บริเวณด้านหน้าเกาะ
เรือลำใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยพ่อแม่พี่น้องและเครือญาติที่เดินทางมาร่วมพิธีฝังศพของหยางเฉียนเฉียน เทียบเรือลงจอดอยู่บริเวณด้านหน้าเกาะทยอยขึ้นฝั่งอย่างรวดเร็ว ด้วยเพราะจวนเจียนใกล้จะถึงเวลาฝังศพเข้าไปทุกขณะแล้ว สายตาทุกคู่มุ่งตรงไปยังหลุมฝังศพซึ่งขุดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว รอเพียงแค่นำโลงลงไปเพียงเท่านั้น
ทันทีที่มาถึงทุกคนต่างพากันผงะถอยหลัง หยุดชะงักด้วยกันทุกคนด้วยกลิ่นเหม็นเน่าของซากศพฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ บรรดาชายฉกรรจ์แต่ละคนที่มีหน้าทีเกี่ยวกับพิธีการของศพต่างพากันใช้ผ้าปิดจมูกกันไว้ทุกคน
“ทำไมเฉียนเฉียนส่งกลิ่นแรงนักละ ตอนออกมาจากจวนยังไม่มีกลิ่นถึงขนาดนี้เลย”พานจิ่วเซียนถามกลับไปด้วยความสงสัยพร้อมยกชายแขนเสื้อปิดจมูกของตัวเองเอาไว้ด้วยเช่นกัน
“มิทราบเช่นกันขอรับว่าเหตุใดศพของท่านหญิงเฉียนเฉียน จึงส่งกลิ่นรุนแรงเช่นนี้พอเรือแล่นผ่านมาได้สักระยะก็เริ่มส่งกลิ่นออกมาอย่างไม่รู้สาเหตุ ขนาดดอกไม้หวนคืนยังไม่สามารถกลบกลิ่นได้อีกเลย”เสียงของชายซึ่งเป็นหัวหน้าผู้คอยดูแลจัดการงานศพอธิบายกลับไป
ครั้นเสวี่ยเหยาได้ยินเช่นนั้นนางรีบจัดการแผนขั้นสุดท้ายที่วางเอาไว้ทันที
“ถ้าเช่นนั้นท่านพ่อท่านแม่เจ้าคะ ข้าเห็นว่าเราควรรีบนำเฉียนเฉียนลงฝังโดยเร็วเถอะ กลิ่นศพเริ่มรุนแรงเพราะนี่ก็เข้าวันที่สี่ร่างของน้องคงจะเริ่มเน่าแล้ว”เสวี่ยเหยาพูดพลางยกชายแขนเสื้อของนางขึ้นปิดจมูกเอาไว้เช่นกัน
หากแต่ยังมิทันที่เจ้าเมืองหยางผิงและหวังฮูหยินจะพูดอะไรออกมา เสียงของจิ่วเซียนกลับพูดแทรกขึ้นมาทันที
“แต่ข้าขอดูหน้าเฉียนเฉียนเป็นครั้งสุดท้าย เพราะยังไม่เห็นกันเลยตั้งแต่จากไป”
และคำพูดของจิ่วเซียนดังกล่าวทำให้ดวงตาที่แสร้งบีบน้ำหลั่งรินอยู่ตลอดเวลาของเสวี่ยเหยาลุกโชนขึ้นมาทันที
“เจ้าเป็นคนนอกอย่ามารบกวนน้องของข้าให้มันมากเกินไป เมื่อสถานการณ์เป็นไปเช่นนี้ขั้นตอนไหนควรข้ามได้ก็น่าจะทำให้สอดคล้องกับความเป็นจริง ยิ่งเปิดโลงออกมาก็จะยิ่งทำให้กลิ่นของเฉียนเฉียนกระจายไปทั่ว”เสวี่ยเหยาพูดเสียงเข้มบ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
“ละ..แล้ว..”เสวี่ยเหยากำลังพูดสำทับขึ้นมาอีกแต่ก็ต้องเงียบลงทันที เมื่อท่านเจ้าเมืองยกมือขึ้นเป็นสัญญาณห้าม
“ไม่ต้องเถียงกันแล้ว! เปิดโลงเดี๋ยวนี้! ข้าอยากเห็นหน้าเฉียนเฉียนอีกครั้ง จะเน่าเหม็นแค่ไหนนางก็คือลูกสาวของข้า หากผู้ใดไม่สามารถทนกลิ่นเหม็นไม่ได้ก็ออกไปยืนห่างๆ ไม่ต้องเข้ามาใกล้”หยางผิงสั่งการเสียงเฉียบขาด
สิ้นถ้อยเจรจาและไร้เสียงตอบโต้ใดๆ ทั้งสิ้นเมื่อท่านเจ้าเมืองออกคำสั่งเช่นนั้น เหงื่อแต่ละคนเริ่มผุดพรายขึ้นเต็มใบหน้าของกลุ่มชายฉกรรจ์ที่เสวี่ยเหยาติดสินบน แต่ละคนพากันกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะพยักหน้าช่วยกันยกฝาโลงอันหนักอึ้ง ซึ่งทำจากไม้สนอย่างดีเพื่อเปิดให้เห็นหน้าคนตายก่อนฝังเป็นครั้งสุดท้าย
ครืดดดด!!! ฝาโลงถูกยกออกอย่างรวดเร็ว พร้อมกลิ่นเหม็นพวยพุ่งออกมาทันที
หวะ! หวะ! ญาติสนิทที่มาร่วมงานหลายคนทำท่าพะอืดพะอมแทบจะคายของเก่าออกมาเสียให้ได้ แต่บางคนก็พุ่งพรวดออกมาทันทีรวมไปถึงจิ่วเซียนก็มีอาการเหล่านั้นเช่นกัน
แต่นางรีบใช้ผ้าปิดจมูกของตัวเองเอาไว้ให้แน่นพร้อมรีบพุ่งตรงเข้าไปหาเพื่อนรัก เกาะขอบโลงเอาไว้แน่นพร้อมท่านเจ้าเมืองและหวังฮูหยิน ที่กำลังก้มลงมองดูบุตรสาวที่กำลังขึ้นอืดได้ที่ โดยไม่แสดงความรังเกียจแม้แต่น้อย
สองมือกำลังแหวกดอกไม้หวนคืนที่ปกคลุมร่างไร้วิญญาณเพื่อดูหน้าบุตรสาวเป็นครั้งสุดท้าย ท่ามกลางสายตาของเสวี่ยเหยาที่ยืนจ้องอยู่ตลอดเวลาพลางเดินเข้าไปหาชายที่เป็นหัวหน้าดูแลจัดงานในพิธีศพ
“พวกเจ้าจัดการลอยแพศพหยางเฉียนเฉียนไปอยู่กลางทะเลเรียบร้อยดีแล้วรึ”เสวี่ยเหยากระซิบถามด้วยความอยากรู้
“เรียบร้อยตามที่ท่านหญิงสั่งทุกประการขอรับ อีกไม่นานพอร่างเริ่มเน่าบรรดานกแร้งรวมไปถึงนกชนิดอื่น ก็จะพากันรุมทึ้งจิกกินเป็นอาหาร”
รอยแสยะยิ้มเหยียดปรากฏออกมาบนใบหน้างาม ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันที
“แล้วเหตุไฉนใยเจ้าจึงไม่มีวิธีใดๆ ที่จะให้ท่านพ่อท่านแม่ไม่ต้องเห็นใบหน้าของศพอีก แค่เพียงพิศก็มองออกแล้วว่าศพของหญิงผู้นั้นมิใช่เฉียนเฉียนแม้แต่น้อย นางทั้งผอมและตัวเล็กจะไปเทียบเท่ากับคนเจ้าเนื้อได้เยี่ยงไรทำงานไม่ได้เรื่อง!”เสวี่ยเหยาต่อว่าเสียงเข้มกลับไป
“ข้าน้อยพยายามทำทุกอย่างแล้วนะขอรับท่านหญิง แต่ในเมื่อท่านเจ้าเมืองยืนกรานออกมาเช่นนั้นจะทำเช่นไรได้ คงต้องปล่อยตามลิขิตของสวรรค์เถิดเพราะตอนนี้ศพของสตรีผู้นั้นกำลังเริ่มเน่าและขึ้นอืดจนเต็มที่ หน้าตาแปรเปลี่ยนจนมิเหลือเค้าโครงเดิมแล้วขอรับ”
และคำตอบดังกล่าวทำให้หยางเสวี่ยเหยาต้องยืนกำมือเข้าหากันจนแน่นด้วยใจเต้นระทึก ไม่มีวิธีอื่นใดแล้วหรือไรที่จะมิให้ผู้ใดเห็นหน้าศพในโลงนั้นได้อีกต่อไป
ทันใดนั้นเอง
จู่ๆ หวังฮูหยินก็เกิดมีอาการหน้ามืดขึ้นมาเสียดื้อๆ ในขณะที่กำลังก้มลงมองบุตรีของนาง ร่างอวบทรุดฮวบเกาะขอบโลงเอาไว้ทันที ท่ามกลางเสียงร้องเรียกของท่านเจ้าเมือง
“ฮูหยิน!ฮูหยิน!”สองมือรีบประคองร่างอวบให้ลุกขึ้นพร้อมรีบอุ้มออกจากบริเวณดังกล่าวทันที
“รีบปิดฝาโลง! ทำพิธีฝังได้เลย”เสียงตะโกนของหยางผิงสั่งดังก้อง และนั่นทำให้เสวี่ยเหยาถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างแรงด้วยความโล่งอกครั้นได้ยินเช่นนั้น
ในขณะที่จิ่วเซียนกำลังดึงดอกไม้หวนคืนพ้นออกไปจากบริเวณใบหน้าของเพื่อนรักเข้าให้พอดี ทำให้นางเห็นโฉมหน้าคนที่กำลังนอนอยู่ในร่างไปอย่างฉิวเฉียด ทว่าแม้จะไม่ชัดเจนแต่ก็พอมองออกว่าไม่มีเค้าโครงหน้าของหยางเฉียนเฉียน
ฉับพลัน ฝาโลงก็ถูกนำมาวางทาบทับจนร่างเล็กๆ ของนางต้องรีบถอยห่างออกจากโลงมาอย่างรวดเร็ว
“ทะ...ทำ...ทำไม...ข้าถึงได้เห็นเฉียนเฉียนหน้าเปลี่ยนไป” จิ่วเซียนรำพึงออกมาเบาๆ ด้วยความแปลกใจมิรู้วาย
“แต่จะว่าไปแล้ว นางก็ตายมาสี่วันดอกไม้หวนคืนอาจจะไม่สามารถทำให้สภาพศพคงรูปกายเดิมอยู่ได้จนถึงวันนี้ก็อาจเป็นไปได้ ร่างย่อมเปลี่ยนแปลงไปและต้องขึ้นอืดเป็นของธรรมดา จะเหลือเค้าโครงเดิมได้อย่างไรกัน ข้านี่ก็แปลกคิดอะไรผิดไปกว่าผู้คนไปได้”จิ่วเซียนพูดพร้อมเดินถอยหลังออกมายืนมอง กลุ่มชายฉกรรจ์พากันจัดการศพของเพื่อนรักด้วยความสงบ
เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยามพิธีฝังศพของหยางเฉียนเฉียน เป็นอันเสร็จสิ้นพิธี เครื่องเซ่นมากมายพร้อมกำยานหอมส่งกลิ่นพวยพุ่งตลบอบอวลจนเต็มไปหมด
เสียงฝีเท้าของผู้คนเริ่มถอยห่างออกจากหลุมศพดังกล่าว หันหลังเดินกลับขึ้นไปบนเรือดั่งเดิมเพื่อกลับไปใช้ชีวิตที่ยังหลงเหลืออยู่ ส่วนคนตายก็ถูกฝังไว้ใต้ผืนดินไปชั่วนิรันดร์
ท่ามกลางสายตาอันแข็งกร้าวของเสวี่ยเหยาที่ยืนมองหลุมศพของหยางเฉียนเฉียนอยู่ในขณะนั้น ซึ่งคนที่นอนอยู่ในโลงดังกล่าวเป็นหญิงสาวนิรนามไร้ญาติขาดมิตรป่วยตายอย่างอนาถาไร้สิ้นผู้ใดเหลียวและไร้สิ้นทำพิธีฝังศพแต่อย่างใด
หากแต่นางกลับกลายเป็นผู้โชคดีที่ได้นอนอยู่ในโลงดังกล่าวแทนหยางเฉียนเฉียนตัวจริง ที่ถูกเสวี่ยเหยานำร่างลอยแพอยู่กลางทะเลเพื่อมิให้ศพถูกฝังตามประเพณี มิให้นางเดินทางไปยังปรโลกอย่างสงบ ไร้สิ้นญาติมิตรเซ่นไหว้และระลึกถึงแต่อย่างใด
“จบสิ้นกันเสียที นับตั้งแต่นี้ต่อไปชีวิตของข้าจะมีแต่สิ่งที่ดีและสวยงาม เมื่อไม่มีคนเช่นเจ้า..หยางเฉียนเฉียน!!!”