หลังจากที่หญิงสาวเที่ยวเดินดูงานในไร่ในส่วนที่เธอต้องการแล้ว สมชายก็ขับรถกลับมาส่งเธอที่หน้าบ้านพักเพื่อกลับไปหาคุณวาดที่รออยู่ที่นั่น น้ำหนึ่งเลือกที่จะไม่เดินเข้าไปข้างในเพราะเห็นว่ามีรถจอดอยู่หลายคัน คงมีลูกค้ามาติดต่อกับทางไร่เป็นแน่ เพราะคุณสมชายบอกว่าโซนหนึ่งของบ้านหลังนั้นใช้เป็นออฟฟิศด้วยเหมือนกัน น้ำหนึ่งจึงเลือกที่จะเดินไปที่สวนหย่อมที่มีศาลาหลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางแทน
น้ำหนึ่งยืนสูดหายใจลึกเพื่อเรียกความสดชื่นของธรรมชาติให้เข้าไปในปอดให้มากที่สุด หญิงสาวรู้สึกผ่อนคลายลงอย่างมาก ก่อนจะเดินทอดน่องเดินดูดอกไม้นานาพรรณด้วยความเพลิดเพลิน โดยไม่รู้เลยว่าตรงบริเวณที่ตัวเองยืนอยู่นั้นมันตรงกับหน้าต่างห้องทำงานของติณเข้าให้พอดิบพอดี
ร่างเล็กนั่งยองๆ เพื่อก้มลงดูดอกไม้ใกล้ๆ รอยยิ้มหวานระบายขึ้นบนใบหน้าเมื่อเห็นสิ่งสวยงาม
“สวัสดีครับ”เสียงห้าวของผู้ชายดังขึ้นในระยะใกล้
และนั่นทำให้น้ำหนึ่งจากที่นั่งยองๆ อยู่รีบลุกขึ้นยืนโดยอัตโนมัติ พร้อมกับมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความสงสัยแล้วก้าวถอยหลังเพื่อจะเดินเลี่ยงออกไปอีกทาง
“เดี๋ยวครับเดี๋ยว อย่าเพิ่งไป ผมขอถามอะไรหน่อย”
น้ำหนึ่งได้ยินเช่นนั้นก็หยุดเดิน ก่อนจะหันกลับมาอีกครั้ง ผู้ชายคนนี้อาจต้องการความช่วยเหลือ ถ้าหากเขาไปที่ไร่ของเธอ เธอก็คงต้องช่วยเขาเหมือนกัน น้ำหนึ่งเอียงหน้ามองอีกฝ่ายแล้วถามกลับไป
“คุณมีอะไรจะให้ฉันช่วยหรือเปล่าคะ แต่ฉันอาจจะช่วยคุณไม่ได้มากนักหรอกนะคะเพราะฉันไม่ใช่คนที่นี่”
“อ้อ ไม่มีอะไรมากหรอกครับ พอดีผมกับแฟนมาคุยงานที่นี่ ในส่วนของผมคุยเสร็จแล้วเหลือแต่แฟนที่ยังคุยเรื่องเอกสารอีกนิดหน่อย ผมก็เลยออกมาเดินเล่นรออยู่ตรงข้างนอกนี้ก่อน” ชายหนุ่มพูดบอกใบหน้ายิ้มแย้ม
“อ้อ ค่ะ” น้ำหนึ่งตอบรับพยักหน้านิดๆ
“คุณไม่ต้องกลัวผมหรอกนะครับ ผมกำลังจะแต่งงาน ยังไงก็ไม่มีทางสนใจใครได้อีกแล้ว ที่สำคัญผมรักแฟนผมครับ ผมชื่อนุครับ”
ชายหนุ่มพูดบอกชื่อของตัวเอง และบรรยายสถานะของตัวเองเสร็จสรรพเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจให้หญิงสาว
“ค่ะ”น้ำหนึ่งตอบสั้น และหัวเราะเบาๆ ให้กับคำอธิบายของอีกฝ่าย เขาเองเมื่อเห็นหญิงสาวหัวเราะออกมาก็ยิ้มเขินออกมาเหมือนกัน
“ผมยังไม่ได้เข้าชมรมคนกลัวเมียนะครับ แต่คิดว่าหลังจากแต่งงานแล้วก็คงจะเข้าร่วมด้วยอย่างแน่นอน”
“ไม่หรอกค่ะ คุณไม่ได้กลัวหรอก คุณแค่ให้เกียรติและรักเธอมากต่างหาก” น้ำหนึ่งยิ้มตอบให้อีกฝ่าย
ทั้งคู่ยืนคุยกันหัวเราะร่วนเหมือนกับคนที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี และภาพนั้นก็ทำให้ติณที่กำลังยืนมองมาจากห้องทำงานถึงกับกัดกรามแน่นเสียงดังกรอดด้วยความโกรธ ดวงตาคมจ้องเขม็งมองคนทั้งคู่ด้วยความไม่พอใจ ยิ่งเห็นน้ำหนึ่งพูดคุยกับอีกฝ่ายด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มก็ยิ่งไม่สบอารมณ์
“ทีกับฉันละไม่อยากจะเห็นหน้าไม่อยากจะพูดด้วย ทีกับผู้ชายคนอื่นละระริกระรี้เป็นปลากระดี่ได้น้ำ เธอนี่มันเป็นผู้หญิงยังไงกันแน่นะ เป่ามนต์สะกดอะไรเข้าให้ละผู้ชายถึงได้ยืนคุยไม่ยอมไปไหนสักที ยัยแม่มด!”
ติณสบถออกมาด้วยความไม่พอใจ กำปั้นหนากำแน่นแล้วทุบเข้าที่กำแพงด้วยความโกรธสองครั้งติดๆ กัน ร่างสูงใหญ่บอกกับตัวเองว่าเขาไม่สามารถทนมองภาพของคนทั้งคู่ได้อีกต่อไปแล้ว ก่อนจะก้าวยาวๆ เดินออกจากห้องทำงานไป และจุดหมายปลายทางก็คือสวนหย่อมที่คนทั้งคู่พูดคุยกันอยู่นั่นเอง
“เสร็จจากที่นี่คุณนุกับแฟนจะไปที่ไหนกันต่อคะ”
น้ำหนึ่งถามอีกฝ่ายขึ้น หากว่าเขาไม่มีธุระที่จะไปที่ไหนอีกเธอก็อยากจะแนะนำให้เขาพาแฟนไปเยี่ยมชมที่ไร่เพียงฟ้าอยู่เหมือนกัน
“ตัวผมน่ะไม่มีแล้วครับ แต่แฟนผมมีหรือเปล่าคงต้องรอถามเธอดูก่อน”
น้ำหนึ่งพยักหน้าอย่างเข้าใจ เอ่ยปากจะถามอีกฝ่ายต่อ แต่ก็มีเสียงห้วนแสนกระด้างดังก้องขึ้นมาเสียก่อน บรรยากาศที่แสนจะสดชื่นของน้ำหนึ่งกลับกลายเป็นความหดหู่และมืดมนขึ้นมาอีกครั้ง ร่างบางหันกลับไปมองยังต้นเสียงที่ดังขึ้นแทบจะทันที
“คุณติณ”
ติณยืนกอดอกหรี่ตามองใบหน้าซีดเผือดของน้ำหนึ่งเพียงนิด ก่อนจะมองเขม็งไปที่หน้าของชายหนุ่มอีกคน ซึ่งเขาได้ประเมินแล้วว่าน่าจะเป็นลูกค้าที่มาติดต่องานกับทางไร่อย่างแน่นอน หาไม่แล้วคงไม่มีทางที่จะได้เข้ามาเดินเล่นอยู่ในอาณาเขตของเขาได้อยู่แบบนี้
ร่างสูงใหญ่ของติณเดินก้าวเข้าไปหาน้ำหนึ่ง ชายหนุ่มกระชากแขนแล้วพูดถามออกมาทันที
“ใครใช้ให้เธอมาที่นี่...”
น้ำหนึ่งหน้าม่านขึ้นมาทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ
“เอ่อ...คือ...” หญิงสาวอึกอักพูดไม่ออก น้ำตารื้อขึ้นมาเสียเฉยๆ
“เดี๋ยวครับเดี๋ยว ผมว่าพูดกันดีๆ ดีกว่า”
เพื่อนใหม่ของน้ำหนึ่งพูดท้วงขึ้นมาเมื่อเห็นชายหนุ่มที่มาใหม่แสดงท่าทางไม่สุภาพออกมา และนั่นก็ทำให้ติณต้องหันกลับมามองจ้องหน้าเอาเรื่องชายหนุ่มแทน
“ผมไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับเมียผม แล้วนี่มันก็เรื่องของผัวเมีย...คนอื่นไม่เกี่ยว”
น้ำเสียงของติณนั้นกระด้างและห้วนจัด จนชายหนุ่มที่น้ำหนึ่งเพิ่งจะรู้จักถึงกับหน้าถอดสี เขาหันกลับมองมาที่หญิงสาวที่ยืนหน้าเจื่อนอย่างต้องการคำยืนยันว่าใช่ความจริงอย่างที่อีกฝ่ายพูดหรือเปล่า และเมื่อน้ำหนึ่งพยักหน้ายอมรับ เขาถึงกับถอนหายใจแรงออกมา
“ผมเองก็ไม่คิดจะเข้าไปยุ่งกับเรื่องของพวกคุณหรอกครับ เพียงแต่อยากจะให้คุณช่วยสุภาพกับเธอหน่อย ไม่ใช่หึงจนมากเกินไป”
ติณอึ้งไปนิดกับคำโต้ตอบของอีกฝ่าย หึงเหรอ...เขาไม่ได้หึงน้ำหนึ่งสักหน่อย
“ผมไม่ได้หึง แค่ไม่อยากให้ใครมามองเมียผมในทางลบก็แค่นั้น และคุณก็ไม่ควรจะมาคุยกับเมียผมสองต่อสองแบบนี้ด้วย หวังว่าคุณจะเข้าใจนะครับ”
มือใหญ่ของติณคว้าจับข้อมือของน้ำหนึ่งเอาไว้แน่น จนหญิงสาวหน้านิ่วด้วยความเจ็บอยากจะขัดขืนแต่ก็ไม่กล้า เพราะกลัวว่าเพื่อนใหม่ตรงหน้าจะเดือดร้อนหากเขายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเธอ
“อ้อแน่นอนครับ เรื่องนั้นผมเข้าใจดี เพราะผมเองก็รักและหึงแฟนของผมมากเหมือนกัน แต่ว่าคงน้อยกว่าคุณ ขอตัวก่อนนะครับ”
พูดจบร่างสูงก็เดินลิ่วเพื่อไปหาแฟนของเขาที่เพิ่งคุยธุระเสร็จและเดินออกมาหาเขาพอดี ก่อนจะพากันเดินไปขึ้นรถและขับออกไปจากไร่ในทันที
“คุณนุคะ เดี๋ยวก่อนค่ะ”
“ทำไม! เรียกหามันทำไมอีก รึว่าเธออยากไปกับมัน”
ติณพูดเสียงดัง พร้อมกับกระชากร่างบางให้เดินตามตนเองไปแต่โดยดี
“ปล่อยหนึ่งนะ นี่จะพาหนึ่งไปไหนน่ะ หนึ่งไม่ไป คุณวาดรอหนึ่งอยู่”
หญิงสาวร้องบอก แต่ก็ดูจะไม่เป็นผล ทั้งมือทั้งเท้าดึงรั้งถ่วงตัวเองไม่ให้เดินตามชายหนุ่มไปได้ง่ายๆ แต่แรงมดหรือจะสู้แรงยักษ์ ติณแค่ออกแรงดึงเพียงนิดร่างบางของน้ำหนึ่งก็แทบจะปลิวเข้าไปปะทะกับร่างสูงใหญ่ของอีกฝ่ายเข้าให้แล้ว
“น้าวาดเขากลับไปแล้วรู้ไว้ซะด้วย”
“ได้ไง ก็คุณวาดบอกว่าจะรอกลับพร้อมกับหนึ่งนี่”
น้ำหนึ่งถามกลับเสียงตื่น พยายามสะบัดมือให้หลุดออกจากการจับกุมของมือแกร่ง สายตาเหลือบมองพนักงานหลายคนที่อยู่ภายในห้องใหญ่ด้วยความอาย
“ได้ไม่ได้น้าวาดก็กลับไปแล้ว ส่วนเธอเห็นทีฉันคงจะต้องอบรมเรื่องการวางตัวให้ใหม่ซะแล้ว หยุดดิ้นได้แล้ว”
ติณตวาดออกมา พร้อมกับผลักร่างบางให้เข้าไปในห้องทำงานได้สำเร็จ หลังจากที่พยายามดิ้นหนีจากเขาแต่เธอก็ทำไม่ได้ แต่มีหรือที่คนอย่างน้ำหนึ่งจะยอมเขาง่ายๆ
หญิงสาวฉวยโอกาสตอนที่ชายหนุ่มเดินเลี่ยงไปอีกด้านด้วยความชะล่าใจคิดว่าเธอคงยอมอยู่นิ่งๆ ก่อนจะพุ่งตรงเข้าไปที่ประตูเพื่อเปิดมันออก แต่ก็ยังช้าไปกว่าติณอยู่ดีเพราะเขาหันกลับมาเห็นเข้าเสียก่อน ร่างสูงใหญ่จึงใช้ตัวเข้าขวางประตูแทน และนั่นทำให้ร่างบางของน้ำหนึ่งปะทะเข้ากับร่างสูงใหญ่กำยำของติณเข้าให้อย่างแรง เป็นผลทำให้สองร่างแนบชิดติดกันจนไร้ช่องว่างให้สิ่งใดได้แทรกผ่านเลยแม้แต่น้อย
น้ำหนึ่งใบหน้าแดงก่ำด้วยความอาย เมื่อร่างกายของตนแนบชิดกายแกร่งไปทุกสัดส่วน เลือดในกายสาวร้อนฉ่าอย่างห้ามไม่ได้ ก่อนที่มือเรียวจะพยายามดันร่างหนีอีกฝ่าย และดูเหมือนจะไม่เป็นผลเมื่อติณยกมือขึ้นกอดรัดเอวบางเอาไว้แน่น .ใบหน้าหล่อเหลาก้มต่ำลงมาใกล้พวงแก้มของหญิงสาวมากขึ้นทุกที
“ปล่อย ปล่อยหนึ่งนะ คุณไม่มีสิทธิ์มาทำกับหนึ่งแบบนี้”
“ทำไมฉันจะไม่มีสิทธิ์ เธออย่าลืมสิว่าเราสองคนแต่งงานกันแล้ว ฉันมีสิทธิ์ในตัวเธออย่างเต็มที่”
น้ำหนึ่งหันหน้าหนีไปอีกด้าน เธอไม่อยากจะได้ยินคำว่าแต่งงานให้มันแสลงหูเธอเช่นนี้อีกแล้ว
“แต่คุณติณก็อย่าลืมสิคะว่ามันคือการแต่งงานหลอกๆ ไม่ใช่แต่งจริงๆ เราไม่ได้มีอะไรกัน และอีกไม่กี่วันหนึ่งก็จะได้กลับไปที่ไร่แล้วตามความต้องการของคุณติณยังไงละคะ อย่าลืมสิ”
“หุบปาก! เธอจะอยู่หรือไปมันขึ้นอยู่กับฉันคนเดียวเท่านั้น” เขาตวาดเสียงเหี้ยมจนร่างบางถึงกับสั่นสะท้านออกมาด้วยความกลัว
“แต่หนึ่ง...หนึ่งเป็นห่วงไร่ เป็นห่วงแม่...”