ณ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดภาค 1
“เลิกงานแล้วไปหาอะไรดื่มกันเถอะ”
“ดีครับพี่ เครียดมาหลายวันกับไอ้พวกเด็กนี้ ไปคลายเครียดสักหน่อยก็ดีครับ...ไปกันหัส”
หาวววว...หัสวีร์หาวออกมาก่อน “ไม่ละครับพี่ พรุ่งนี้ผมจะกลับบ้าน คืนนี้จะกลับไปนอนเอาแรงครับ”
เอ่อ “พูดถึงกลับบ้าน พวกเรากลับบ้านครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กันเนี่ย” หาใช่เป็นคำถามแค่เป็นคำเปรย
“ว่าไปหัส นายดูไม่เหมือนเป็นคนนครปฐมเลยนะ”
“คนนครปฐมกับคนกรุงเทพมันต่างกันยังไงหรือครับ”
เฮ่ยยย “หนังหน้าอย่างนายนะ ไปเป็นท่านประธานใหญ่ในตึกสูงๆ ได้สบายเลย”
เฮ้ย! “พี่ครับ ตำแหน่งประธานนะ เขาไม่ใช้แค่หนังหน้าหรอกนะครับ”
หัสวีร์ยิ้มอ่อน “ไหนๆ วันนี้พวกพี่ก็อยู่กันพร้อมหน้า ผมขออนุญาตประกาศตรงนี้เลยนะครับว่านับจากพรุ่งนี้เป็นต้นไปพวกพี่ห้ามไปคอนโดผมโดยเด็ดขาด”
เฮ้ย! เสียงโวยวายดังขึ้นมาทันที “นี่! แม้นายมาอยู่ที่นี่สองเดือนแล้ว แต่ในทีมพวกเรานายก็ยังเป็นน้องเล็กกล้ามาออกคำสั่งกับรุ่นพี่...แต่เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ หรือว่าจะมีเมียเป็นตัวเป็นตนแล้วอย่างงั้นเหรอ...แล้วเป็นคนไหนกันผมสั้น ผมยาว ใช่คนนั้นเมื่อวันก่อนหรือเปล่าสวยหยาดฟ้ามาดินเลยแต่ฉันรู้สึกว่าจะแก่กว่านายนะ”
“พวกพี่เลิกโวยวายและเดามั่วได้แล้ว...น้องสาวครับ อีกอาทิตย์เดียวมหาลัยก็เปิดเทอมแล้ว น้องสาวจะมาอยู่ด้วยครับ”
“น้องสาว! ในประวัติของแกไม่เห็นมีระบุเลยว่าแกมีน้องสาว”
“ใช่! เท่าที่จำได้แกเป็นลูกคนเดียวของพ่อกับแม่ไม่ใช่เหรอ” หัสวีร์ปิดคอมพิวเตอร์หยิบโทรศัพท์และคว้าแจ็คเก็ต
“ผมกลับไปนอนแล้วนะครับ แล้วเจอกันวันอังคาร...ออ รบกวนอย่าลืมคำขอของผมด้วยนะครับพี่ๆ ทุกคน แล้วเจอกันครับ”
“อะไรของมันว๊ะเนี่ย”
“ตกลงมีใครรู้มั้ยว่ามันมีน้องสาว...น่าสงสัย” เมื่อได้รับคำตอบเป็นการส่ายหน้า “สาวๆ ของมันคงจะรู้บ้างมั้ง”
“มันก็ไม่แน่หรอกเพราะขนาดพวกเรามันยังไม่อ้าปากบอกอะไรเลย ไอ้เจ้าเด็กคนนี้ ดูลักษณะมันแล้วมีความเป็นพี่ชายตรงไหนเนี่ย”
?????? ??????
“แม่ได้ยินเสียงรถมั้ยคะ”
“นั่นสิ รถใครมาจอดหน้าบ้าน”
“เดี๋ยวหนูไปดูเองค่ะ...แม่ค่ะ!” ลำธารวิ่งกลับเข้ามาในบ้านพร้อมเสียงสดใส “พี่หัสมาค่ะ” เสียงใสก้องกังวาลดังระฆังแก้ว ใครก็ตามที่ได้ยินต้องรู้ได้ทันทีว่าเจ้าของเสียง ณ ขณะนี้ต้องมีความปิติยินดีมากๆ
“สวัสดีครับแม่” หัสวีร์ก้าวเข้ามาในบ้านทำความเคารพทับทิมและหันไปทางทักทายสาวน้อย “เป็นไงบ้างลำธาร”
ลำธารยิ้มมองเขาด้วยแววตากระจ่าง หัวใจเธอเต้นแรงเกินไปแล้ว ไม่เจอพี่เขาแค่สองเดือนเท่านั้นเองไม่ใช่เหรอ ก่อนนี้เธอแค่ไม่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในใจเธอว่ามันคืออะไร แต่พอวันนี้ได้เห็นหน้าเขาเธอก็เข้าใจในที่สุด “ชอบเขาจริงๆ สินะ’ ลำธารคิดในใจ
“พี่ผิดนัด” เอ่ยในสิ่งที่ไม่ตรงกับใจ
“คงไม่งอนพี่จนรื้อของออกจากกระเป๋าหรอกนะ”
“ก็อยากทำแบบนั้นเหมือนกัน แต่เบื่อที่ต้องจัดมันใหม่เหมือนกัน” พูดจบก็เดินขึ้นบันไดเข้าห้องนอนไปทันที
“น้องงอนแล้วใช่มั้ยครับเนี่ย”
“ไม่มีอะไรหรอกจ่ะ ขึ้นไปขนกระเป๋าเท่านั้นแหละ กินมื้อเช้าหรือยัง”
“ยังเลยครับ ผมตั้งใจหิ้วท้องมากินที่นี่ครับ”
“ถ้างั้นก็เร็วเข้า สายแล้วคงหิวมากแล้ว ไปนั่งเลยจ่ะ เดี๋ยวแม่ยกไปให้ เมื่อเช้าแม่ทำข้าวต้มกุ้งไว้แต่น้องดันไม่ยอมกิน บ่นว่าตัวเองเริ่มอ้วน เด็กสมัยนี้จะผอมอะไรกันนักกันหนา แล้วจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปเรียนหนังสือกัน” ทับทิมตักข้าวต้มที่อุ่นร้อนพร้อมกินมาให้หัสวีร์จนหมด
“แล้วน้องกินอะไรไปละครับตอนเช้า”
“นมกับแอปเปิ้ล ตอนนี้นะแม้แต่ขนมหวานก็ไม่ยอมจะกิน สั่งห้ามแม่ซื้อเข้าบ้านเด็ดขาดอีกด้วย” หัสวีร์ยิ้มอย่างขบขัน “แม่ละอดเป็นห่วงไม่ได้ ถ้าพ้นสายตาแม่ไม่รู้จะอดข้าวอดปลาจนล้มป่วยหรือเปล่า”
“แม่ไม่ต้องเป็นกังวลหรอกครับ ลำธารรู้ขอบเขตของตัวเองดี แล้วผมจะคอยเตือนเองครับ” ทับทิมพยักหน้า “งั้นผมรีบกินดีกว่าจะได้ไปช่วยน้องยกกระเป๋า”
“ไม่ต้องหรอกจ่ะ หัสค่อยๆ กินไป ข้าวของของน้องไม่เยอะหรอก ก่อนนี้น้องเขาไม่ค่อยซื้อเสื้อผ้า ของเก่าๆ แม่ก็ไม่ให้ขนไป บอกให้ไปหาซื้อเอาใหม่ที่โน้น เด็กคนนั้นนะ...” ทับทิมเงียบลงครู่หนึ่งชำเลืองไปที่ชั้นสองเมื่อเห็นว่าลูกสาวยังไม่ลงมา “...ตั้งแต่ที่ธาราจากไป ลำธารก็ประหยัดกว่าเดิมมากขึ้นไปอีก ลดค่าขนมไปโรงเรียนของตัวเองครึ่งหนึ่ง...บอกแต่ว่าให้แม่เก็บไว้ สัญญาว่าจะตั้งใจเรียนให้จบ คงคิดว่าตัวเองเป็นภาระของแม่เลยพยายามจะเข้มแข็งและคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ตัวเองต้องเป็นหัวหน้าครอบครัว...เฮ่ยยย”
หัสวีร์นิ่งฟังและเมื่อย้อนกลับไปช่วงเวลาแห่งความยากลำบากมากที่สุดสำหรับลำธารคงเป็นช่วงที่สูญเสียธารา เพราะตอนที่เธอสูญเสียบิดาตอนนั้นเธอยังเด็กมากยังไม่เข้าใจโลกมากนักและตอนนั้นเธอก็ยังมีพี่ชายที่ยืนหยัดเพื่อครอบครัว เป็นหลักหรือที่เรียกอีกอย่างว่าฮีโร่ แต่เมื่อหลักยึดเหนี่ยวได้จากไป เธอต้องลำบากไม่น้อยแต่ตอนนั้นกลับเป็นเธอที่คอยดูแลเขาและแม่ทับทิม เติบโตขึ้นเพียงชั่วข้ามคืนสินะ
“แม่ไม่ต้องกังวลนะครับ ลำธารจะไม่สูญเสียช่วงเวลาของวัยของเธอแน่นอนครับ” ทับทิมพยักหน้ารับอย่างวางใจ สำหรับเธอแล้วหัสวีร์เสมือนลูกชายคนหนึ่งของเธอไปแล้วจริงๆ