ปัง!
“ผู้จัดการของร้าน...อยู่ที่ไหน!”
“ตกใจหมดไอเขม!”
เสียงของชัชชญาดังขึ้นมาพร้อมกับร่างของเขาที่เด้งตัวออกจากสาวบริการในทันทีทันใดเมื่อเธอเปิดประตูเข้าไปอย่างรีบร้อนด้วยเสียงดังลั่น
“ฉันถามว่าผู้จัดการร้านอยู่ไหน?”
“ก็คงเดินตรวจความเรียบร้อยของร้านอยู่แหละ...ว่าแต่มีอะไร?”
“โทรเรียกเขาให้หน่อย ตอนนี้เลย”
เพื่อนสนิททั้งสองมองหน้าของเธอฉงนอย่างคนสงสัย
“รีบร้อนอะไรขนาดนั้น มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
คราวนี้เป็นเสียงของชาคริยาที่เอ่ยถามกันออกมาบ้างเมื่อเห็นอาการแปลก ๆ ของเธอ
“อย่าพึ่งถามตอนนี้ได้ไหม เรียกเขามาพบฉันที่ห้องทำงาน...เดี๋ยวนี้!”
และเธอก็เดินจากออกไปในทันใดไม่สนใจแม้แต่จะตอบคำถามใด ๆ ของเพื่อนสนิททั้งสองคนทั้งสิ้น
ทิ้งให้ทั้งสองคนได้แต่หันมองหน้ากันด้วยคิ้วที่ขมวดติดกันเป็นปม แต่พวกเขาก็เลือกที่จะโบกมือไล่ผู้หญิงทั้งสองคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวออกไปจากห้อง พร้อมกับโทรติดต่อผู้จัดการของร้านตามความต้องการของเขมิกาในทันทีอย่างที่รู้ดีว่าเพื่อนสนิทของตนเองนั้นเป็นคนใจร้อนมากมายขนาดไหน
พวกเธอยังเคยสงสัยอยู่เลยว่าคนอย่างเขมิกาทำไมถึงได้เปลี่ยนแปลงตัวเองไปได้ตั้งมากมายขนาดนั้นเมื่อตอนที่อยู่กับขวัญอุษา เพราะตั้งแต่ที่เจ้าหล่อนไม่ได้อยู่ข้างกายของเขมิกาแล้ว...เจ้าคน ๆ นั้นก็ไม่เคยแสดงทีท่าเวลาที่อยู่กับขวัญอุษาให้พวกเธอได้พบเห็นอีกเลย
ราวกับว่าเจ้าคน ๆ นั้นที่อยู่กับขวัญอุษา...ไม่เคยมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้มาก่อน
ก๊อก! ก๊อก!
“เชิญ”
สิ้นสุดเสียงของเธอคนด้านนอกก็เปิดประตูเข้ามาในห้องทันใดให้เธอได้พบเห็นว่าเขาคือผู้จัดการของร้านที่เธอเรียกตัวพบก่อนหน้านี้ผ่านเพื่อนสนิท
รวมไปถึงสองแฝดที่เดินตามเข้ามาด้วยอย่างเสียมารยาทให้เธอได้แต่ถอดถอนหายใจออกมาอย่างเอือมระอา...
“ทำไมต้องทำท่ารังเกียจกันขนาดนั้นด้วย?”
เป็นเสียงกวนบาทาของชัชชญานั่นเองหาใช่ใครอื่น
“ตั้งแต่ตอนที่นั่งดื่มด้วยกันเมื่อกี้แล้วนะ”
แล้วก็เป็นเสียงของฝาแฝดคนพี่อย่างชาคริยาที่เอ่ยเสริมทัพอย่างกลัวใครไม่รู้ว่าคนทั้งสองคนนั้นเป็นฝาแฝดกัน
“คุณเขมเรียกพบผม...มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ?”
“นั่งก่อนสิ”
เธอเอ่ยบอกผู้จัดการร้านให้เขาผงกหัวรับอย่างนอบน้อม
แต่คนที่เดินมานั่งลงตรงเก้าอี้ด้านหน้าของเธอนั้นกลับเป็นสองฝาแฝดที่เดินมานั่งอย่างเสียมารยาทให้เธอได้แต่ถอดถอนหายใจอย่างนึกรำคาญกับทั้งสองคนเต็มที
“ฉันจะคุยกับผู้จัดการ...”
“เผื่อมีเรื่องอะไรที่พวกฉันช่วยได้ไง”
“ใช่ ๆ ฉันเห็นด้วย”
“เห้อ!”
เธอเหนื่อยเหลือทนกับหน้าระรื่นของคนทั้งสองที่ทำตัวไม่รู้เรื่องราว
ก่อนจะผายมือไปที่โซฟาภายในห้องทำงานส่วนตัวให้ผู้จัดการพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ก่อนเขาจะเดินไปนั่งลงตามคำเชื้อเชิญของเธออย่างง่ายดาย
ร่างสูงโปร่งลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงให้เพื่อนสนิททั้งสองได้แต่สบมองใบหน้าของเธอด้วยความเหลอหลา ก่อนที่เธอจะเดินไปนั่งลงที่โซฟาฝั่งตรงข้ามกับผู้จัดการของร้านให้แฝดทั้งสองได้แต่หันมองหน้ากันไปมาอย่างเซ็ง ๆ กับการกระทำของเธอ
“คุณเขมมีเรื่องอะไรให้ผมรับใช้ครับ?”
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร?”
เธอเปิดประเด็นขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยให้เขาได้แต่ทำหน้าฉงนอย่างไม่เข้าใจ
“ผู้หญิงคนไหน?”
“แกหมายถึงใคร?”
เป็นเสียงของสองแฝดอีกแล้วที่ทำให้เธอหันไปจิ๊ปากใส่พวกเขาอย่างนึกขัดใจ
“อะไร! อยู่ ๆ แกก็ถามออกมาแบบนี้ใครมันจะไปรู้วะ!”
“เออจริง! มีรูปหรือมีอะไรก็ว่าไปอย่าง...แต่นี่อยู่ ๆ ก็โพล่งออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ผู้จัดการเขาไม่ใช่พระพุทธเจ้านะที่จะตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง”
“ชาเป็นคริสเตียนไม่ใช่เหรอ?”
“พระพุทธศาสนาตอนประถมน่ะ...ไม่เคยเรียนหรือไงเจ้างั่ง!”
“ชัชก็เรียนที่เดียวกับชาไง!”
“แล้วจะถามอะไรโง่ ๆ แบบนั้นออกมาทำไม!”
“ชา!”
“ชัช!”
“ออกไป!”
แฝดทั้งสองเงยหน้าสบมองเจ้าของเสียงในทันใดอย่างตื่นตระหนก
“ถ้าจะมานั่งทะเลาะกันให้น่ารำคาญไปเปล่า ๆ ก็ไสหัวออกไปจากห้อง!”
และพวกเธอทั้งสองก็รีบหุบปากลงในทันใดอย่างหวาดกลัวว่าจะถูกเพื่อนสนิทอย่างเขมิกานั้นไล่ออกไปจากห้องอีกครั้ง
ยังไม่ทันได้สอดรู้เลย...เรื่องอะไรพวกเธอจะออกไปง่าย ๆ กันล่ะ!
“คุณเขมมีรูปไหมครับ คือผมไม่แน่ใจว่าผู้หญิงที่คุณหมายถึงคือใคร...เธอเป็นพนักงานที่คลับของเราไหมครับ?”
เธอพยักหน้าตอบรับกับคำถามของเขา
พร้อมด้วยความชั่งใจกับรูปถ่ายที่เขาขอดู ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าเธอไม่มีรูปของเจ้าหล่อนเพราะพึ่งได้เห็นหน้าวันนี้เป็นวันแรก
และพอได้เห็นใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นก็ดันไล่ตะเพิดหล่อนออกไปเลยเพราะความตกใจ ซึ่งพอมานั่งคิดได้อีกทีเธอก็หาตัวของเจ้าหล่อนไม่พบเสียแล้ว แม้จะพยายามเดินหาทั้งคลับมาเป็นเวลากว่าหลายนาทีแล้วก็ตาม
พูดถึงรูปถ่ายของหล่อน...
“ฉันหมายถึง...ผู้หญิงคนนี้”
เธอยื่นโทรศัพท์ไปที่ตรงหน้าของผู้จัดการร้านในทันใดเมื่อเข้าไปยังแกลเลอรี่รูปถ่ายของตนในโทรศัพท์มือถือ
ซึ่งเจ้าแฝดทั้งสองที่อยากสอดรู้สอดเห็นจนตัวสั่นก็รีบวิ่งมาอยู่ที่ด้านหลังของผู้จัดการร้านในทันใดอย่างคนใคร่รู้ และเธอก็เห็นปฏิกิริยาของคนทั้งสองคนที่เบิกตาโพล่งในทันทีเมื่อเห็นรูปถ่ายที่เธอส่งให้กับผู้จัดการของร้านเมื่อก่อนหน้านี้
“ขวัญ!”
“ขวัญอุษา!”
ทั้งยังเอ่ยชื่อของใครบางคนออกมาให้เธอได้แต่แสดงสีหน้าเรียบเฉยออกไปเท่านั้นอย่างไม่มีคำพูดใด ๆ ที่จำเป็นจะต้องเอ่ยมันออกมา
“เดี๋ยวก่อนนะเขม!”
แฝดคนพี่ยืดตัวขึ้นพร้อมกับยกมือกอดอกในทันใดอย่างคนที่สงสัยเต็มที
“แกถามหาขวัญทำไม แกบ้าไปแล้วหรือไง?”
“นั่นดิ! แกจำไม่ได้เหรอว่าขวัญน่ะ...”
“พวกแกเงียบก่อนได้ไหม!”
คนที่นั่งอยู่เอ่ยพูดขึ้นมาขัดประโยคของชัชชญาที่กำลังจะพูดต่อ
ซึ่งมันทำให้ชัชชญาเงียบปากลงในทันใดเมื่อเห็นปฏิกิริยาของเพื่อนสนิทอย่างเขมิกาแล้ว เพราะเธอเห็นว่าตอนนี้ดวงตาของเขากำลังเปี่ยมล้มไปด้วยความสับสน ทั้งยังมีน้ำตาคลอหน่วยให้เธอไม่กล้าแม้แต่จะปริปากพูดคำ ๆ นั้นออกมาให้เจ็บช้ำน้ำใจของเพื่อนสนิท
“ว่าไง...พอนึกหน้าของเธอออกหรือเปล่า?”
“อ๋อครับ นึกออกครับ”
คำตอบของชายตรงหน้าเพียงหนึ่งเดียวในห้องนี้ทำให้อยู่ ๆ หัวใจของเธอก็เต้นระส่ำอย่างมีความหวังขึ้นมา
“เธอพึ่งมาทำงานที่นี่วันแรกครับ แล้วเมื่อครู่ก็ติ๊ดบัตรขึ้นไปบริการลูกค้าแล้วครับ”
มันคงจะเป็นช่วงเวลาที่หล่อนขึ้นไปกับเธอเป็นแน่แท้
เพราะเวลาที่พนักงานผู้หญิงของเธอจะขึ้นไปบริการลูกค้าที่ต้องการจะหลับนอนกับเจ้าหล่อนนั้นต้องมีการติ๊ดบัตรพนักงานเท่านั้นเพื่อไม่ให้ต้องคอยตามหาว่าใครไปอยู่ที่ไหน แล้วก็เพื่อเป็นค่าตอบแทนของบุคคลนั้น ๆ อีกด้วย
ซึ่งถ้าใครถูกพาขึ้นไปมากที่สุดก็จะได้รับโบนัสมากกว่าคนอื่น ๆ เป็นเท่าตัว...เพราะสิ่งนั้นเป็นการยืนยันว่าเจ้าหล่อนทำงานได้ดีลูกค้าจึงอยากที่จะสานสัมพันธ์ต่อกับพนักงานคนนั้น ๆ
“คงเป็นเพราะขึ้นไปกับฉันเมื่อกี้...แล้วตอนนี้เธอไปอยู่ไหนแล้ว ฉันตามหาทั่วคลับไม่เห็นเจอเธอเลย”
“เดี๋ยวผมขออนุญาตเช็คสักครู่นะครับ”
แล้วเขาก็หยิบโทรศัพท์ของตนขึ้นมาเพื่อเช็คสถานะของพนักงานตามแอปพลิเคชันที่จะมีเฉพาะผู้จัดการของร้านเท่านั้นที่มีมัน
และสิ่งที่เธอทำได้คือรอด้วยหัวใจที่เต้นระส่ำ...
“เดี๋ยวก่อนนะ นี่มันหมายความว่ายังไง?”
“ในรูปนี้มันคือขวัญไม่ใช่เหรอ...แล้วตอนนี้แกกำลังพูดถึงใครอยู่?”
เป็นสองฝาแฝดอีกครั้งที่เอ่ยถามขึ้นมาอย่างคนไม่เข้าใจ
ซึ่งเธอก็ก้มหน้าสบมองที่รูปถ่ายรูปนั้นด้วยแววตาสั่นไหว รูปนี้เป็นรูปถ่ายของขวัญอุษา...รักครั้งแรกและรักครั้งเดียวของเธอจริง ๆ เพราะเธอเป็นคนถ่ายรูปนี้กับมือของตัวเองในวันที่เราสองคนไปเที่ยวด้วยกันเมื่อหลายปีก่อน
มันเป็นหนึ่งในรูปถ่ายของเจ้าหล่อนที่เธอไม่เคยลบและไม่เคยคิดที่จะลบเลือน เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่คอยย้ำเตือนเธออยู่เสมอว่าเรื่องระหว่างเรานั้นมันเป็นความจริง...และเธอก็เคยมีช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตเมื่อตอนที่มีเจ้าหล่อนอยู่เคียงข้างกาย
แม้ว่าตอนนี้เจ้าหล่อนจะไม่ได้อยู่ตรงนั้นอีกแล้วก็ตาม...
“เขม...”
“เธอพึ่งติ๊ดบัตรขึ้นไปบริการลูกค้าเมื่อประมาณห้านาทีที่แล้วเองครับคุณเขม...”
“ไอเขม!”
“ไอเขมเว้ย!”
สามคนในห้องได้แต่หน้าเหวอเพราะอยู่ ๆ เขมิกาก็ลุกพรวดพราดออกไปโดยที่ผู้จัดการร้านยังพูดไม่ทันจบประโยคเลยด้วยซ้ำไป
ใบหน้าของเขมิกานั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความโกรธเคือง และถึงแม้เขมิกาจะไม่ค่อยแสดงสีหน้าออกมามากเท่าไร แต่พวกเธอทั้งสองคนก็รับรู้ได้ในทันทีเลยว่า…
มีคนไปกระตุกหนวดเสือเข้าให้เสียแล้ว...
เขมิกาเดินอย่างรีบร้อนไปในโซนของห้องพักในทันใด ทั้งตอนนี้สติสตังของเธอก็ไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัวเลย...ตั้งแต่ที่ผู้จัดการร้านบอกกับเธอว่าเจ้าหล่อนกำลังจะไปบริการลูกค้าคนอื่น ๆ
ตอนนี้มือทั้งสองของเธอกำแน่นโดยไม่รู้สึกตัว ทั้งเธอก็ยังไล่เคาะห้องทุกห้องไปเรื่อยอย่างคนไร้สติ เพราะตอนนี้เธอไม่รู้ว่าเจ้าหล่อนอยู่ที่ไหน...และเป็นของใครคนอื่นไปแล้วหรือยัง
ก๊อก! ก๊อก!
“ออกมาสิวะ!”
นี่คืออารมณ์ฉุนเฉียวของเธอที่ไล่เคาะไปทุกห้อง
และพอมีคนเปิดประตูออกมาเธอก็จะพรวดพราดเข้าไปในห้องทันทีเพื่อตามหาคนที่เธออยากพบ ซึ่งพอเธอเปิดใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นแล้วว่าไม่ใช่คนที่เธอตามหา...เธอก็เลือกจะเดินออกมาจากห้องด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวในทันใด
ไม่มีการเอ่ยขอโทษขอโพยลูกค้าสักคำ แม้ตลอดทางของเธอจะโดนถ้อยคำหยาบคายที่ไปขัดอารมณ์ของพวกเขา แต่ตอนนี้เธอก็รีบร้อนเกินที่จะสนใจถ้อยคำเหล่านั้น
Rrrrrrrrrrrrr
เสียงโทรศัพท์ที่ดังสนั่นตลอดทั้งเส้นทางของเธอนั้นก็ช่วยกระตุ้นอารมณ์ฉุนเฉียวของเธอได้เป็นอย่างดีเชียวล่ะ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะไอเขม!”
“กิจการจะเจ๊งไปหมดก็เพราะมึงแล้วโว้ย!”
เป็นเสียงของสองฝาแฝดที่ดังออกมาจากปลายสายให้เธอที่ตัดสินใจกดรับรีบกดวางสายในทันใดอย่างนึกโมโหมากขึ้นคูณสอง
Rrrrrrrrrrrrr
แต่พวกเขาก็ยังคงโทรมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังกระหน่ำส่งข้อความมาหากันจนเธอที่โมโหอยู่แล้วยิ่งโมโหมากไปกว่าเก่า จนสุดท้ายเธอตัดสินใจที่จะเขวี้ยงโทรศัพท์ลงที่พื้นทางเดินจนหน้าจอมันแตกกระจายไม่มีชิ้นดี พร้อมกับทรุดตัวลงที่พื้นเพราะตอนนี้เธอคิดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
ไม่ว่าหล่อนจะเป็นคน ๆ นั้นของเธอหรือเปล่า...แต่หล่อนก็ยังเป็นคนเดียวที่ทำให้เธอเป็นบ้าเป็นหลังได้หนักหนาถึงเพียงนี้
“ไอเขม!”
สองแฝดที่วิ่งตามเขมิกามานั้นรีบวิ่งเข้าไปหาเพื่อนสนิทในทันใดเมื่อเห็นว่าตอนนี้เขากำลังอาการไม่ค่อยดี
ภาพแผ่นหลังของเพื่อนสนิทที่กำลังตัวสั่นเทาจากการร้องไห้นั้น...มันกำลังซ้อนทับกับภาพเก่าในวันวานที่เขมิกากำลังร้องไห้แบบไม่มีเสียงสะอื้นเพราะการจากไปของคน ๆ หนึ่ง
พวกเธอจับไหล่ของเพื่อนสนิทที่สั่นเทาเอาไว้พร้อมกับก้มลงไปหา ก่อนที่ดวงตาของพวกเธอจะเบิกโพล่งออกมาอย่างตื่นตระหนกเพราะตอนนี้เขมิกานั้นกำลังร้องไห้จนไหล่สั่น...แต่เขาไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้นใด ๆ ออกมาจากริมฝีปากของเขาเลย
เธอมองว่าคนที่ร้องไห้แบบไม่มีเสียงนั้นมันน่ากลัวมากกว่าคนที่ร้องไห้ฟูมฟายเสียอีก เพราะคนเหล่านั้นเขาอึดอัดจนน้ำตามันรินไหลออกมาเองแบบบางทีก็ไม่รู้สึกตัว ซึ่งตอนนี้เขาไม่มีแม้แต่เสียงใด ๆ ที่ร้องออกมาแม้เพียงสักคำ...ให้ทายว่าในใจของเขมิกานั้นมันกำลังแตกสลายมากมายขนาดไหน
“ห้อง B4102 ไป...เดี๋ยวพวกฉันพาไป”
เขมิกาที่เหมือนคนไร้สติเมื่อครู่เงยหน้าสบมองเพื่อนทั้งสองของคนในทันใด
ซึ่งเธอก็รีบลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง และวิ่งเข้าทางบันไดหนีไฟไปในทันทีเมื่อรู้เลขห้องของคนที่ตามหาแล้ว ไม่สนใจเสียงเอ่ยเรียกของเพื่อนสนิทที่เรียกให้เธอไปขึ้นลิฟต์กับพวกเขาอีกเลย
ก๊อก! ก๊อก!
ชาคริยาเป็นคนที่เคาะห้องเพราะเขาไม่ให้เธอเป็นคนทำ
โดยให้เหตุผลว่าเธอน่ะมันใจร้อน แค่ที่เธอไปไล่เคาะเป็นสิบ ๆ ห้องเมื่อครู่ก็โดนลูกค้าหลายรายคัมเพลนมาแล้ว และพวกเขาสั่งเธอเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าไม่ให้ปริปากพูดอะไรทั้งสิ้นต่อจากนี้ไปจนกว่าเรื่องราวจะจบสิ้นลง
ซึ่งเธอก็ต้องยอมทำตาม...เพราะไม่อย่างนั้นคนทั้งสองที่มายืนรอเธอหน้าลิฟต์จะไม่ยอมให้เธอได้เจอกับผู้หญิงคนนั้นที่เธอตามหา
แกร๊ก!
เสียงเปิดประตูพร้อมกับใบหน้าฉงนของผู้หญิงคนหนึ่งกำลังดึงความสนใจของเธอ
เจ้าหล่อนเดินออกมาหากันด้วยชุดคลุมอาบน้ำสีขาวสะอาดที่มีบริการภายในห้องพักของทางคลับ บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าด้านในของหล่อนนั้นโป๊เปลือย ซึ่งมันทำให้เธอที่ได้เห็นนั้นกำมือแน่น...โดยตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าหมัดของเธอนั้นจะต้องไปประทับอยู่บนแก้มข้างซ้ายของไอคนนี้อย่างแน่แท้!
แต่มันก็ไม่เป็นดั่งหวัง...
“คือพวกเราต้องขออภัยที่มารบกวน...”
“อ่อยอั้นนะเอ้ย!”
เธอพยายามดิ้นสุดแรงเกิดเพราะถูกพันธนาการเอาไว้โดยเพื่อนสนิทอย่างชัชชญา
ชาคริยากำลังเอ่ยพูดกับผู้หญิงที่เดินออกมาต้อนรับเราด้วยน้ำเสียงหวานหูแสดงถึงความมีสติ ส่วนเธอนั้นได้แต่ดิ้นพล่านอย่างทำอะไรไม่ได้เพราะถูกล็อคทั้งแขนทั้งปากให้พูดออกมาไม่ได้
สุดท้ายแล้วเจ้าหล่อนคนนั้นก็ยอมเปิดทางให้เราได้เข้าไปในห้องจากการพูดคุยอะไรสักอย่างโดยชาคริยา และเมื่อได้รับคำอนุญาตจากลูกค้าแล้ว...ชัชชญาก็ได้ปล่อยหมาบ้าให้เป็นอิสระโดยทันใด
เธอรีบวิ่งเข้าไปในห้องทันทีด้วยแววตาสั่นไหว...ก่อนที่ภาพตรงหน้าจะทำให้เธอรู้สึกโกรธเคืองลูกค้าที่ออกมาต้อนรับเธอก่อนหน้านี้มากไปกันใหญ่
“อย่าอยู่เลยมึง!”
เป็นเสียงของเธอที่เอ่ยออกมาพร้อมกับเดินหน้าเข้าไปหาไอคนนั้นในทันที
“ไอเข๊ม!”
ชัชชญาที่อยู่ใกล้ที่สุด...ก็คว้าตัวของเขมิกาเอาไว้ไม่ทันการ
“โอ้ย!”
และก็ได้ยินน้ำเสียงแห่งความเจ็บปวด...ดังออกมาจากปากของลูกค้าคนหนึ่งที่เป็นนักร้องผู้มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในขณะนี้
แถมเจ้าหล่อนนั้น...ยังเป็นสมาชิกระดับ VVVIP ของทางคลับเราอีกด้วย
“หยุดเดี๋ยวนี้...ไอเขม!”
“มึงกล้าดีมากนะ!”
“โอ้ย! นี่คุณมาต่อยฉันทำไม!”
“เข๊ม!”
และคนทั้งสามก็เกิดการตะลุมตุมบอนกันขึ้นเป็นเรื่องราวบานปลาย
แต่กลับมีคน ๆ หนึ่งที่เดินเข้าไปชิดใกล้กับหญิงสาวที่อยู่บนเตียงนอน ทั้งหล่อนก็ยังใช้ผ้านวมผืนใหญ่ปกปิดเรือนร่างของตนเองเอาไว้อย่างไม่เข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้าเท่าไรนัก
“ขอโทษนะ...แต่ฉันขอดูหน้าของเธอได้ไหม?”
“คะ? แต่ว่า...”
“ไม่ต้องกังวลนะ ฉันชื่อชา...เป็นเจ้าของคลับที่นี่น่ะ”
“อ๋อ งั้นก็ได้ค่ะ...”
เจ้าหล่อนรับคำอย่างเก้ ๆ กัง ๆ เพราะทำอะไรไม่ถูก
ก่อนที่เจ้าหล่อนจะเอื้อมมือขึ้นมาโดยมืออีกข้างก็ยังคงจับผ้านวมปิดบังเรือนร่างของตนเองเอาไว้ และค่อย ๆ ถอดถุงน่องตาข่ายให้ออกไปจากการปิดบังใบหน้าของตน
และเมื่อชาคริยาได้พบเห็นใบหน้าของหล่อน...ดวงตาของเธอก็เบิกโพล่งขึ้นมาในทันใดอย่างไม่เชื่อสายตาของตนเอง
“เหมือนจริงด้วยแฮะ...อย่างกับคน ๆ เดียวกันเลย”
“คุณหมายถึง...”
“ฉันเข้าใจแล้ว...ว่าทำไมไอเขมมันถึงได้เป็นบ้าเป็นหลังขนาดนี้”