ทะลุมิติ 1
“ข้าทั้งรัก ทั้งถนอมเจ้า! เหตุใดเจ้าจึงคิดทรยศข้า!! หวงสือหลิว!!! เจ้าทำอย่างนี้กับข้าได้อย่างไร!!!”
ถานเทียนสวี่ตะเบ็งเสียงตะโกนอย่างบ้าคลั่ง เขากระชากแขนเล็กเข้ามาใกล้ เขย่าร่างของนางไปมาด้วยอารมณ์โกรธจัด
“ปล่อยข้า! ข้าเจ็บ!”
“เจ้าเจ็บได้เท่าครึ่งหนึ่งของข้าหรือไง! เจ้ามันนังผู้หญิงชั่วช้า ไร้ยางอายที่สุด ถ้าไม่เห็นแก่หน้าข้า อย่างน้อยก็ควรคิดถึงลูกบ้าง!”
เพียะ!
หวงสือหลิวตบหน้าผู้เป็นสามีเต็มแรง “ข้าไม่ได้อยากแต่งกับเจ้า! หากแต่เจ้าบังคับซื้อตัวข้ามาต่างหาก ตอนนี้ยังจะมาเรียกร้องอะไรอีก!”
“ข้าบังคับซื้อเจ้าหรือ ข้าบริสุทธิ์ใจอยากแต่งกับเจ้า ข้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้ากับลูก ทำไมเจ้าไม่เห็นใจข้าบ้าง”
หวงสือหลิวเชิดหน้ากอดอก สายตาที่มองถานเทียนสวี่เต็มไปด้วยความรังเกียจและดูแคลนอยู่หลายส่วน
“ฟังข้าให้ดีนะถานเทียนสวี่ ชาตินี้ทั้งชาติ ข้าคนนี้ไม่มีวันรักเจ้า! ต่อให้เจ้าจะทำดีแค่ไหนหรือยอมอุทิศชีวิตเพื่อข้าอย่างไร ข้าก็ไม่มีวันเหลียวมองคนต่ำต้อยอย่างเจ้า!!”
เพราะเป็นเพียงบุรุษยากจน แม้ได้ชื่อว่าเป็นบัณฑิตแล้วอย่างไร เขาสอบผ่านแค่ระดับซิ่วฉาย[1] หนทางอีกยาวไกลกว่าจะเข้าใกล้ตำแหน่งขุนนางของราชสำนัก ไหนจะต้องพึ่งพาเงินทองและกำลังสมองอีกมากโข คนอย่างถานเทียนสวี่อย่างไรก็ไม่มีวันเป็นใหญ่เป็นโตได้แน่
“พ่อ...”
เสียงทะเลาะของทั้งคู่ปลุกให้ เฉ่าเหมย เด็กหญิงตัวน้อยที่เพิ่งจะย่างเข้าสองขวบลุกขึ้นมาจากที่นอนก่อนจะค่อยๆ เดินเข้ามาหาคนทั้งสอง
เฉ่าเหมยมองหน้าบิดามารดาสลับกันอย่างไม่เข้าใจในสถานการณ์ ตั้งแต่เกิดมาเด็กน้อยไม่เคยได้ยินบิดาขึ้นเสียงดุใส่ผู้เป็นมารดาเลยสักครั้ง
เฉ่าเหมยเกิดอาการสับสนเพราะถึงจะสนิทสนมและคลุกคลีกับถานเทียนสวี่มากกว่า แต่ความผูกพันระหว่างผู้เป็นลูกกับแม่ก็ยากนักจะปฏิเสธ เฉ่าเหมยจึงเดินเข้าไปหาหวงสือหลิวตามสัญชาตญาณ
“อย่าเข้ามาใกล้ข้านะ!” หวงสือหลิวตวาดลั่น
เฉ่าเหมยสะดุ้งด้วยความตกใจ เด็กน้อยตัวสั่น อ้าปากร้องไห้จ้า
“สือหลิว! ทำไมต้องตะคอกลูกด้วย!” ถานเทียนสวี่รีบอุ้มเฉ่าเหมยขึ้นมาปลอบ
“น่ารำคาญ! เจ้าสองคนมันตัวถ่วงในชีวิตข้าจริงๆ” พูดจบก็สะบัดหน้าเดินจากไปทันที
ถานเทียนสวี่มองตามหญิงสาวที่กระแทกปิดประตูห้องนอน นัยน์ตาที่เคยเต็มไปด้วยความรักใคร่ชื่นชมแปรเปลี่ยนเป็นเคียดแค้นชิงชัง! ตลอดหลายปีที่อยู่กินกันมา นางไม่เคยมีใจเสน่ห์หาเขาไม่พอ แต่กับลูกน้อยที่เพิ่งลืมตาดูโลกไม่นาน นางก็ไม่เคยอุ้มชูดูแล
หวงสือหลิว...ผู้หญิงอย่างเจ้า ทำไมถึงได้ใจดำอำมหิตนัก น่าขยะแขยงจนอยากจะ...ดับลมหายใจให้ตายเสียเดี๋ยวนี้!!!
.............................
และนั่นก็เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในนิยาย หวงสือหลิวเป็นสตรีที่ได้ชื่อว่าสวยแต่โง่จริงๆ นางทะเยอทะยานและหวังในลาภยศจนไม่แยกแยะถูกผิด ท้ายที่สุดก็ถูกสามีที่เคยรักนางมากปลิดชีพจนตายและฝังร่างไว้ที่สุสานของศพไร้ญาติ
อีกทั้งยัง...เป็นการตายที่ทรมานมากเสียด้วย มีดปลายแหลมกระหน่ำแทงเข้าใส่ โลหิตไหลทะลักไม่ขาดสาย สตรีที่ได้ชื่อว่างดงามดั่งบุปผาแรกแย้มดิ้นพล่านอยู่ที่พื้นอย่างน่าอนาถ ความเจ็บปวดทรมานแล่นผ่านไปทั่วร่างจนคล้ายกล้ามเนื้อทุกส่วนกำลังถูกแยกออกจากกัน
“ไม่!!!!!” หญิงสาวสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย นางเหลียวมองรอบตัวด้วยหัวใจที่เต้นรัวระทึก เหงื่อไหลซึมลงมาถึงปลายคาง ดวงตากลมเบิกกว้างขึ้นไปอีกเมื่อพบว่าที่ที่ตนตื่นขึ้นมาหาใช่ห้องนอนที่ตนคุ้นเคย
“ที่นี่คือที่ไหน” หญิงสาวสำรวจมองตัวเอง พบว่าชุดที่สวมใส่ก็ไม่ปกติ ครั้นหันไปมองเงาตัวเองในคันช่องข้างหัวเตียง ก็เป็นต้องกรีดร้องเสียงหลงอีกรอบ
“นะ...นี่ข้า ข้า... ทำไมหน้าข้าถึง...”
หญิงสาวพยายามตั้งสติทบทวนเรื่องราว นางจำได้รางๆ ว่าขณะตัวเองกำลังเดินข้ามถนน เสียงบีบแตรรถก็ดังลั่นมาจากทางด้านหลัง ตามด้วยเสียงโครมดังสนั่น แล้วหลังจากนั้น...ภาพทุกอย่างก็ดับวูบลง
ก่อนนางจะเริ่มนิมิตฝันถึงเรื่องราวในนิยายที่เคยอ่านเมื่อเดือนก่อน
‘ขย่มบัลลังก์มังกร’ เป็นอีกนิยายเรื่องโปรดที่อ่านรอบเดียวไม่เคยพอ เนื้อเรื่องบอกเล่าเรื่องราวการสู้ชีวิตของถานเทียนสวี่ ปูทางตั้งแต่เขายังเป็นผ้าขาวสะอาดก่อนจะค่อยๆ ถูกแต่งเติมสีดำทีละนิด
หากบอกว่าบุรุษผู้เป็นตัวร้ายนี้กลายเป็นพระเอกของเรื่องเลยก็ว่าได้ เพราะท้ายที่สุด เขาจะเป็นคนโค่นบัลลังก์ฮ่องเต้ และแต่งตั้งตัวเองขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิคนใหม่
“หมายความว่าข้าทะลุมิติมาเกิดใหม่ในร่างของหวงสือหลิวอย่างนั้นหรือ”
หญิงสาวจากต่างภพหรือในตอนนี้คือหวงสือหลิวยังคงนั่งนิ่งมึนงงกับสิ่งที่ตนกำลังพบเจอ นางต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะทำใจลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาและเปลี่ยนเสื้อผ้า
“ทำไมเงียบจัง” หวงสือหลิวเดินออกจากห้องนอนไปยังอีกสองห้องที่อยู่ติดกัน ทว่ากลับไม่พบผู้ใด นางจึงเดินออกมานอกลานเรือน แต่ก็ยังไร้ซึ่งเงาของคนที่ร่วมอยู่อาศัยด้วย
หากคิดตามเนื้อเรื่องที่เคยอ่าน เพลานี้ถานเทียนสวี่หรือสามีของนางก็คงจะออกไปทำนาอยู่เป็นแน่ คิดได้ดังนั้นหวงสือหลิวก็คว้าเอาหมวกฟางขึ้นมาสวมและเดินออกไปยังด้านนอก
....................................................
สอบระดับซิ่วฉาย[1] = การสอบระดับอำเภอ