาสาเก็บล้างเช่นทุกครั้ง และทุกครั้งคนที่คอยหยิบจับช่วยผ่อนแรงเขาก็คือญาณิศา โดยมีตีรณายืนคุมเชิงอยู่ใกล้ๆ เพราะกลัวเขาจะจีบน้องสาวตน ตีรณาเคยประกาศห้ามเขาจีบญาณิศาเด็ดขาด เพราะกลัวน้องจะน้ำตาเช็ดหัวเข่ากับดีเอ็นเอความเจ้าชู้ของสายเลือดเขา พ่อและพี่ชายเขาเจ้าชู้จนคนรู้กันทั้งเมือง เขาจึงติดร่างแหอยู่ในข่ายเฝ้าระวังของตีรณาไปโดยปริยาย
แต่วันนี้ญาณิศาขอตัวพักผ่อนเพราะเหนื่อยจากการทำงานมาทั้งวัน ตีรณาจึงรับเป็นผู้ช่วยสัภยา ทว่ามาช่วยชี้นิ้วสั่ง ไม่ได้ช่วยลงมือทำ
“กวาดเศษอาหารเททิ้งก่อนเอาไปล้างละ ท่อจะได้ไม่ตัน”
“โหยป้า แก่แล้วแก่เลยจริงๆ เศษอาหารบ้านนี้นะ พ่อครูเก็บไว้ทำปุ๋ย น้ำหมักชีวภาพน่ะ รู้จักไหม”
“อ้าว เหรอ แสดงว่าที่ต้นไม้ของพ่อเจริญงอกงาม เพราะพ่อใช้น้ำหมักอะไรนี่รดหรือ”
“ใช่จ้า ป้าเป็นลูกประสาอะไรนี่ ไม่สนใจอะไรในบ้านเลย”
“ก็มีนายสนอยู่แล้วไง รีบๆ ทำเถอะจะได้รีบกลับไปนอน” ตีรณาไม่อยากต่อกร จึงตัดบทแล้วเดินไปนั่งแหมะรอตรงโต๊ะกลางห้อง นั่งมองชายหนุ่มทำงานอย่างคล่องแคล่ว
“ป้า” สัภยาเรียกเธอ แต่ไม่ได้หันมามอง
“อะไร” ตีรณาขานสั้นๆ เธอเคยชินกับคำเรียกป้า และไม่ถือโทษโกรธเคืองอะไร แม้ว่าเขาจะเรียกเธอกลางชุมชน จนบางครั้งบางคราก็มีคนหันมามองอย่างสงสัย เพราะหากดูหน้าตาเพื่อเปรียบเทียบอายุก็ใกล้เคียงกับตัวเขา เพราะเธออายุมากกว่าแค่สามปีเท่านั้นจะเรียกว่ายังเป็นรุ่นราวคราวเดียวกันก็ยังได้อยู่ แล้วหากจะมองการแต่งเนื้อแต่งตัวว่าเธอเฉิ่มเชยเป็นมนุษย์ป้าก็ไม่ใช่อีก เธอแค่แต่งตัวสบายๆ สไตล์ทะมัดทะแมงก็เท่านั้น หลายครั้งที่เพื่อนสนิทของเขาถามว่าทำไมเรียกเธอแบบนี้ เขาก็ไม่บอกจนเพื่อนเลิกถามเลิกสนใจ แต่ก็มีบ้างบางคนที่เรียกเธอว่าป้าตามเขา เช่นพวกหญิงสาวที่มาติดพันเขาเป็นต้น
“พรุ่งนี้ว่างไหมป้า จะชวนไปดูที่ ไปถ่ายรูปเก็บไว้หน่อย”
“นายซื้อที่หรือพ่อแบ่งมรดกให้ล่ะ” เธอถามตามที่คิด แต่ไม่ใช่อยากได้ใคร่ดีกับทรัพย์สมบัติของเขาแต่อย่างใด
“ที่ของพี่ข่าน่ะ แอบซื้อไม่ให้พ่อรู้ จะทำตลาดครบวงจร”
“ตลาดครบวงจร คืออะไรวะ ฉันโง่ไม่เข้าใจ”
“ทำตลาดน้ำ ร้านอาหาร ที่พัก แล้วก็สถานที่จำลองให้คนถ่ายรูป ประมาณนี้แหละ พี่ข่าอยากให้ผมไปช่วยคุมงาน ถ่ายรูปเก็บไว้ทุกขั้นตอน เอาไว้ฉายวันเปิดตลาด และที่สำคัญห้ามบอกให้พ่อรู้เด็ดขาด พี่ข่าเลยไม่อยากมาคุมงานเอง” สัภยาบอกเสียงเจื้อยแจ้ว แล้วเช็ดมือเมื่อคว่ำชามใบสุดท้ายเสร็จ ก่อนเดินมาที่โต๊ะ ลากเก้าอี้แล้วนั่งลงตรงหน้าตีรณา
“พอเป็นรูปเป็นร่าง ก็ถ่ายรูปทำประชาสัมพันธ์ ผมอยากได้ศา”
“หือ?” ตีรณาเสียงสูงทันที
“อยากได้มาเป็นนางแบบไง ป้านี่คิดมากจริงๆ”
“ก็นายพูดกำกวมนี่”
“กำกวมที่ไหน พูดไม่ทันจบป้าก็ดักคอ ถามจริงๆ เถอะ ชาติก่อนป้าเป็นพวกชอบดักสัตว์ดักปลาหรือยังไง ชาตินี้ละชอบดักคอเสียจริง” สัภยาพูดจบก็เด้งตัวออกจากเก้าอี้ เพราะตีรณาเงื้อฝ่ามือขึ้น ชายหนุ่มรีบชี้มือทันที
“นี่ก็เหมือนกัน ไวเชียว ปากว่ามือถึงแบบนี้ไม่น่ารักนะป้า”
“ไม่ต้องมารักฉัน ไปนอนดีกว่า” ตีรณาค้อนให้ ยอมรับว่าสะท้อนใจ อารมณ์แกว่งเล็กน้อยทุกครั้งที่สัภยาพูดถึงเธอทำนองนี้
ไม่มีใครรัก ใช่สิ เธอไม่สวยน่ารักเท่าญาณิศา ถึงไม่มีใครรักใครสนใจ ผิดกับญาณิศาที่มีแต่หนุ่มๆ มารุมจีบ ไม่เว้นแม้แต่สัภยา
“อย่าเพิ่งไปดิป้า” เขาไม่ได้รั้งแค่คำพูด แต่ฉวยข้อมือเธอไปกำไว้ไม่ให้เดินหนี “ปิดครัวก่อน แล้วไปเรือนศิลปะกัน”
“ไปทำไม” ตีรณาถาม ไม่ได้ขัดขืนจะดึงมือกลับ แต่สัภยาก็ไม่ตอบ เขาแค่ยิ้มมุมปาก แล้วเดินไปปิดหน้าต่างโดยลากเธอไปด้วย ทำประหนึ่งกลัวเธอจะหนีไปนอนเสียอย่างไรอย่างนั้น
ตีรณามองกล่องแว่นตาในมือใหญ่ที่ส่งมาตรงหน้าแทนคำถามจากปาก เมื่อสัภยาเห็นว่าเธอไม่รับไป ก็เปิดมันออก หยิบแว่นกันแดดแบบเดียวกับที่เขาทำพังสวมให้
“ผมใช้คืน ซื้อไว้นานแล้วแต่ลืมเอาให้ป้า”
“ก็บอกแล้วไม่เป็นไร ยังจะซื้อมาอีก แต่ก็ขอบใจนะ” เธอถอดมันออกแล้วรับกล่องจากมือเขามาใส่แว่นลงไปอย่างเดิม
สัภยายิ้มยินดี ก่อนจะเอียงหน้าเพื่อมองเธอที่เตี้ยกว่าเขาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ยื่นนิ้วมือไปแตะรอยช้ำใต้ดวงตา แล้วถามน้ำเสียงอาทรจริงใจ “เจ็บไหมป้า ผมขอโทษนะ”
“นิดหน่อย ไม่เป็นไร” ตีรณาอยากขยับหนี ผลักมือเขาออกห่าง แต่ความรู้สึกซาบซึ้งในความห่วงใยตรึงเธอเอาไว้อย่างนั้น
“ทายาหรือยังป้า จะได้ลบรอยช้ำได้ไวๆ มานั่งนี่ก่อน ผมมียา เดี๋ยวทาให้” เขาจับเธอนั่งลงบนเตียงไม้ไผ่ แล้วไปรื้อหายาแก้ฟกช้ำในกระเป๋า ก่อนจะกลับมายืนตรงหน้าหมุนฝาเกลียวของหลอดยา แต่ฝาเจ้ากรรมดันหลุดจากมือตกลงพื้น “ช่างมัน ค่อยเก็บ ทายาก่อนนะป้า” เขาพูดกับตัวเอง แล้วลงมือทายาให้
“ตาคงไม่บอดนะป้า ผมทาห่างตาเยอะ” เขาบอกเพราะนึกหวั่นเช่นกันที่ทายากใกล้ดวงตาขนาดนี้ แต่ในเมื่อมันช้ำรอบดวงตา จะให้เขาไพล่ไปทาที่แก้มก็คงไม่ถูกต้อง สัภยาทาและนวดเบาๆ จนคิดว่าเพียงพอแล้ว ก็ก้มลงมองหาฝาหลอดยา แล้วชะงักงันเมื่อเห็นข้อเท้าของตีรณาสวมกำไลวงใหญ่ ชายหนุ่มขยี้ตาอย่างสงสัยเพื่อมองใหม่อีกครั้งก็ยังเห็นเช่นนั้น จึงเงยขวับมองหน้าเธอ
“เฮ้ย!”