9 : 40 pm
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นติด ๆ กันสามครั้ง ทำให้คนที่กำลังนั่งทำรายงานอยู่หน้าจอแล็บท็อปรีบหันไปมองที่ประตูห้องพักตัวเองด้วยความหวาดระแวงทันที เพราะเวลาที่ค่อนข้างดึกดื่นและด้วยความที่ไม่เคยมีใครมาเคาะห้องเธอมาก่อน ทำให้เริ่มคิดไปต่าง ๆ นา ๆ เพราะเธอก็เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่พักอาศัยอยู่ตามลำพัง เพิ่งจะมีลูกแมวเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนคลายเหงาได้ไม่กี่วัน
เหมียว~
"ชู่ววว~ ชีสเบา ๆ สิ ห้ามส่งเสียงร้องนะ เดี๋ยวคนอื่นรู้เราจะซวยทั้งคู่" นิ้วชี้ยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองประกอบท่าทาง เมื่อลูกแมวน้อยที่นอนอยู่บนตักเธอ ที่เธอตั้งชื่อให้ว่า ชีส ส่งเสียงร้องเบา ๆ ที่ได้ยินเสียงเคาะประตู
หอพักของเธอนั้นมีกฎว่าห้ามเลี้ยงสัตว์เลี้ยงทุกประเภท และใช่ …เธอกำลังฝืนกฎของหอพักโดยการแอบเลี้ยงลูกแมวน้อยที่ถูกทอดทิ้งตัวนี้อยู่ แถมยังน่ารักมากด้วย
มือเล็กอุ้มลูกแมววางลงบนพรมนุ่มใต้โต๊ะ ก่อนจะลุกจากเก้าอี้เดินไปส่องตาแมวที่ประตูห้อง เพื่อดูว่าคนที่มาเคาะประตูห้องเธอในเวลานี้นั้นเป็นใคร ใจดวงน้อยก็เต้นรัวด้วยความหวาดระแวงไม่น้อย กลัวว่าจะเป็นผู้ไม่ประสงค์ดี ยิ่งข่าวคราวเกี่ยวกับการล่วงละเมิด การฆ่าข่มขืนยิ่งมีให้เห็นอยู่แทบทุกวัน เธอที่เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่พักอยู่คนเดียว แล้วถ้าเกิดเจอเหตุการณ์แบบนั้นกับตัวเองจะทำยังไง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้งตรงกับจังหวะที่เอพริลยื่นหน้าเข้าไปใกล้ประตู เพื่อใช้สายตามองรอดผ่านช่องตาแมวเล็ก ๆ ที่บานประตูห้อง เมื่อเห็นว่าคนที่มาเคาะประตูห้องเธอคือป้าเจ้าของหอพัก ก็ทำเอาเธอถอนหายใจอย่างโล่งอก
แกร๊ก~
"ป้ามีอะไรหรือเปล่าคะ มาเคาะห้องหนูซะดึกเลย" เสียงใสเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มบางทันทีที่เปิดประตูห้องออกมา
"ห้องข้าง ๆ แจ้งฉันมาว่าห้องเธอแอบเลี้ยงสัตว์ เขาบอกว่าเขาได้ยินเสียงแมวจากห้องเธอ" เจ้าของหอพักร่างท้วมบอกหน้านิ่งแกมตำหนิพลางพยายามเพ่งสายตาสอดส่องเข้าไปภายในห้องของเอพริลอย่างเสียมารยาท
"หื๊ม? หนูเปล่านะคะ เขาคงได้ยินเสียงแมวจากในซีรี่ย์ที่ดูเปิดดูมั้งคะ" ร่างบางชะงักไปเล็กน้อยที่ได้ยินแบบนั้น ก่อนจะรีบทำหน้าตาใสซื่อแล้วปฏิเสธกลับไปหวังใช้ความใสซื่อหรือที่คนอื่นชอบเรียกเธอว่าซื่อบื้อ กลบเกลื่อนใจดวงน้อยที่เต้นแรงจากคำโกหกคำโตที่ออกจากปากเธอ
"ถ้าฉันรู้ว่าเธอแอบเลี้ยงสัตว์ในหอพักฉัน ฉันจะไล่เธอออกไปพักที่อื่นทันที" เมื่อเสียมารยาทสอดส่องสายตาดูในห้องแล้วไม่มีอะไรผิดปกติ จึงหันมาพูดกับเอพริลเสียงแข็งอย่างเอาเรื่องแล้วเดินออกไปทันที
ฟู่ววว~
ลมหายใจพรืดยาวพ่นออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะรีบปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา ไม่รู้ว่าเธอจะแอบเลี้ยงแมวน้อยตัวนี้ได้นานแค่ไหน เกิดถูกจับได้แล้วไล่ออกจากหอพักขึ้นมาคงแย่
"ถ้าเราถูกจับได้ขึ้นมาเราต้องไปหาที่อยู่ใหม่ยากแน่ ๆ เลยชีส เพราะฉะนั้นชีสต้องเป็นเด็กดีนะ ห้ามดื้อห้ามซน และห้ามทำให้ถูกจับได้"
เหมียว~
ราวกับฟังภาษามนุษย์ที่ใช้สื่อสารด้วยรู้เรื่อง เพียงแค่เจ้าของแสนจิตใจดีพูดจบ เจ้าแมวน้อยขนนุ่มก็ร้องขานรับทันทีพร้อมกับเดินเข้ามาเอียงคอซบลงบนตักของเอพริลที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นห้อง ด้วยท่าทางออดอ้อนออเซาะตามนิสัยขี้อ้อนของแมว
วันต่อมา…
@มหาวิทยาลัย
ร่างสูงสง่าราวกับนายแบบก้าวลงจากรถยนต์คันหรูด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ดึงสายตาของเหล่านักศึกษาในคณะให้หันไปมองอย่างให้ความสนใจ เมื่อเห็นเคลย์ตันมาเรียนในรอบหลายวัน แถมยังมาแบบแปลกตากว่าทุกวันที่เหล่านักศึกษาในคณะวิศวะ หรือแม้กระทั่งในมหาวิทยาลัยได้พบเห็น เพราะปกติแล้วเขามักจะชอบขับรถบิ๊กไบค์คันโปรดมาเรียน แต่วันนี้เขากลับนั่งรถยนต์มาอย่างกับคุณชาย แถมที่แขนข้างขวานั้นยังถูกเข้าเฝือกไว้อีก
"ไปไหนหมด" ร่างสูงของเคลย์ตันทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้ว่างฝั่งตรงข้ามกับ เฌอวา เพื่อนสนิทสาวสวยอีกคนในกลุ่ม ที่เป็นถึงอดีตดาวมหาวิทยาลัยและขวัญใจชาววิศวะ
"เทมส์ไปซื้อกาแฟ ส่วนการันต์ยังไม่เห็น …หายแล้วเหรอถึงโผล่หัวมาเรียนได้" เฌอวาเงยหน้าขึ้นตอบพลางจ้องมองที่แขนข้างที่ใส่เฝือกของเคลย์ตัน แล้วเอ่ยถามกลับเมื่อเห็นเพื่อนมาเรียนครั้งแรกในรอบเกือบสัปดาห์ ทั้งที่ก็ออกจากโรงพยาบาลตั้งแต่สองวันแรกที่ผ่าตัดเสร็จ
"ก็ยังไม่ตาย" เคลย์ตันตอบกลับนิ่ง ๆ อย่างไม่ใส่ใจ
"ปากแบบนี้น่าจะคอหักตายไปเลยน่าจะดีกว่า"
"ขอบคุณ"
"ไอ้บ้านี่! แช่งให้ตายยังจะมาขอบคุณอีก" เฌอวาถึงกับบ่นอุบพลางกลอกตาไปมาให้กับคำพูดและท่าทางนิ่ง ๆ ของเคลย์ตัน
"เด็กคนนั้นเป็นใคร" นานหลายนาทีที่บทสนทนาเงียบไป ก่อนที่เคลย์ตันจะเอ่ยถามออกมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
"เด็กคนไหน?" คำถามที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้เฌอวาต้องขมวดคิ้วถามกลับอย่างสงสัย
"ที่สนามแข่งวันนั้น"
"ใคร… อ่อ! รุ่นน้องที่คณะของไอเดียร์ชื่อเอพริล เป็นเพื่อนกับยี่หวา" กำลังจะถามเอาข้อมูลส่วนลึกให้ช่วยขยายความมากกว่านี้ แต่ก็นึกขึ้นได้พอดีเลยตอบคำถามเพื่อนไปอย่างที่รู้มาคร่าว ๆ
เธอเองก็รู้จักกับยี่หวาอยู่พอสมควร เพราะไปเที่ยวผับและเจอกันโดนบังเอิญ พูดคุยกันถูกคอจนทำให้สนิทกันในระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้รู้จักกับเอพริลเป็นการส่วนตัวมาก่อน เพิ่งมารู้ก็หลังจากวันนั้นที่สนามแข่งรถ
"ถามทำไม สนใจน้องเหรอ?"
"น่ารำคาญ"
"เอ้า! ไปว่าน้องทำไม น้องออกจะน่ารัก ตาโตเหมือนตุ๊กตาเลย แถมน้องยังเป็นคนช่วยปฐมพยาบาลให้นายนะ วันนั้นฉันไม่ได้ยินนายขอบคุณน้องเขาสักคำเลย ควรทำนะ …มันเป็นมารยาทที่ดีและควรมี" เฌอวาไม่วายพูดเหน็บแนมเพื่อน เพราะวันนั้นเคลย์ตันไม่ได้เอ่ยปากขอบคุณคนที่ช่วยปฐมพยาบาลให้จริง ๆ
เคลย์ตันถึงกับถอนหายใจแรง ๆ อย่างเบื่อหน่าย คนอย่างเขาไม่เคยเอ่ยคำนี้กับใคร เพราะเขาไม่ได้ขอร้องให้ใครมาช่วยด้วยซ้ำ ต่อให้วันนั้นไม่มีเธอมาช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ เขาก็คงจะไม่เป็นอะไรมากไปกว่านั้นแล้ว และรู้ว่าควรปฏิบัติตัวเองยังไงเมื่อรู้ว่าตัวเองแขนหัก เขาไม่ใช่เด็กที่จะไม่รู้เรื่องรู้ราว
ฟุบ!
"นึกว่าตายอยู่ในห้องแล้ว"
"…" สายตาคมของเคลย์ตันปรายตามองเพื่อนสนิทอย่างเทมส์ ที่เป็นเจ้าของคำพูดเมื่อกี้นี้ ที่เพิ่งจะเดินเข้ามานั่งลงที่ว่างข้าง ๆ กับเขา
"หายแล้วก็อย่าลืมไปขอบคุณน้องคนนั้นด้วยล่ะ …มารยาทที่ควรมี" เทมส์เอ่ยขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเคลย์ตันไม่ได้พูดอะไร แถมประโยคปิดท้ายยังเป็นคำพูดเดียวกับที่เฌอวาพูดก่อนหน้านี้ราวกับนัดกันไว้ล่วงหน้า
"ผีมารยาทที่ไหนเข้าสิงพวกมึง" เคลย์ตันถึงกับถอนหายใจออกมาอีกครั้งด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายที่เพื่อนเอาแต่บอกให้เขาไปขอบคุณเด็กน่ารำคาญคนนั้น
ที่พอเจอเธอทีไรมักจะทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดกับแววตาใสซื่อที่ดูซื่อบื้อไม่ทันคนของเธอทุกที เพราะสิ่งที่เขาเกลียดที่สุดคือความอ่อนแอ และมันก็มีอยู่ในแววตาคู่นั้นของเธอ