ตอนที่ 9 ความเป็นห่วง

1842 คำ
เพิ่งจะผ่านไปไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม นึกถึงเฉินเฟยหย่าไม่ทันไร คนที่ไม่อยากเห็นหน้าในเวลานี้ก็โผล่มาทันที “หลิวเมิ่ง” ไป๋อวี่กระซิบเรียกระบบช่วยเหลือเพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ แต่ไร้เสียงตอบรับ “ให้ตายสิ ไม่ใช่รอบนี้จะถูกหักค่าชีวิตอีกแล้วเหรอ” เฉินเฟยหย่าเดินตรงรี่เข้ามาหาไป๋อวี่ที่เตียง มือข้างหนึ่งลูบใบหน้าของเขา สายตาเหมือนคนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ “พระองค์มีอะไรหรือ” ไป๋อวี่เอ่ยปากถามอย่างระแวดระวัง “อาการของเจ้า เป็นอย่างไรบ้าง” เขาถามร่างบางด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่คนผู้นี้ถามว่าไป๋อวี่เป็นอย่างไรบ้างงั้นหรือ สมองกลับไปแล้วหรือเปล่า เขาคิดในใจก่อนจะเริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอเบ้าสะอึกสะอื้นเล็กน้อย “กระหม่อมกลัว นึกว่าจะจมน้ำตายไปเสียแล้ว ขอบคุณพระองค์ที่เมตตาช่วยเหลือ” ไป๋อวี่การละครจำเป็นต้องเอาตัวรอดยามที่ไม่รู้เนื้อเรื่องตอนต่อไปและหลิวเมิ่งหายจ้อยไร้ร่องรอย เดิมทีคิดจะหยุมหัวคนที่ใจร้ายปล่อยให้เขาจมน้ำถึงแม้ว่าเขาจะแสร้งทำก็เถอะ แต่นั่นก็ออกจะเป็นการนอกบท เดียวจะเสียค่าชีวิตไปโดยเปล่าประโยชน์ “เช่นนั้นเท่ากับว่าเจ้าติดหนีชีวิตข้า จะชดใช้เช่นไรกันเล่า” เขาเลิกคิ้วพลางแสยะยิ้ม ปลายนิ้วเรียวไล้ริมฝีปากของร่างบาง กำลังจะสอดนิ้วเข้าไปในปาก ไอ้บ้านี่ ใจคอคิดแต่เรื่องใต้สะดือหรือยังไง คนเกือบจะจมน้ำ จะไม่ให้พักผ่อนร่างกายเลยหรือไง ไป๋อวี่พยายามข่มอารมณ์ของตนเองไม่ให้พลุ่งพล่านกัดนิ้วของเฉินเฟยหย่าเอาไว้เชิงห้ามปราม “พระองค์อยากให้กระหม่อมชดใช้ด้วยสิ่งใดย่อมได้ ขอเพียงบอกมาเถิด” เขาหลบสายตาอย่างเอียงอาย เฉินเฟยหย่ายิ้มกว้างพลางหัวเราะลั่นไม่คิดว่าเหตุการณ์นี้จะยิ่งทำให้ไป๋อวี่เหมือนลูกไก่ในกำมือ พูดออกมาว่า “ร่างกายและชีวิตของเจ้าเป็นของข้า ไม่ว่าจะเมื่อใด หากข้าต้องการ เจ้าต้องสนอง” เขาไม่พูดเปล่าแต่โน้มตัวลงมาเพื่อจะจูบริมฝีปากบางของไป๋อวี่ เขากำมือซ้ายไว้แน่นพยายามกลั้นใจเอาไว้ นับหนึ่งถึงสามจะต่อยสวนไปเพราะอดทนไม่ไหวกับคนผู้นี้ “พระสนม กระหม่อมกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสียงของจางฮุ่ยหลิงที่อยู่ด้านนอกเรือนดังขึ้น ทำให้เฉินเฟยหย่านิ่วหน้าเล็กน้อยที่ถูกขัดจังหวะ “...” คนด้านในไม่ตอบสิ่งใด เฉินเฟยหย่าสั่งให้ไป๋อวี่อยู่เงียบ ๆ แล้วโน้มตัวลงมาอีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้ “กระหม่อมนำโอสถกับอาหารมาให้พระองค์ ขอเข้าไปด้านในได้หรือไม่” จางฮุ่ยหลิงถามพลางรอคำตอบ “เข้ามา!” เสียงตวาดของเฉินเฟยหย่าดังจนไป๋อวี่สะดุ้งเพราะอยู่ใกล้สุด อะไรจะขนาดนั้น ชายาเอก ชายารอง ไหนจะสนมรูปงามก็มีเต็มตำหนัก ไม่อาจบรรเทาอาการกลัดมันได้บ้างเลยหรือ ไป๋อวี่คิดพลางมองใบหน้าของเขา ท่าทางดูจะโกรธจัดที่ถูกขัดจังหวะ “อภัยให้กระหม่อมด้วย ไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะประทับอยู่กับพระสนม” จางฮุ่ยหลิงทำความเคารพแล้ววางถ้วยโอสถกับอาหารไว้ที่โต๊ะไม้ข้าง ๆ ครั้นได้เห็นร่างบางของจางฮุ่ยหลิงก็นึกอยากรู้อยากเห็นว่าจะเหมือนกับไป๋อวี่หรือไม่ ไม่สนใจว่าฐานะของอีกฝ่ายเป็นหมอหลวง มิใช่ชายาของตนเอง ควรกระทำโดยให้เกียรติ มือที่เร็วกว่าก็กระชากผ้าบาง ๆ ที่ปิดรอยแผลเป็นครึ่งหน้าของจางฮุ่ยหลิงออก เอื้อมมือไปลูบไล้ใบหน้าของฝ่ายตรงข้าม จางฮุ่ยหลิงถอยหลังหนึ่งก้าว เฉินเฟยหย่าประชิดตัวสองก้าวแล้วกระชากเสื้อผ้าท่อนบนของเขาออก เฮือก! ไป๋อวี่ตาเบิกโพลงกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า มารดามันเถอะ นิสัยมารยาททรามไม่รู้ได้ใครมา คิดอะไรก็จะทำแบบนั้นให้ได้เลยหรือไง ทว่า แม้จะมีรูปร่างบางกว่าบุรุษทั่วไป แต่ร่างกายกลับมีรอยบาดแผลนับไม่ถ้วนเป็นรอยจาง ๆ สายตาของเฉินเฟยหย่ามองอย่างพินิจพิจารณาแล้วหันหน้าหนีไป เดินมาหาไป๋อวี่ที่เตียงนอนแล้วกระชากเสื้อของไป๋อวี่ออกบ้าง เฮือก! ไอ้หมอนี่วอนเสียแล้ว มือของไป๋อวี่ง้างจะต่อยที่ใบหน้าของเฉินเฟยหย่าในพริบตา แต่ถูกอีกฝ่ายที่เร็วกว่าจับข้อมือเอาไว้ สายตาของเฉินเฟยหย่ามองดูร่างกายส่วนบนของไป๋อวี่สลับกับมองไปที่จางฮุ่ยหลิงแล้วยิ้มมีเลศนัย “คิดจะทำร้ายข้าอีกหรือ มิใช่ว่าเจ้าเพิ่งบอกว่ายินดีจะชดใช้ด้วยร่างกายและชีวิตของเจ้าหรืออย่างไร” สายตาของเฉินเฟยหย่ายังคงโลมเลียร่างกายของไป๋อวี่จนเจ้าตัวรู้สึกอายหน้าแดงขึ้นมากะทันหัน “กระหม่อมเพียงแค่ตกใจ ได้โปรดอย่าถือสา” ไป๋อวี่แก้ตัว แล้วพูดต่อ “วันอื่นได้หรือไม่ ร่างกายกระหม่อมไม่มีเรี่ยวแรงมากพอจะ ปรนนิบัติพระองค์ เกรงจะทำให้ไม่พอใจ” เขาทำหน้าตาใสซื่อเอียงอายแกมขอร้อง “ทั้งวันทั้งคืน อย่าได้คิดถอนคำพูด” เฉินเฟยหย่ายิ้มกว้างแล้วหันไปบอกจางฮุ่ยหลิงว่า “รีบรักษาร่างกายเขาให้หายโดยเร็ว ต้องการยาตัวใดบอกอาจารย์ของเจ้า” “พ่ะย่ะค่ะ” จางฮุ่ยหลิงรับปากแล้วถือโอสถเดินมาหาไป๋อวี่ “ส่วนเจ้า อย่าให้ข้ารอเสียเปล่า” เฉินเฟยหย่าฉวยโอกาสจุมพิตไป๋อวี่โดยไม่ทันตั้งตัวแล้วยิ้มมุมปากที่ได้ในสิ่งที่ต้องการ จากนั้น เขาจึงเดินกลับเรือนอย่างอารมณ์ดีจนเสิ่นอวี๋และโม่เป่ยมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าข้างในเรือนพระสนมเกิดเรื่องอะไรขึ้น เฉินเฟยหย่าคิดทบทวนสิ่งที่อยู่ในใจเมื่อครู่ ยามเห็นร่างบางของไป๋อวี่และจางฮุ่ยหลิงกับใบหน้างดงามไม่แพ้กัน ความรู้สึกกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง หัวใจของเขากลับเต้นแรงเมื่อมองไปที่ไป๋อวี่ราวกับว่าองค์ชายผู้นี้จะสร้างความสำราญให้แก่เขาได้เพียงผู้เดียว ฟากเรือนน้อย จางฮุ่ยหลิงเดินถือผ้าบางมาแล้วเช็ดริมฝีปากให้ไป๋อวี่โดยไม่รู้ตัว หน้านิ่วคิ้วขมวดราวกับไม่พอใจเหตุการณ์เมื่อครู่ “จางฮุ่ยหลิง ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว” เขาจับมือของอีกฝ่ายไว้พยายามทำให้ใจเย็นลง “โกรธสิ่งใดหรือ” “ข้าเปล่า” จางฮุ่ยหลิงดึงมือกลับ ตั้งสติแล้วหยิบโอสถให้ไป๋อวี่ “ดื่มก่อนเถิด ยาที่กระหม่อมนำมาจะทำให้พระองค์รู้สึกดีขึ้น” “อื้ม” เขารับถ้วยโอสถอย่างว่าง่าย ไม่ระแวงอะไรคนผู้นี้ เหมือนกับรู้จักเขามาเนิ่นนานมากทั้งที่เพิ่งเคยเห็นหน้า ครั้นดื่มโอสถจนหมดแล้วจึงเอ่ยปากถามเรื่องที่สงสัยทั้งรอยแผลบนหน้าของเขา ตามลำตัว ไม่รู้ว่าชีวิตต้องผ่านอะไรมาบ้าง “ข้ามาเรื่องจะถามเจ้า แต่ถ้าเจ้าไม่อยากตอบก็ไม่เป็นอะไร” ไป๋อวี่ทำสีหน้าจริงจังรอคำตอบของเขา “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด กระหม่อมยินดี พระองค์ถามมาเถิด” ดวงตาสีเขียวจ้องไป๋อวี่กลับจนทำให้เจ้าตัวเหมือนจะละลายเพราะสายตาของเขา เหมือนมากจริง ๆ เหมือนหลุดออกมาจากนิยายเรื่องนั้น ดวงตาสีเขียวที่เคยจ้องมองผ่านหน้าจอมาตลอด วันนี้ได้เห็นของจริงแล้วแทบอยากจะร้องลั่นด้วยความดีใจ “เอ่อ รอยแผลบนใบหน้ากับตามร่างกายเกิดอะไรขึ้นหรือ ยังเจ็บอยู่หรือไม่” ไป๋อวี่ถามด้วยความเป็นห่วง เหตุใดร่างกายของหมอหลวงถึงมีแต่แผลเป็นเต็มไปหมด หากบอกว่าเป็นทหารยังพอจะเชื่อถือได้มากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รอยแผลเป็นที่ฝ่ามือข้างขวากับรอยแผลเป็นที่หน้าท้อง รวมถึงรอยแผลกลมสามรูที่ด้านหลัง แผลเป็นแบบเดียวกันกับตงฟางฮุ่ยหลิงไม่มีผิด “ชีวิตของกระหม่อมผ่านสงครามมามากมาย จึงมีรอยแผลเป็นอย่างที่พระองค์เห็น ไม่มีอะไรน่าสนใจนักหรอก” จางฮุ่ยหลิงเล่าสั้น ๆ พลางหยิบถ้วยโจ๊กมาให้ไป๋อวี่ “แผลบนใบหน้าของเจ้า เหมือนเพิ่งเกิดได้ไม่นาน” เขามองรอยแผลนั้นแล้วรู้สึกเจ็บแทน “อืม พระองค์อย่าได้กังวลไปเลย กระหม่อมไม่เจ็บแล้ว” รอยยิ้มของเขาทำให้ไป๋อวี่รู้สึกสบายใจ “เรื่องของเฉินเฟยหย่า เจ้าตกใจมากหรือไม่” เขาเอ่ยถาม คิดว่าคนนอกคงจะไม่คุ้นชินกับนิสัยของอ๋องผู้นี้ อาจจะทำให้ขวัญหนี จางฮุ่ยหลิงส่ายหน้าราวกับรู้อยู่แล้วว่าโฉมหน้าที่แท้จริงของเฉินเฟยหย่าเป็นอย่างไร อ๋องผู้มักมากชื่นชอบสตรีงามเลื่องลือ แต่กลับมีสนมเป็นบุรุษอยู่ผู้หนึ่ง แม้จะได้มาด้วยความไม่เต็มใจ เกลียดชังใบหน้าและร่างกายนั้นแต่มิวายข้องแวะมาค้างคืนในเรือนน้อยทุกครั้งที่มีโอกาส แรกเริ่มสงสัยรสนิยมของตนเองจนสั่งให้คนสนิทพาบุรุษจากหอโคมแดงมาปรนนิบัติถึงที่ตำหนัก แต่ลองแล้วลองเล่าก็ไม่มีใครเหมือนไป๋อวี่ จนกระทั่งได้พบกับจางฮุ่ยหลิง แม้รอยบาดแผลจะทำให้ขัดใจอยู่บ้าง แต่ความต้องการย่อมมองข้ามได้ทุกสิ่ง กระนั้นก็มองอีกฝ่ายเป็นเพียงคนทั่วไป หาได้มีไฟราคะลุกโชนเหมือนยามที่มองไป๋อวี่ “จางฮุ่ยหลิง คิดสิ่งใดอยู่หรือ” ไป๋อวี่ถามขึ้นเพราะเห็นว่าเขาเงียบไป “กระหม่อมเพียงแค่เป็นห่วงพระองค์” แค่เห็นสายตาของเฉินเฟยหย่า จางฮุ่ยหลิงก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “มีเจ้าเป็นห่วงข้าเช่นนี้ดีจริง ๆ” ไป๋อวี่เบาใจ อย่างน้อยก็รู้สึกว่าจางฮุ่ยหลิงพึ่งพิงได้ ถึงกับเอ่ยปาก “เจ้าเป็นเพื่อนกับข้าได้หรือไม่” “กระหม่อมน่ะหรือ” จางฮุ่ยหลิงเลิกคิ้ว “กระหม่อมจะเป็นเพื่อนกับพระองค์ได้อย่างไร” “เช่นนั้น พี่สาวคนสวย” ไม่ว่าจะมองใบหน้านี้อย่างไร ก็คงมองเป็นบุรุษไม่ได้อยู่ดี “กระหม่อมเป็นบุรุษ” เขากระซิบบอกไป๋อวี่ ไม่อยากให้เจ้าตัวเข้าใจผิด “...” ไป๋อวี่เอียงคอ พวกเขาทั้งคู่ต่างเป็นบุรุษ ใครเล่าจะไม่รู้เรื่องนั้น “ข้ารู้” “อื้ม” ดวงตาสีเขียวกับรอยยิ้มของเขาทำให้ไป๋อวี่สะอึก หน้าแดงเพราะรู้ความหมายที่เขาพูด “หากเฉินเฟยหย่ารู้ว่าเจ้าแค่ใบหน้างาม คงได้ถูกนำตัวไปโบย” สีหน้าของไป๋อวี่มีความกังวลใจ “เช่นนั้นพระองค์จะช่วยเก็บเป็นความลับได้หรือไม่” จางฮุ่ยหลิงไม่ได้มีท่าทีว่ากำลังขอร้องเขา แต่เอ่ยปากไปเช่นนั้นเพราะรู้ว่าเขาต้องตกลง “กระหม่อมจะไม่ปล่อยให้พระองค์ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกต่อไป”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม