โลกใบเดิมเลือนหาย
อรองค์ทั้งตื่นเต้นดีใจจนยิ้มไม่หุบ เด็กสาวรีบอาบน้ำ และเลือกชุดอย่างพิถีพิถัน และหยิบชุดที่อารียาเลือกให้ตอนไป
ชอปปิ้งด้วยกัน เป็นเสื้อยืดโอเวอร์ไซซ์ แต่สีอ่อนเป็นลายการ์ตูนน่ารัก กับกางเกงขาสั้นสีขาว แถมยังทาแป้งพัพบางๆ และเติมริมฝีปากด้วยลิปสติกสีชมพู สีใกล้เคียงกับสีริมฝีปากของตนเอง
ผมสั้นที่เริ่มยาวก็หวีและเซ็ทเป็นทรง
อรองค์หมุนตัวไปมาเพื่อสำรวจความเรียบร้อย ก่อนจะออกจากห้องเดินลงไปยังชั้นล่าง ตรงไปยังห้องกินข้าว ซึ่งดูเหมือนว่าทุกคนจะลงมากันหมดแล้ว เพราะได้ยินเสียงพูดคุย
แต่เอ...อยู่กันสามคน ทำไมเสียงพูดมันเหมือนจะมีคนมากกว่านั้น
เมื่อโผล่หน้าเข้าไปในห้องกินข้าว รอยยิ้มที่แต้มหน้าตลอดการเดินมาถึงนั้นหุบฉับพลัน เมื่อเห็นใครบางคนนั่งอยู่เคียงข้าง
ภูวิณ
“น้องเอิง ไม่ได้เจอกันนานเลย คิดถึงนะคะ” มะลิลุกจากเก้าอี้มาจับมืออรองค์ราวกับสนิทสนมกันมานาน ซึ่งจริงๆ แทบไม่รู้จักกันเลยก็ว่าได้
มะลิพาอรองค์ที่เหมือนยังช็อก มานั่งเก้าอี้ตัวที่ยังว่าง ซึ่งก็คือข้างภูวิณอีกฟาก
รอยยิ้มก่อนหน้านั้นหายไปแล้ว
“ไม่เจอกันแค่เดือนกว่าๆ น้องเอิงดูสดใสขึ้นนะคะ แต่งตัวก็น่ารักขึ้นด้วย” มะลิยังเอ่ยปากชมไม่หยุด แต่อรองค์ก็ยังเงียบ เพราะไม่อยากฝืนใจพูดคุยกับมะลิ
ตอนนี้กำลังเสียใจที่คิดว่าภูวิณมาหาเธอ ที่แท้เขาก็คงพามะลิมาเที่ยวกรุงเทพฯ กระมัง
“พรุ่งนี้น้องอิ้งกับน้องเอิงไปชอปปิ้งกับพี่และอาวิณกันไหมคะ”
“อ๋อ ไม่ดีกว่าค่ะ พอดีอิ้งกับเอิงมีรายงานที่ต้องทำด้วยกัน และการบ้านอีกเยอะเลยค่ะ” อารียาตอบด้วยสีหน้าอึดอัดเมื่อเห็นหน้าตึงๆ ของอรองค์
อารียาก็ตกใจเช่นกันที่รู้ว่าอาหนุ่มของเธอไม่ได้ตั้งใจมาเยี่ยมอรองค์ แต่เขาพาแฟนมาเที่ยวมาชอปปิ้งต่างหาก
สงสารเพื่อนมาก ได้แต่ภาวนาอย่าให้มะลิพูดมากจนอรองค์ปรี๊ดแตก
“น่าเสียดายจัง แต่ไม่เป็นไรค่ะ มะลิไปกับคุณภูสองคนก็ได้”
แล้วจากนั้นบรรยากาศก็เป็นไปอย่างอึดอัด เพราะมะลิชวนคนนั้นคนนี้คุย แต่อรองค์ก็หาตอบอะไรหญิงสาวไม่ ปล่อยให้
อินทุอรกับอารียาพูดคุยไปตามมารยาท
แม้แต่ภูวิณเองก็ดูเหมือนจะไม่ได้พูดอะไรมาก แต่เห็นสีหน้าของอรองค์ก็รู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร
แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเขาตัดสินใจเรื่องมะลิไปแล้ว
อรองค์ก็ต้องยอมรับให้ได้เช่นกัน
เพราะส่วนตัวเขานั้นไม่ได้คิดว่าอรองค์จะรักเขามากไปกว่าคนในครอบครัว เขาเป็นผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่เธอพักพิงได้ ตอนนี้เขากำลังให้อรองค์มีคนที่เธอพักพิงได้เพิ่มมาอีกคน นั่นคืออินทุอร กับอารียาก็จะเป็นทั้งเพื่อนสนิทและคนในครอบครัว เพื่อวันหนึ่ง
อรองค์จะไม่รู้สึกโดดเดี่ยว หากวันที่เขาแต่งงานมีครอบครัว
แต่เพราะคำพูดของมารดาที่บอกว่าอรองค์จะเป็นได้เป็นเจ้าสาวของเขา ทำให้อรองค์ยึดมั่นในคำพูดนั้นจนกลายเป็นล้อมกรอบตัวเองไว้
ภูวิณคิดว่ามารดาพูดเพื่อปลอบใจอรองค์เท่านั้น เพราะในชีวิตนี้เขาไม่เคยคิดจะเปลี่ยนสถานะของอรองค์จากเด็กในปกครองเป็นอย่างอื่น
เขารักและเอ็นดูเธอเหมือนที่รักและเอ็นดูอารียา เพราะเห็นอีกฝ่ายตั้งแต่วันลืมตามองดูโลก เมื่อพ่อของอรองค์จากไปในวันที่อรองค์อายุเพียงเจ็ดขวบ เขากับมารดาก็เลี้ยงดูอีกฝ่ายเหมือนคนในครอบครัว
“เอิงขอตัวก่อนนะคะ พอดีทำการบ้านค้างไว้” เมื่อกินข้าวอิ่มเธอก็บอกทุกคน
เมื่อภูวิณกับอินทุอรพยักหน้ารับ เธอก็เดินออกจากห้องกินข้าวตรงไปยังห้องนอนทันที
น้ำตาที่พยายามเก็บกักไว้ตั้งแต่เห็นหน้ามะลิ ก็พรั่งพรูออกมา
มันคงถึงเวลาที่เธอต้องยอมรับความจริงสินะ ในเมื่ออาวิณพามะลิมาเปิดตัวขนาดนี้แล้ว
แต่ทั้งสองก็เพิ่งคบกัน ไม่แน่ว่าวันหนึ่งอาจไปไม่รอด มะลิอาจไม่ได้แต่งงานกับอาวิณก็ได้
เรายังมีหวัง แม้จะริบหรี่ก็ตาม
แต่ทำไมอาวิณต้องพามะลิมาบ้านนี้ด้วย
ฮือๆ อาวิณใจร้าย ยำยีหัวใจเอิง
เธอนั่งร้องไห้อยู่ครู่ใหญ่ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู คิดว่าเป็นอารียาจึงร้องบอกให้เข้ามาได้
ทว่าคนที่เปิดประตูเข้ามากลับเป็นมะลิ อีกฝ่ายส่งยิ้มให้ แต่เป็นรอยยิ้มเยาะหยัน ในมือมีจานขนม
“พอดีเด็กรับใช้จะเอาขนมตาลของโปรดมาให้เธอ ฉันเลยอาสามาส่งให้”
พออยู่ลับหลังภูวิณและคนในบ้าน สรรพนามที่เรียกขานกันก็เปลี่ยนไป ‘ฉันกับเธอ’ ทันที
เมื่อเห็นว่าอรองค์ยิ่งนิ่งเฉย มะลิก็วางจานขนมบนโต๊ะ พร้อมเอ่ยต่อเสียงหยัน
“ถึงกับร้องไห้เลยเหรอ” เพราะถึงเด็กสาวจะไม่ได้ร้องโฮ แต่รอยชื้นในดวงตาก็บ่งบอกว่าอีกฝ่ายเพิ่งร้องไห้อยู่
“ออกไป!” อรองค์เริ่มโมโหกับน้ำเสียงเยาะหยัน ตอนนี้ดวงตาของอีกฝ่ายก็มองกวาดทั่วร่างเธอ
“อุตส่าห์แต่งตัวน่ารัก ไม่เป็นลิงทโมนเหมือนอยู่ไร่ แต่คุณวิณก็ไม่เหลียวแลเด็กกะโปโลอย่างเธอหรอกย่ะ ยัยเด็กเพ้อเจ้อ ขำจัง ได้ข่าวว่าเที่ยวประกาศว่าจะแต่งงานกับคุณวิณตั้งแต่ฟันแท้ยังขึ้นไม่ครบปาก ฮ่าๆ เธอนี่ก็เป็นเด็กตลกเนอะ น่าเอ็นดู”
ท้ายประโยคไม่ได้หมายความตามนั้น แววตาชัดเจนว่าเวทนามากกว่าเอ็นดู
“หยุดพล่าม แล้วออกไปจากห้องฉัน!” อรองค์ที่เสียใจเป็นทุนเดิมที่รู้ว่าภูวิณไม่ได้ตั้งใจมาเยี่ยมเธอ แต่เขาเข้ามากรุงเทพฯ เพราะต้องการพามะลิมาเที่ยวมาชอปปิ้งเท่านั้น เธอก็ยิ่งทนไม่ได้กับคำเยาะเย้ยถากถางของอีกฝ่าย
“ไม่ออกจ้า ที่นี่ฉันมีสิทธิ์จะอยู่ตรงไหนก็ได้ มันเป็นบ้านของคุณวิณเช่นกัน และอีกไม่นานฉันจะแต่งงานกับเขา และจะเป็นอาสะใภ้ของเธอ หรือเอ อาจไม่ได้เป็นนะ เพราะฉันจะให้คุณวิณเฉดหัวเธอออกจากทะเบียนบ้าน”
“ไม่มีทางคนอย่างเธอ ไม่มีวันได้แต่งงานกับอาวิณ!”
“ก็ดูกันต่อไปสิ แต่อย่าหวังนะยัยเด็กกะโลโป ผอมแห้งกรังอย่างเธอไม่มีวันได้เป็นเจ้าสาวของคุณภูเช่นกัน!”
“เธอก็ไม่มีวันได้เป็นยัยบวมฉ่ำ!”
กรี๊ดดดดดดดด
“นี่แกว่าฉันบวมเหรอ! ฉันไม่ได้บวมนะ ฉันแค่อวบอิ่ม ฉันไม่ได้บวม ฉันตัวเล็กนิดเดียว!”
“ฉันก็ไม่ได้ผอมแห้งกรังเหมือนกันยะ ฉันแค่เฟิร์ม เพราะชอบออกกำลังกาย และฉันสวยด้วยย่ะ!”
ทั้งสองแว้ดใส่กันอย่างไม่มีใครยอมใคร จนเสียงดังลั่นออกไปนอกห้อง ทำให้คนที่เพิ่งเดินมาจะเข้าห้องตัวเองได้ยิน ต้องเดินมายังห้องเกิดเหตุ โดยที่ไม่ได้เคาะประตู จึงเห็นสองสาวต่างวัยและต่างไซซ์กำลังจ้องหน้า เหมือนเตรียมจะวางมวย
“เกิดอะไรขึ้น!” เสียงห้าวดุดังขึ้น ทำให้สองสาวต่างวัยหันขวับไปมอง
:::::::::::::::