มารดาของหวงสือหลิวเป็นสตรีที่ถูกขายมาเพื่อชดใช้หนี้แก่สกุลหวง หลังคลอดบุตรสาวได้สองปีก็ล้มป่วยเพราะสุขภาพไม่แข็งแรง อีกทั้งถูกใช้ให้ทำงานอย่างหนักจนไม่เป็นอันพักผ่อน สุดท้ายจึงอายุสั้นจากไปเร็วเช่นนี้
หวงสือหลิวในวัยเด็กจึงตกอยู่ในความดูแลของฉางรั่ว ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้เลี้ยงดูลูกเลี้ยงอย่างนางดีสักเท่าไหร่ ทว่าในสายตาของคนนอกกลับมองว่าฉางรั่วใจกว้างดั่งแม่น้ำสายยาว ยอมรับเลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้อย่างหวงสือหลิวด้วยความอารี
‘หากถูกชาวบ้านรังเกียจ แผนการหาเงินของข้าอาจจะพังไม่เป็นท่าก็ได้’
“เมื่อก่อนสือหลิวประพฤติตนน่าละอาย ตอนนี้รู้ซึ้งแล้ว ขอบคุณแม่ใหญ่และท่านพี่ที่พูดเตือนสติเจ้าค่ะ”
ฉางรั่วกับหวงหยานถิงกะพริบตาถี่ หันมองหน้ากันราวกับจะถามว่า ได้ยินเหมือนกันหรือไม่
“นี่เจ้ากลัวจะถูกสามีทิ้งถึงขั้นเสียสติเลยหรือ” ฉางรั่วสังเกตมองลูกเลี้ยงของตนแล้วก็เริ่มรู้สึกว่าท่าทางหยิ่งจองหองจองหวงสือหลิวหายไป อีกทั้งการแต่งกายของนางก็ไม่ได้ดูหรูหราเกินตัวอย่างที่ควรเป็น
แตกต่างจากหวงสือหลิวคนเก่าอย่างกับคนละคน...
เดิมทีหวงสือหลิวชอบเอาตัวเองมาเปรียบเทียบกับหวงหยานถิงอยู่เสมอ สิ่งใดที่หวงหยานถิงมี นางจะต้องหาทางเอามาครอง ต่อให้ต้องแย่งชิงหรือถูกบิดาสั่งเฆี่ยนอย่างทารุณ นางก็ยังดื้อดึงไม่ยอมปล่อยมือจากของที่ขโมยมาจากพี่สาว
“ข้าว่านางคงเสียสติไปแล้วจริงๆ” หวงหยานถิงทำท่าแขยง “แต่งกับบุรุษจนๆ ก็แบบนี้แหละ คงตกตะกอนความคิดแล้วกระมังว่าตัวนางกับข้ามันเทียบกันไม่ได้”
“อย่าว่าท่านแม่!” เฉ่าเหมยกระโดดมายืนด้านหน้าพร้อมกางแขนปกป้องหวงสือหลิว “ท่านแม่แสนดี ห้ามว่านะ!”
“หน็อย! นังเด็กอวดดี! กล้ามาขึ้นเสียงใส่ข้าหรือ สือหลิว! ทำไมเจ้าไม่รู้จักสั่งสอนมารยาทลูกของเจ้าบ้าง!”
หวงสือหลิวสะกิดบอกให้เฉ่าเหมยกลับมายืนหลังตนก่อนจะค้อมศีรษะลงเล็กน้อย เอ่ยเสียงสุภาพ “ความผิดข้าเอง แม่ใหญ่อย่าถือสาเหมยเหม่ยเลยนะเจ้าค่ะ”
“โธ่ท่านแม่ จริงอย่างสือหลิวบอก อย่าถือสาเด็กเลยเจ้าค่ะ”
หวงสือหลิวเงยหน้าสบตาหวงหยานถิง คราแรกคิดจะกล่าวขอบคุณที่หวงหยานถิงช่วยพูดแทน แต่เมื่อได้ยินประโยคหลัง หางตาหวงสือหลิวก็กระตุกทันที
“สือหลิวหรือจะสั่งสอนลูกได้ ตัวนางเองยังไม่ได้เรื่อง ต้นไม้เป็นอย่างไร ผลที่ออกมาก็ย่อมเน่าเฟะไม่ต่างกันหรอก”
หวงสือหลิวยกยิ้มมุมปาก ท่าทางอ่อนน้อมที่มีเริ่มหายไปทีละน้อย “หากเปรียบข้าเป็นต้นไม้... ที่ต้นไม้อย่างข้าเป็นเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะได้รับการบ่มเพาะจากแม่ใหญ่หรอกหรือ ข้าว่าข้าถอดแบบมาจากแม่ใหญ่และท่านพี่มิผิดเพี้ยนเลยนะเจ้าค่ะ”
“นี่เจ้าด่าข้ากับท่านแม่ว่าเป็นคนไร้มารยาทหรือ!”
“ข้าพูดเช่นนั้นหรือ ท่านพี่... ท่านคิดมากไปกระมัง”
เห็นรอยยิ้มอวดฉลาดของหวงสือหลิวแล้วยิ่งทำหวงหยานถิงรู้สึกหงุดหงิด นางต้องการให้หวงสือหลิวตอบกลับด้วยวาจาแรงๆ หรือลงไม้ลงมือกับนางเสียมากกว่า
เพราะนั่นจะแสดงให้เห็นว่าหวงสือหลิวเป็นพวกไร้การศึกษา อารมณ์รุนแรง ชอบรังแกหวงหยานถิงซึ่งเป็นสตรีอ่อนแอน่าสงสาร
“ว่าแต่แม่ใหญ่และท่านพี่มีอะไรกับข้าหรือไม่ หากไม่มีข้าจะขอรบกวนให้ช่วยหลีกทาง...”
“วันเกิดพ่อเจ้า” ฉางรั่วตอบ “เจ้าคงไม่ได้ลืมกระมัง วันพรุ่งเป็นวันเกิดบิดาเจ้า”
จะไปลืมได้อย่างไร...เพียงแต่หวงสือหลิวไม่รู้เลยต่างหาก นางจำพวกรายละเอียดเล็กน้อยอย่างวันเกิดหรือชื่อของพวกตัวประกอบไม่ได้หรอก
“เจ้าค่ะ ข้าย่อมจำได้อยู่แล้ว” หวงสือหลิวโกหกหน้านิ่ง
หวงหยานถิงกอดอกเชิดหน้า “พรุ่งนี้จะมีแขกคนสำคัญมาร่วมกินข้าวด้วย ข้ากับท่านแม่จึงจะมาเตือนเจ้า อย่าคิดทำอะไรโง่ๆ ให้สกุลหวงขายหน้าเป็นเด็ดขาด”
“พวกท่านวางใจเถอะ ข้าคิดว่าข้าไม่โง่ ไม่ทำอะไรขายหน้าหรอกเจ้าค่ะ” ตอบเพียงเท่านี้หวงสือหลิวก็กะเผลกขาพาเฉ่าเหมยเดินผ่านคนทั้งสองมาโดยทันที
“ท่านแม่... ท่านยายกับท่านป้าไม่ชอบพวกเรา” เฉ่าเหมยเอ่ยเสียงเศร้า
“ไม่หรอก พวกเขาแค่...” หวงสือหลิวคิดไม่ออกเลยว่าจะตอบเฉ่าเหมยว่าอย่างไรดี ส่วนหนึ่งก็ไม่อยากโกหก แต่อีกส่วนก็ไม่อยากบอกความจริงให้เฉ่าเหมยเสียใจ
ทั้งสองเดินกลับมาถึงบ้านก็เห็นถานเทียนสวี่ยืนรออยู่หน้าประตูเรือน เมื่อเห็นบิดาเฉ่าเหมยก็รีบวิ่งเข้าไปกอดเขาทันที อาจเพราะเมื่อครู่เพิ่งเจอเหตุการณ์สะเทือนใจมา เด็กหญิงจึงต้องการหาที่พึ่งพาเพื่อปลอบประโลมความรู้สึก
“เฉ่าเหมย...เป็นอะไร” ถานเทียนสวี่อุ้มตัวบุตรสาวขึ้นมาปลอบ ก่อนสายตาจะเลื่อนมามองทางหวงสือหลิว เห็นนางใช้ไม้ค้ำยันตัวก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจก่อนจะรีบสาวเท้าเข้ามาหา “ใครทำอะไรเจ้า!”