ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูนั่นเองที่ทำให้คนที่นอนอยู่บนเตียง ขยับตัวอย่างเกียจคร้าน
“เอิง ตื่นหรือยัง นี่ใกล้เที่ยงแล้วนะ ลงไปกินข้าวกันเถอะ” เสียงของอารียาดังอยู่หน้าห้องนอน
“เออ ตื่นแล้ว ขอเข้าห้องน้ำก่อน แล้วจะลงไป” เธอตะโกนตอบ แล้วเดินเอื่อยๆ เข้าห้องน้ำ
ใช้เวลาจัดการธุระส่วนตัวอยู่เพียงสิบห้านาทีเท่านั้นอรองค์ก็ออกจากห้อง ลงไปชั้นล่างเจอสาวชื่อวิไลกำลังเก็บกวาดห้องโถงอยู่พอดี
“คุณอินกับคุณอิ้งอยู่ในห้องกินข้าวค่ะ”
“ค่ะ” อรองค์รับคำ แล้วเดินตรงไปยังห้องกินข้าว ซึ่งอยู่ในโซนใกล้ครัว
“อ้าว มาๆ กินข้าวกัน”
เมื่อโผล่หน้าเข้าไปอินทุอรก็กวักมือให้มานั่งข้างๆ
“ขอโทษด้วยค่ะ เอิงตื่นสายมาก”
“ไม่ต้องขอโทษหรอก ป้าเข้าใจ แปลกที่แปลกทาง คงนอนไม่หลับสิท่า”
“ค่ะ กว่าจะหลับก็...อือ เกือบเช้า”
“ไม่เป็นไรหรอก นานๆ ไปเดี๋ยวก็ชินไปเอง แต่เราต้องเข้มแข็งนะ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง”
“ค่ะ เอิงจะเข้มแข็ง และปรับตัวให้ได้ค่ะ”
“งั้นก็กินเถอะ จะได้ไปช้อปกัน” อารียาพูดแล้ว ตักอาหารใส่จานตัวเอง
“ช้อปที่ไหน”
“แม่จะพาเราสองคนไปเดินห้าง เธอน่ะต้องซื้อเสื้อผ้าเพิ่ม และเปลี่ยนแนวการแต่งตัวดีไหม”
เพราะอรองค์ชอบแต่งตัวสบายๆ ใส่กางเกงขาสั้นและเสื้อยืดตัวใหญ่เหมือนเด็กผู้ชาย แถมไว้ผมสั้นเคลียหู ยิ่งเหมือนเข้าไปใหญ่
โอ๊ย แล้วยังฝันจะเป็นเจ้าสาวของอาวิณอีก
ทอมบอยขนาดนี้
“ก็ฉันชอบแต่งแบบนี้” อรองค์บอก
“แกจะมาแต่งตัวเหมือนพร้อมจะไปปลูกผัก หรือปีนต้นไม้ วิ่งเล่นทโมนเหมือนอยู่ที่ไร่ไม่ได้นะ มาอยู่ในเมืองใหญ่ก็ต้องตามแฟชั่นบ้าง”
“ยัยอิ้งยุ่งเรื่องแต่งตัวของเอิงทำไม” อินทุอรดุลูกสาว เพราะของแบบนี้มันสไตล์ใครสไตล์มัน
“ก็อยากให้ทันสมัยไงคะแม่ ที่สำคัญเสียดายหน้าสวยๆ ถ้าไว้ผมยาวหน้าจะสวยหวานมากเลยนะ”
“อือ น่าสน เปลี่ยนแปลงตัวเองบ้างก็ดีนะ แต่ฉันไม่ชอบใส่กระโปรงเหมือนแกนะ” ถ้าเธอน่ารักขึ้น เผื่ออาวิณจะรักเธอบ้าง
“กางเกงทันสมัย น่ารักๆ มีตั้งเยอะแยะ เสื้อยืดโอเวอร์ไซซ์ลายน่ารักๆ ก็มีถมเถ ถ้าแกไม่อยากเปลี่ยนสไตล์ แต่หาแนวใกล้เคียงสไตล์เดิมก็ได้”
“อือ ก็ดี แต่ทรงผม คงอีกนานกว่าจะยาว”
“ไม่เป็นไร แค่เก็บให้เข้าทรงกว่านี้ก็น่ารักแล้ว”
เมื่อกินข้าวอิ่มแล้ว อินทุอรจึงพาทั้งสองไปยังห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก
นอกจากต้องปรับตัวกับบ้านหลังใหม่แล้ว ซึ่งโชคดีที่เธอรู้จักมักคุ้นกับคุณป้าอินทุอรกับอารียามานานแล้ว มันจึงไม่มีปัญหา ถ้าจะมีก็คือเธอยังคิดถึงไร่ภูวิณและผู้คนที่นั่น โดยเฉพาะเจ้าของไร่ แต่ตอนนี้เขากำลังคลั่งรักอยู่กับมะลิ ยังไม่กลับจากไปเที่ยว ตามรายงานของคำแพง พี่เลี้ยงสาวคนสนิทที่อรองค์พูดคุยติดต่อไม่ได้ขาด ส่วนวสุนั้นเธอจะพูดคุยเรื่องเพื่อนๆ มากกว่า
คำแพงยังบอกอีกว่ามะลินั้นเป็นญาติห่างๆ ของกำนันประโยชน์ ซึ่งเธอเคยได้ยินภูวิณคุยกับคุณย่าพิสมัยว่า สงสัยกำนันประโยชน์อยู่เบื้องหลังการตายของพ่อเขากับพ่อของเธอ
แล้วทำไมอาวิณไปยุ่งกับเครือญาติของกำนันประโยชน์
อรองค์ไม่เข้าใจภูวิณจริงๆ
หรือความรักเข้าตา จนมองข้ามเรื่องที่มะลิเป็นญาติของกำนันประโยชน์!
สำหรับเธอ การตายของบุคคลทั้งสองสำคัญกับชีวิตมาก ตั้งใจไว้แล้วว่าหากมีโอกาสแก้แค้น เธอจะไม่ลังเล แม้คำสอนของคุณย่าจะบอกเสมอว่า ‘เวรระงับด้วยการไม่จองเวร’ แต่เธอก็ปัดความคิดแก้แค้นออกจากหัวไม่ได้
การปรับตัวในโรงเรียนแห่งใหม่ มันก็ไม่ง่ายสำหรับอรองค์ เพราะเพื่อนใหม่ก็ไม่ได้น่ารักทุกคน แต่ยังโชคดีที่ได้เรียนห้องเดียวกับอารียา ไม่หัวเดียวกระเทียมลีบให้เพื่อนใหม่กลั่นแกล้งเพียงลำพัง
ซึ่งหัวโจกนั้นก็คือนิรชา หรือยัยน้อยหน่าตัวแสบ มีลูกน้องไว้รองมือรองเท้าอยู่สองคน คือเหมียวกับกวาง
อรองค์โดนรับน้องจากน้อยหน่า ด้วยการถูกอีกฝ่ายแกล้งเลื่อนเก้าอี้ออก ขณะที่เธอกำลังจะนั่ง จึงก้นกระแทกพื้นให้เจ็บก้นกบพอสมควร ท่ามกล่างเสียงหัวเราะของเดอะแก๊ง ขณะเดียวกันเพื่อนใหม่อีกหลายคนก็มองเห็นอย่างเห็นใจ และตำหนิน้อยหน่า
“น้อยหน่า อย่าแกล้งเพื่อนสิ” มิ้นท์ หรือมัทนา หัวหน้าห้องที่ดูแก่เรียน และเคร่งครัดวินัยหันไปตำหนิน้อยหน่า
“ต้อนรับเด็กใหม่บ้างสิ และนี่เอาไป ของขวัญ” น้อยหน่าโยนงูเขียวลงบนตักของอรองค์ ผู้หญิงในห้อง รวมทั้งอารียาร้องกรี๊ดลั่น แล้วพากันไปเกาะกลุ่มมุมห้อง
ขณะคนที่ถูกแกล้งกลับหยิบงูจากตักขึ้นมาดู ก็ถึงรู้ว่ามันเป็นงูเขียวปลอม
“แน่จริงก็เอางูจริงมาเลยสิ” อรองค์ว่า แล้วโยนงูปลอมให้เจ้าของ พร้อมยิ้มหยันมุมปาก
เพื่อนๆ เลยโล่งใจ แล้วเดินมารุมตัวอรองค์ ถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“รู้ตั้งแต่แรกเหรอว่าเป็นงูปลอม”
“อือ”
“ถ้าเป็นงูจริง จะกลัวไหม”
“ก็ต้องรอให้คนจับงูจริงโยนใส่ก่อน ถึงจะรู้ว่ากลัวหรือเปล่า” เธอเคยจับงูจริง ที่ไม่มีพิษโยนใส่ผู้หญิงคนหนึ่งของภูวิณ อีกฝ่ายตกใจจนเป็นลม และเธอก็ถูกภูวิณกักบริเวณให้อยู่แต่ในเรือนหลังเล็กหนึ่งสัปดาห์
“จริงสิ แต่คงไม่มีใครกล้าจับงูจริงมาแกล้งคนอื่นหรอกมั้ง ฮ่าๆ”
ทุกคนพากันหัวเราะขบขัน ทำให้น้อยหน่ามองอย่างไม่พอใจ เพราะดูเหมือนเพื่อนๆ ในห้องจะชอบเด็กใหม่คนนี้มาก รวมทั้งไม้ หรือมัชกร เพื่อนร่วมห้องที่เธอชอบตั้งแต่มัธยมต้น อีกฝ่ายมอง
อรองค์อย่างสนใจ ปกติมัชกรแทบจะไม่เคยมองใครอย่างสนใจแบบนี้
วันๆ เอาแต่ก้มหน้าอ่านหนังสือมากกว่าพูดคุยกับใครด้วยซ้ำ และนั่นทำให้น้อยหน่ายิ่งไม่ชอบเด็กใหม่
คอยดูนะจะแกล้งให้จนต้องลาออกจากโรงเรียนไปเลย!
ขณะที่เดินไปยังโรงอาหารพร้อมกับอารียาและเพื่อนใหม่อีกสองคน จู่ๆ มีแบงก์ยี่สิบหล่นมาจากกางเกงของคนที่เดินอยู่ข้างหน้า อรองค์รีบก้มลงเก็บ เพราะมันอยู่ตรงหน้าเธอพอดี
“เฮ้ย นาย นี่เงินนายหล่นจากกระเป๋ากางเกง” อรองค์วิ่งไปข้างๆ แล้วยื่นแบงก์ให้เด็กหนุ่มที่เธอจำได้ว่าเรียนอยู่ห้องเดียวกัน แต่อีกฝ่ายนั่งก้มหน้าอ่านหนังสือเรียนเงียบๆ ไม่ทักทายเธอเหมือนคนอื่น
“ขอบใจนะ” เขาพูดสีหน้าเรียบนิ่ง หลังจากหยิบแบงก์ยี่สิบจากมือเธอ แล้วเดินต่อไปข้างหน้า
“เขาชื่อไร” อรองค์ถามเพื่อนๆ
“ชื่อไม้ อย่าไปยุ่งกับเขาล่ะ” อารียาบอก
“ทำไม”
“มีคนจองเขาแล้ว”
“ใครเหรอ”
“ยัยน้อยหน่าไง”
“เขาเป็นแฟนกันเหรอ”
“เปล่า ยัยน้อยหน่าชอบไม้อยู่ฝ่ายเดียว ผู้หญิงคนไหนเข้าใกล้ไม้โดนเล่นงานตลอด”
พอได้ยินแบบนั้นอรองค์ก็นิ่งงันไปทันที ตอนแรกจะขำยัยน้อยหน่า แต่พอคิดถึงเรื่องตัวเองแล้วก็ขำไม่ออก เพราะเหมือนจะหัวอกเดียวกัน
เพราะเธอเองก็ชอบแกล้งบรรดาผู้หญิงของภูวิณเช่นกัน
“ยัยน้อยหน่านิสัยไม่ดี แกก็ระวังตัวหน่อยนะ ท่าทางมันจะไม่ชอบแกมากๆ เลย” อารียาเตือน เมื่อทั้งสองอยู่บนรถ โดยมีคนขับรถประจำบ้านชื่อลุงชมเป็นคนรับส่งทั้งสอง
ส่วนอินทุอรนั้นดูแลร้านกาแฟ ซึ่งร้านอยู่ปากซอยบ้านนั่นเอง ลุงชมจึงพาทั้งสองส่งที่ร้าน เพื่อกินของว่าง จากนั้นก็นั่งทำการบ้านกันจนเสร็จ แล้วอินทุอรก็พาอรองค์ไปร้านค้าเกษตร เพื่อเลือกซื้อดิน และเมล็ดพันธุ์สำหรับปลูก รวมทั้งอุปกรณ์สำหรับปลูกต้นไม้
หลังจากนั้นเวลากลับจากโรงเรียน เมื่อทำการบ้านเสร็จแล้ว อรองค์จะขลุกอยู่กับการทำสวน บางวันอารียาก็มาช่วยบ้าง
มันช่วยให้อรองค์คลายความคิดถึงไร่ภูวิณ แต่ความคิดถึงเจ้าของไร่ก็ยังมีอยู่
นอกจากปลูกผักแล้ว อรองค์ยังซื้อต้นกล้าผลไม้ที่สามารถปลูกภายในบริเวณบ้านได้ เช่นมะม่วง ฝรั่ง ชมพู ลำไย มะละกอ ต้นกล้วย
วันเวลาผ่านไปเชื่องช้ามากในความรู้สึกของอรองค์ เพราะตอนนี้เธอมาอยู่ที่กรุงเทพฯ ได้หนึ่งเดือนแล้ว
วันนี้อารียาก็ไม่มาเรียน เพราะปวดท้องประจำเดือน มีไข้ด้วย อรองค์จึงมาโรงเรียนเพียงลำพัง แต่ไม่เหงาเพราะมีเพื่อนใหม่ที่น่ารักพูดคุย อย่างมิ้นท์ มัทนา หัวหน้าห้องที่มีนิสัยเป็นผู้ใหญ่ และเคร่งระเบียบวินัยมากๆ กับมะเหมี่ยว เพื่อนสนิทของมัทนาที่นิสัยตรงข้ามกับมิ้นท์ทุกอย่าง แต่ทั้งสองคบกันมานาน
กินมื้อเที่ยงอิ่มเธอกับเพื่อนๆ ก็เข้าห้องน้ำ ก่อนจะเข้าเรียนคาบแรกช่วงบ่าย แต่พอออกจากห้องส้วม อรองค์ก็รู้สึกงง เมื่อเห็นแค่มัทนากับมะเหมี่ยวและกลุ่มของน้อยหน่า คนอื่นๆ หายไปไหนหมด ตอนเข้ามาก็คนเต็มห้องไปหมดเลย
“มีอะไรกัน” อรองค์ถามขึ้น หันไปทางมิ้นกับมะเหมี่ยว
“ก็ไม่มีอะไร แค่อยากสั่งสอนคน” น้อยหน่าพูดแล้วพยักหน้าไปยังลูกน้อง
กระแตกับหนุงหนิงจึงเข้ามาจับตัวอรองค์ไว้ แต่มัทนากับมะเหมี่ยวเข้ามาดึงกระแตกับหนุงหนิงเพื่อให้ปล่อยอรองค์
“อย่าเสือกได้ไหมมิ้นท์ เหมี่ยว ถอยไปถ้าไม่อยากเจ็บตัว!”
“เธอจะบ้าเหรอ ทำแบบนี้ได้ยังไง ฉันจะฟ้องครู”
“ก็เคยฟ้องตั้งหลายครั้ง แล้วไง ได้อะไรบ้างล่ะ ฮ่าๆ”
มัทนาชะงัก แต่ยังดึงดันให้กระแตกับหนุงหนิงปล่อยมือจากอรองค์
“ทำไมเหรอ เธอเป็นเจ้าของโรงเรียนนี้หรือไง”
“ไม่ใช่ก็เหมือนใช่เว้ย เพราะพ่อแม่กูบริจาคให้โรงเรียนนี้มากที่สุดกว่าผู้ปกครองคนอื่นๆ”
“อ๋อ เลยใช้อภิสิทธิ์ในการรังแกคนอื่นเหรอ กระจอก” อรองค์พูดแล้วเบ้ปาก
“อีนี่ปากดีนัก ต้องสั่งสอนเสียแล้ว” น้อยหน่าปรี่เข้ามาจะตบ แต่อรองค์หลบได้ มืออีกฝ่ายเลยโดนหน้ากระแตเต็มๆ
จากนั้นอรองค์ก็สลัดจากการเกาะกุมของกระแตกับหนุงหนิง
เธอตั้งการ์ดขึ้น เตรียมชก พร้อมท้าทาย
“ถ้าไม่อยากปากแตกก็เข้ามาเลย!”
“เอิง จะไหวเหรอ” มัทนาถามอย่างห่วงใย สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก
“ไหวสิ มาเล้ย อย่าคิดว่าจะตบตีกันได้ง่ายๆ ไม่รู้เหรอฉันเป็นใคร ฉันอรองค์ ศิษย์ลุงทิน แห่งไร่ภูวิณเว้ย!”
“มึงจะแค่ไหนเชียว!” น้อยหน่าถลาเข้าไปอย่างมั่นใจ เพราะที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีใครเก่งในเรื่องตบตีมากกว่าตนเอง
ทว่าพอเข้าใกล้อรองค์ไม่กี่วินาทีเท่านั้น
“อ๊าก!” น้อยหน่าเจอหมัดฮุกเข้าที่ปลายคาง ล้มตึงลงกับพื้นทันที