ตอนที่ 10 สหายเพียงคนเดียว

1353 คำ
หลังจากผ่านไปสามวัน ไป๋อวี่รู้สึกสนิทสนมกับจางฮุ่ยหลิงมากขึ้น ราวกับมีเพื่อนพูดคุยยามที่ต้องอยู่ในโลกอันแสนโดดเดี่ยวคนเดียวที่แม้แต่ระบบผู้ช่วยอย่างหลิวเมิ่งยังหายเงียบไป “ข้าหายดีแล้ว คงไม่ต้องดื่มโอสถถ้วยนี้หรอก” ไป๋อวี่ส่ายหน้า ไม่อยากดื่มยารสชาติขมฝาดฝืดคอเกินทน “พระองค์ไม่เชื่อหมออย่างกระหม่อมหรือ” จางฮุ่ยหลิงเอ่ยปากถามรอฟังคำตอบจากเขา “ไม่ใช่อย่างนั้นเสียหน่อย แต่ข้า...” เขากำลังจะพูดปฏิเสธอีกรอบ เจ้าตัวรู้ดีว่าร่างกายของตนแข็งแรงปกติทุกอย่างยกเว้นโรคหัวใจที่ต่อให้รักษาตอนนี้ก็ไม่มีทางหายดี “เช่นนั้น กระหม่อม...” หมอหลวงทำทียกถ้วยโอสถกลับคืน สีหน้าสลดเพราะคนไข้ไม่ยอมดื่มโอสถที่เตรียมมาให้ด้วยความตั้งใจ ไป๋อวี่เห็นดังนั้นจึงจับข้อมือของจางฮุ่ยหลิง บอกกับเขาว่า “เจ้าอย่าเพิ่งงอนข้าไปเลย ข้าแค่ไม่ชอบดื่มยา มันขม ไม่อร่อย” หลังจากพูดจบ เขาก็กลั้นใจยกดื่มรวดเดียวจนหมดถ้วย ทำหน้าตาหยีเพราะรสชาติไม่ถูกปาก “ต่อให้ไม่ชอบก็ต้องฝืน พระองค์มีพระวรกายไม่แข็งแรง กระหม่อมเป็นห่วง” จางฮุ่ยหลิงบอกกับเขาไปตามตรง ทันทีที่จับเส้นชีพจร เขาก็รู้ได้ว่ามีอะไรบางอย่างผิดแปลกไป “อื้ม” ร่างบางพยักหน้าอย่างว่าง่าย ไม่อยากปฏิเสธความหวังดีของอีกฝ่าย “พระองค์รู้หรือไม่ว่าหัวใจไม่แข็งแรง” จางฮุ่ยหลิงถามด้วยความสงสัยเพราะดูเหมือนว่าไป๋อวี่จะไม่สนใจเท่าใดนัก นั่นก็เพราะว่าเขารู้ว่าวันหนึ่งจะต้องหาย เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลา กังวลไปก็เหนื่อยเปล่า “...” เขาพยักหน้า “เช่นนั้น ถนอมพระวรกายของพระองค์ด้วยเถิด” สีหน้าของหมอหลวงจริงจัง “กระหม่อมจะนำโอสถมาถวายไม่ให้ขาดแม้แต่วันเดียว” “ยาขม ๆ นี่น่ะหรือ ไม่เอาหรอก” เขาส่ายหน้าทันควัน คำว่าทุกวันช่างบาดใจนัก “เรื่องนี้กระหม่อมคงต้องขอขัดใจ พระองค์จะลงโทษเช่นใดก็ทำเถิด” จางฮุ่ยหลิงยืนยันหนักแน่น ต่อให้ต้องจับไป๋อวี่มัดไว้เพื่อกรอกโอสถก็ต้องทำ สีหน้าที่ดูจริงจังทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาไม่ได้พูดเล่นไปอย่างนั้นตามบท แต่บทนิยายมันมีตัวละครนี้ที่ไหนกันเล่า แล้วเมื่อไหร่หลิวเมิ่งจะออกมา ความคิดของไป๋อวี่กำลังตีกันอยู่ภายใน “ข้าจะทำเช่นนั้นกับสหายเพียงคนเดียวของข้าได้อย่างไร” เขาส่ายหน้ายอมแพ้ “ไปเดินเล่นข้างนอกเรือนกันเถอะ ข้าไม่ได้ออกไปไหนมาหลายวันแล้ว” ไป๋อวี่ซ่อนตัวอยู่ในเรือนเล็กของตนเองเพราะรู้สึกอยากหลบหน้าเฉินเฟยหย่าและความวุ่นวายต่าง ๆ ระหว่างรอหลิวเมิ่งกลับมา คิดแต่เพียงว่าเดินเล่นนอกเรือนไม่ไกลคงไม่มีปัญหาใด ๆ ตามมา หากแต่ภายนอกกลับมีสายตาหลายคู่กำลังสอดแนมความเป็นไปของไป๋อวี่อย่างใกล้ชิด จางฮุ่ยหลิงประคองร่างบางของไป๋อวี่เอาไว้ ทำเสมือนว่าอีกฝ่ายเพิ่งจะฟื้นไข้ขึ้นมา มือข้างหนึ่งกระชับเอว มืออีกข้างจับมือของไป๋อวี่เอาไว้ ค่อย ๆ เดินชมสวนดอกไม้มาเรื่อย ๆ สีหน้าทั้งคู่ยิ้มแย้มดูมีความสุข หากร่างกายและใบหน้าของจางฮุ่ยหลิงดูเป็นบุรุษมากกว่านี้สักหน่อย ใครต่อใครคงจะคิดว่าทั้งสองคนเป็นคู่รักกัน เสียงเล่าลือของบ่าวรับใช้ทำให้ใครบางคนต้องมาดูให้เห็นกับตาตัวเอง แต่เมื่อมาถึงแล้วกลับไม่เห็นสิ่งใดเหมือนที่บ่าวรับใช้พูด ใกล้ชิด กอดเอว หัวเราะ ยิ้มแย้ม “ไร้สาระทั้งเพ” เฉินเฟยหย่านึกฉุนในใจ ภาพที่เห็นตรงหน้าดูอย่างไรก็เหมือนบุรุษร่างบอบบางสองคนที่ดูเป็นสหายกันมากกว่า ทันใดนั้น จู่ ๆ ไป๋อวี่ก็สะดุดก้อนหินจะล้มหน้าคะมำ จางฮุ่ยหลิงจึงรีบเอื้อมมือประคองอีกฝ่ายเอาไว้ กอดแนบแน่นจนไป๋อวี่ใจเต้นตึกตัก “สหายกะผีน่ะสิ” เฉินเฟยหย่ารู้สึกว่าสิ่งที่เห็นไม่ถูกต้อง มีอะไรบางอย่างแปลกไปจึงรีบเดินดุ่ม ๆ เข้ามาเพื่อดึงตัวไป๋อวี่ออกมาจากอ้อมกอดของจางฮุ่ยหลิง แต่ทำไม่ได้เพราะอีกฝ่ายกอดเอาไว้แน่นกว่า “ฝ่าบาท” จางฮุ่ยหลิงพึมพำ “ฝ่าบาท? ใครมาหรือ” ไป๋อวี่ที่หันหน้าไปฝั่งตรงข้ามไม่รู้ว่าใครเข้ามาใกล้ “สวามีของเจ้า เอาตัวมันไปโบย” เฉินเฟยหย่าราวกับระงับโทสะของตัวเองไม่อยู่ โพล่งสั่งเสิ่นอวี๋กับโม่เป่ยให้จับตัวจางฮุ่ยหลิงไปลงโทษ “ฝ่าบาท พระองค์อย่าเพิ่งใจร้อน จะลงโทษเขาด้วยเรื่องอันใด” ไป๋อวี่ถามออกไปไม่เข้าใจความคิดของคนที่แทนตัวเองว่าสวามี “เจ้ากำลังปกป้องมันอยู่หรือ” ในใจของเขารู้สึกเดือดจนเหมือนควันจะลอยออกจากหู “กระหม่อมไม่ได้ปกป้องใคร แต่เมื่อครู่เกือบจะล้ม จางฮุ่ยหลิงช่วยพยุงเอาไว้ก็เท่านั้น” ไป๋อวี่อธิบายไปตามตรง หากไม่ได้มือที่คอยกุมไว้คงจะหน้าคะมำลงพื้นไปเรียบร้อย ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่ายามที่อ๋องผู้นี้อารมณ์ไม่ดี เหตุผลร้อยแปดก็ใช้ไม่ได้ อธิบายไปเหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เขาดึงตัวไป๋อวี่เข้ามาโอบเอวจนเจ้าตัวลอบถอนหายใจ สิ่งเดียวที่จะทำให้คนพรรค์นี้อารมณ์ดีก็คงจะมีแต่เรื่องพวกนั้นกระมัง ไป๋อวี่กระซิบบอกเขาเบา ๆ ว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมพร้อมตอบแทนที่พระองค์ช่วยชีวิตแล้ว ทั้งวันทั้งคืน ไม่มีปริปาก ให้ร่างกายกระหม่อมตอบแทนทุกสิ่งอย่างตามพระประสงค์” เขาพูดพลางทำสีหน้าเอียงอาย ทั้ง ๆ ที่รู้สึกกระดากปาก ลอบกรอกตามองบนอยู่ครู่หนึ่ง จริง ๆ แล้ว ไป๋อวี่ตัดสินใจเช่นนั้นเพราะต่อให้ขอร้องอ้อนวอนไป จางฮุ่ยหลิงก็จะต้องโดนลงโทษอยู่ดี เมื่อนึกถึงสภาพร่างกายบอบบางของเขาที่มีแต่รอยแผลเป็นแล้ว ก็ไม่อยากให้มีบาดแผลใหม่สลักไว้บนตัวเขาอีก และถึงแม้ว่าหลิวเมิ่งจะหายตัวไป แต่ระบบตัวตายตัวแทนยังคงใช้ได้อยู่ เขาจึงคิดแลกสามร้อยคะแนนกับฉากเข้าโคมที่ยั่วยวนเฉินเฟยหย่าไปเมื่อครู่ ครั้นไป๋อวี่พูดจบ ฝ่ายเฉินเฟยหย่าก็ยิ้มกว้างฉวยโอกาสหอมแก้มไป๋อวี่ต่อหน้าธารกำนัล มือข้างซ้ายของไป๋อวี่ยกขึ้นเตรียมจะเขกหัวของเขาเพราะตกใจแต่ก็ยั้งเอาไว้ก่อน หางตาเหลือบเห็นแววตาของจางฮุ่ยหลิงเดือดเป็นไฟทำให้นึกถึงใครบางคน ไป๋อวี่ยกมือขึ้นมาปิดบังส่วนใบหน้าของเขาให้เหลือเพียงแค่ดวงตาสีมรกต ตงฟางฮุ่ยหลิง? เขาคิดในใจ แววตายามนี้ช่างเหมือนกับตอนที่ตงฟางฮุ่ยหลิงเห็นนายเอกเรื่องนั้นอยู่กับพระเอกสองต่อสองไม่มีผิด แต่ก็คิดไปว่าเป็นไปไม่ได้หรอก ตงฟางฮุ่ยหลิงทะลุเข้ามาในนิยายเรื่องนี้ แถมยังหึงไป๋อวี่ด้วยนี่นะ บ้าไปแล้ว ขณะที่กำลังประมวลผลจึงไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเท่าที่ควร เฉินเฟยหย่าหอมแก้มไป๋อวี่อีกรอบแล้วอุ้มกลับเรือนน้อยในทันที ท่ามกลางความงุนงงของทุกคนและกองสอดแนม ไป๋อวี่ส่งสายตาบอกจางฮุ่ยหลิงว่า ไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้าจัดการได้ แต่สีหน้าของอีกฝ่ายตอบกลับมาว่า ข้าจะเฉือนเจ้านั่นทิ้งให้เป็ดกิน  ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ข่าวคราวของทั้งคู่ก็ดังเข้าหูของบรรดาชายาทั้งหมดในตำหนัก สร้างความอิจฉาตาร้อนเป็นอย่างยิ่ง ครานี้ไป๋อวี่สร้างศัตรูมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม