นับจากวันนั้นก็ผ่านมาสัปดาห์หนึ่งแล้ว หวงสือหลิวเริ่มคิดแล้วว่าความพยายามของตนช่างสูญเปล่า ไม่เพียงไม่ฟังแต่ถานเทียนสวี่ยังขู่ว่าหากได้ยินนางพูดเรื่องการเรียนหรือสอบอีก เขาจะจับนางกดน้ำให้ตาย!?
โอ๊ยยย ทำไมถึงเป็นคนไร้เหตุผลขนาดนี้นะ!!!
หลายเดือนผ่านไป ถานเทียนสวี่ยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างหนัก ส่วนหวงสือหลิวก็รับหน้าที่ดูแลงานในเรือนและเลี้ยงเฉ่าเหมยไปพร้อมกัน
ทีแรกหวงสือหลิวอาสาจะไปรับจ้างเก็บพืชผลที่ไร่นาของชาวบ้าน แต่ถานเทียนสวี่สั่งห้าม ให้นางรับผิดชอบแค่งานในเรือนเป็นพอ
“ท่านแม่ๆ ดูนก”
เฉ่าเหมยวิ่งเข้ามากอดขาหวงสือหลิวพร้อมดึงมือให้หญิงสาวไปดูนกตัวหนึ่งซึ่งกำลังนอนอ้าปากร้องอยู่ที่กองใบไม้
เนื่องจากเห็นว่าวันนี้อากาศดี หวงสือหลิวจึงพาเฉ่าเหมยออกมาเดินเล่นแถวชายป่า อีกทั้งหญิงสาวยังสะพายกระบุงมาเพื่อเก็บของป่าหรือสมุนไพรกลับบ้านด้วย
“สงสัยว่าจะตกลงมาจากรัง” หวงสือหลิวเงยหน้ามองต้นไม้สูง เห็นว่ามีรังนกอยู่บนกิ่งหนึ่งก็ยกยิ้มแล้วค่อยๆ อุ้มนกน้อยมาวางไว้บนฝ่ามือ
“เหมยเหม่ยรอตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวแม่จะเอานกไปคืนบนรัง”
“เอากลับ เฉ่าเหมยอยากกลับ”
“ไม่ได้”
เฉ่าเหมยเอียงคอย่นหัวคิ้ว “ทำไม”
หวงสือหลิวยิ้มพลางลูบศีรษะเล็ก “เจ้านกตัวนี้ยังเป็นเพียงลูกน้อย แม่นกจะต้องเป็นห่วงและออกตามหาแน่ อีกอย่างลูกนกควรจะได้อยู่กับแม่ของเขานะ เหมือนเหมยเหม่ยกับแม่ไง”
หวงสือหลิวเว้นช่วงให้เฉ่าเหมยได้คิดตาม “หากเหมยเหม่ยถูกพรากไปจากแม่ แม่ก็คงจะเสียใจมาก...”
“ไม่เอา!” เด็กน้อยโผล่เข้ากอดหวงสือหลิว “ไม่จากท่านแม่ เฉ่าเหมยไม่เอา!”
“เช่นนั้น เราควรช่วยลูกนกให้กลับบ้านไปหาแม่ใช่หรือไม่”
เฉ่าเหมยผลักตัวออก ยืนตัวตรงตีหน้าขรึมแล้วพยักหน้ารัวเร็ว
หวงสือหลิวยิ้มขำ หลายเดือนที่ได้ใกล้ชิดกันทำให้รู้ว่าเฉ่าเหมยนั้นไม่เพียงเป็นเด็กรู้ความแต่ยังหัวไวมากอีกด้วย ถึงจะยังพูดไม่ชัดถ้อยชัดคำ แต่ทักษะการสื่อสารนั้นรวดเร็วกว่าเด็กวัยเดียวกันอย่างมาก สงสัยว่าจะได้ความฉลาดมาจากถานเทียนสวี่เต็มๆ เลยกระมัง
หวงสือหลิวค่อยๆ ปีนขึ้นบนต้นไม้ใหญ่ นางรู้สึกว่าตัวเองไม่คล่องแคล่วเรื่องการปีนต้นไม้เอาเสียเลย ต้องใช้เวลาสักพักใหญ่จึงจะขึ้นมาถึงรังนกได้
“สู้ๆ ท่านแม่ๆ สู้ๆ”
เฉ่าเหมยส่งเสียงให้กำลังใจอยู่ด้านล่าง เมื่อเห็นว่าหวงสือหลิวส่งลูกน้อยคืนรังสำเร็จแล้วก็โห่ร้องดีใจใหญ่
ทว่าในจังหวะนั้นหวงสือหลิวที่กำลังปีนลงมาเผลอไถลลื่นตกลงมาเสียงดังตุ๊บ
“ท่านแม่!” เฉ่าเหมยวิ่งเข้ามาช่วยพยุงมารดาด้วยความตกใจ
“แม่ไม่เป็นไร” หวงสือหลิวบอกพร้อมรอยยิ้ม แต่เมื่อลองขยับเท้า ความเจ็บก็ทำนางทรุดตัวนั่งลงในทันที เมื่อก้มมองดูข้อเท้าของตนก็พบว่ามันมีรอยบวมแดงนูนขึ้นมา
“ท่านแม่...” เฉ่าเหมยน้ำตาคลอ นางกอดแขนหวงสือหลิวเอาไว้แน่น
“เหมยเหม่ยไม่ต้องร้อง แม่ไม่เป็นไร” หวงสือหลิวลูบแก้มเด็กน้อยพลางมองไปรอบๆ เพื่อหาไม้เท้ามาช่วยพยุงตัว
“เหมยเหม่ยช่วยไปหยิบไม้ตรงนั้นมาให้แม่หน่อยนะ”
เฉ่าเหมยรีบวิ่งไปทางที่หวงสือหลิวชี้บอกก่อนจะวิ่งกลับมาพร้อมลากไม้ขนาดยาวมาด้วย
หวงสือหลิวใช้ไม้ค่อยๆ พยุงตัวขึ้นแล้วคว้าเอากระบุงมาสะพายหลัง อีกมือจูงมือของเฉ่าเหมยและทั้งสองก็พากันเดินกลับไปยังเรือน
ทว่าระหว่างทาง สองแม่ลูกกลับถูกสตรีสองนางขวางหน้าไว้ คนหนึ่งมีอายุ ใบหน้าถมึงทึงเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น เมื่อเชิดปากจะยิ่งดูยับยู่ยี่คล้ายกระดาษที่ถูกขยำทิ้งอย่างไรอย่างนั้น
ส่วนอีกคนอ่อนเยาว์กว่ามาก สวยหมดจดจนตรึงใจคนมองได้ตั้งแต่แรกเห็น เสียอย่างเดียวคือแววตาที่ดูเย่อหยิ่ง รู้สึกไม่น่าคบหาเอาเสียเลย
“ท่านยาย ท่านป้า”
หวงสือหลิวหันขวับมองเฉ่าเหมย เมื่อครู่ได้ยินเด็กน้อยเรียกท่านยายท่านป้าหรือ!? หวงสือหลิวหันกลับมามองสตรีสองนางทางด้านหน้าก่อนเอ่ยทัก “ท่านแม่ ท่านพี่”
“ท่านแม่หรือ!?” สตรีสูงวัยขึงตาดุ
หวงสือหลิวทำหน้างง นางพยายามรำลึกถึงความสัมพันธ์ของเหล่าตัวละครในนิยาย หวงสือหลิวเป็นบุตรสาวคนรองที่เกิดจากอนุภรรยาคนหนึ่ง บุตรสาวอย่างนางไม่ได้รับความรักความเอาใจใส่จากบิดามากเท่าบุตรสาวที่เกิดจากภรรยาเอก ทำให้หวงสือหลิวเกิดความริษยาและอยากเอาชนะพี่สาวของตนขึ้นมา
“แม่ใหญ่” หวงสือหลิวรีบกลับคำเรียก
ฉางรั่ว หรือแม่ใหญ่ที่หวงสือหลิวเรียกผงกศีรษะรับ นางเป็นคนถือตน หยิ่งยโส และตระหนี่เป็นที่สุด เฉกเช่นกับบุตรสาว หวงหยานถิง ถึงนางจะมีรูปโฉมโดดเด่นแต่มิวายริษยาในความงามของน้องสาวต่างมารดาอย่างออกนอกหน้า ชอบด่าทอดูแคลนและรังแกหวงสือหลิวอยู่เสมอ
เรียกว่าหวงหยานถิงเป็นศัตรูคู่อาฆาตของหวงสือหลิวเลยก็ว่าได้
“อะไรกันสือหลิว สามีเจ้าเริ่มไม่เหลียวแลแล้วหรือ ทำไมสภาพเจ้าถึงดูอนาถนัก”
หวงสือหลิวยิ้มตอบ “ข้าพาเหมยเหม่ยมาเดินเล่นแล้วบังเอิญขาแพลงเท่านั้น”
หวงหยานถิงหัวเราะเสียงสูง “บนหลังเจ้ายังสะพายกระบุงอยู่เลย เห็นชัดๆ ว่าถูกไล่ให้ออกมาหาของป่าชัดๆ”
“โธ่ ไหนถานเทียนสวี่สัญญาจะเลี้ยงดูเจ้าอย่างดีไม่ใช่หรือ แต่ก็น่ะ…ชื่อเสียงของเจ้าก็ใช่ว่าดีงาม เขาทนเจ้ามาได้ถึงป่านนี้ก็นับว่าอดทนมากพอแล้ว” ฉางรั่วเอ่ยเสริมบุตรสาว
“อีกไม่นานคงถูกทิ้งเป็นหม้าย น่าสงสารนัก”
หวงสือหลิวมองนางร้ายทั้งสองอ้าปากหัวเราะแล้วรู้สึกเศร้าใจนัก นางไม่ชอบที่จะต้องมารับมือกับยัยคนพวกนี้เลยจริงๆ ไม่ใช่ว่าไม่อยากตอบโต้แต่เพราะฉางรั่วและหวงหยานถิงถือเป็นคนในครอบครัว หากก้าวล้ำเส้นเกินไปอาจถูกตราหน้าว่าเนรคุณ