“กินเถอะจ๊ะ” ทับทิมลุกไปรินน้ำมาวางไว้ให้ และเดินเข้าห้องครัวเพื่อเก็บล้างให้เรียบร้อยเพราะเธอจะไปส่งลำธารที่กรุงเทพจะไม่อยู่บ้านสักสองวัน ซึ่งหัสวีร์ยืนยันว่าเธอต้องไปด้วยถือว่าไปเที่ยวกรุงเทพ ซึ่งเขาจะพาไปดูมหาลัยที่ลำธารเรียนและโดยใช้เวลาวันหยุดอันน้อยนิดของเขาพาเธอไปสถานที่ต่างๆ ในกรุงเทพ เช่นวัดพระแก้วเป็นต้น
ระหว่างที่หัสวีร์ทำตามคำของทับทิมนั่งกินข้าวต้มกุ้งต่อไป ลำธารก็ค่อยๆ เดินลงบันไดมาพร้อมกับกระเป๋าในมือซ้ายขวาและที่สะพายหลัง หัสวีร์แค่เงยหน้ามองทีหนึ่งและก้มหน้ากินต่อ ลำธารชำเลืองมองเขาเช่นกันแต่เป็นจังหวะที่เขาก้มหน้าไปแล้ว คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างช่วยไม่ได้ ในใจลึกๆ รู้สึกไม่พอใจอย่างบอกไม่ถูกที่เขาไม่มาช่วยเธอถือกระเป๋า
เมื่อหัสวีร์กินอิ่มแล้ว กระเป๋าก็ถูกขนขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว “รถของพี่เหรอคะ” ลำธารถาม หัสวีร์พยักหน้าทีหนึ่งเป็นคำตอบ รอทับทิมที่สำรวจกลอนหน้าต่างประตูบ้านครั้งสุดท้ายอีกครั้ง และทั้งสามก็ออกเดินทาง ลำธารแม้จะอยู่แค่นครปฐมแต่นี้เป็นครั้งที่สองที่เธอมากรุงเทพ ครั้งแรกก็ตอนที่เธอมามอบตัวเข้าเรียนซึ่งตอนนั้นแม่มาเป็นเพื่อน โดยหัสวีร์จัดการว่าจ้างรถให้มารับไปส่งและคอยอำนวยความสะดวกให้กับทั้งสองอย่างไม่ให้ลำบากแม้ตัวเขาไม่ได้มาเพราะติดงานแต่เขาก็ไม่เคยละเลยหน้าที่ที่เขาสัญญากับธาราไว้แล้วว่าต่อจากนี้เขา เขาจะทำหน้าที่ลูกชายต่อทับทิมแทนธารา เป็นพี่ชายต่อลำธาร
ระยะทางจากนครปฐมไปกรุงเทพไม่ไกลมากนักแต่ด้วยสภาพจราจรทำให้ทั้งสามใช้เวลาเกือบสามชั่วโมงกว่าจะมาถึงคอนโดแถวๆ สุขุมวิท ลำธารมองสิ่งแวดล้อมโดยรอบด้วยความตื่นเต้น และเมื่อมาถึงห้องพักเธอก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความสวยงามและความทันสมัย หัสวีร์ผลักประตูห้องนอนของลำธารที่ถูกตกแต่งไว้อย่างเอาใจใส่
“สวยจังเลยค่ะ” ทับทิมยิ้มอย่างพึงพอใจ ตั้งแต่เล็กจนโตลำธารไม่เคยมีห้องนอนส่วนตัว นี่เป็นห้องนอนส่วนตัวแรกของเธอเลย หญิงสาวย่อมตื่นเต้นเป็นธรรมดาตามวัย
“อย่ามัวแต่ดีใจ ไปจัดของให้เรียบร้อย” ทับทิมเอ่ยเตือน “นั่งพักสักแป็บหนึ่งเถอะจ่ะ” ประโยคหลังทับทิมหันไปเอ่ยกับหัสวีร์ ทั้งสองจึงเดินออกมานั่งที่โซนนั่งเล่น หัสวีร์เดินไปรินน้ำส้มเย็นๆ มาให้ทับทิม “ขอบใจมากนะจ๊ะ” ทับทิมเอ่ยอีกครั้งเมื่อหัสวีร์เดินมานั่งลงตรงข้าม
“เป็นหน้าที่ที่ผมควรทำครับ” และพวกเขาสองคนก็คุยเรื่องทั่วๆ เป็นการฆ่าเวลาแต่เรื่องทั่วๆ ที่ว่าส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับลำธาร เช่น การเดินทางจากที่พักไปมหาลัยเธอจะไปอย่างไร เมื่อลำธารจัดเข้าของเสร็จแล้วก็ชวนกันออกไปข้างนอกอีกครั้ง หัสวีร์พาทั้งสองไปกินมื้อเย็นในร้านห้างดังใกล้คอนโด และเขาก็พาทั้งสองเดินช้อปปิ้ง แน่นอนว่าหัสวีร์ต้องกึ่งบังคับให้ทั้งสองซื้อของที่ตนชอบและได้ใช้
สำหรับทับทิมและลำธารแล้วย่อมรู้สึกว่าเป็นการรบกวนแต่สำหรับหัสวีร์แล้วเขารู้สึกถึงครอบครัวที่แท้จริง มันทำให้เขาอบอุ่น เป็นความอบอุ่นที่เขาไม่มีทางได้รับจากพ่อและแม่แท้ๆ ของตน
=====================
“พรุ่งนี้พี่ไปส่งแม่แล้วก็จะไปทำงานต่อเลย ไม่สะดวกที่น้องจะต้องไปด้วยซึ่งพี่คิดว่าช่วงนี้น้องก็ศึกษาเส้นทางคำนวณเวลาการเดินทางจากที่นี่ไปมหาวิทยาลัยดูนะ” ลำธารพยักหน้ารับอย่างช่วยไม่ได้ แต่เธอก็ไม่สามารถรบกวนเวลาทำงานของหัสวีร์ได้
“แม่ไม่ได้อยู่ใกล้ๆ แล้ว อย่าดื้อกับพี่เขานะ ลูกต้องดูแลตัวเองให้ดี ตั้งใจเรียนและกินของที่เป็นประโยชน์” ลำธารพยักหน้ารับและอดไม่ได้ที่โอบกอดซุกหน้ากับอกแม่ พอเอาจริงเธอก็รู้สึกอยากร้องไห้ เคยที่ไหนกันที่ต้องห่างแม่
เช้าตรู่ในวันรุ่งขึ้นลำธารจึงทำเพียงยืนส่งแม่ที่หน้าประตู ส่วนหัสวีร์ก็ทำเหมือนเธอตอนเด็กลูบศีรษะเธอ “อย่าซนนักนะ” และเขาก็จากไปอย่างพี่ชายแท้ๆ
?????? ??????
คราด...คราด...เสียงไม้กวาดยามที่กวาดใบไม้ หัสวีร์กวาดทำความสะอาดบริเวณโดยรอบเจดีย์ที่ใส่กระดูกของพันตำรวจโทธณัฎฐ์ ทรัพย์โภคิน และ พันตำรวจโทธารา ทรัพย์โภคิน
“หลวงพ่อ” หัสวีร์รีบวางไม้กวาดและก้มกราบหลวงพ่อที่เขาเคยอาศัยอยู่ร่วมด้วยตอนที่เขาบวชหน้าไฟให้กับธารา
“สบายดีนะ”
“ครับ ข้อเข่าหลวงพ่อดีขึ้นมั้ยครับ”
“ขอบใจมากที่เอาใจใส่ และยังส่งยาบำรุงมาให้ตอนนี้ดีขึ้นมากเลย เมื่อสองวันก่อนน้องสาวก็พึ่งจะมาทำความสะอาดไปเอง เห็นบอกว่ากำลังจะไปเรียนมหาลัยในกรุงเทพ” หลวงพ่อเอ่ยพร้อมกับกวาดตามองบริเวณโดยรอบที่ยังสะอาดสะอ้านและก้มมองใบไม้ที่หัสวีร์กวาดมามีเพียงไม่กี่ใบเท่านั้น
“ครับ” เมื่อหัสวีร์ตอบรับอย่างเข้าใจ หลวงพ่อจึงให้โอวาทและกล่าวอีกสองสามประโยคก็เดินจากไป แต่คำสุดท้ายที่หลวงพ่อท่านย้ำเตือนสติยังคงก้องกังวาล ‘คนตายไม่อาจฟื้นคืนไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ สิ่งที่เหลือไว้ให้คนเป็นหาใช่แค่การรำลึกถึงความเศร้าโศก’ เขาไม่เคยปิดบังหลวงพ่อได้เลย
“ธาราฉันคิดถึงแกว๊ะ ฉันจะเป็นตำรวจที่ดีแทนแกด้วยนะ”
?????? ??????