“เห็นเพื่อนเก่ามาเยือนถึงกับตะลึงอ้าปากค้างเลยหรือท่านชีคผู้ยิ่งใหญ่”
ภูริชเหน็บแนมอีกฝ่าย ก่อนจะกวาดสายตามองรอบๆ ห้อง พอดวงตาคมกริบมองปะทะกับหญิงงามร่างเล็ก ซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ และจับต้นแขนของชีคฟารีสต์ไว้แน่น ก็นึกโมโหอีกฝ่ายขึ้นมาทันที
“ไอ้ชีคจอมบ้ากาม มีนางบำเรออยู่ทั้งคนแล้วยังจะกักขังจันทร์เจ้าไว้อีก”
ภูริชเค้นเสียงตะโกนด่าออกมาดังๆ พร้อมกับกวาดสายตามองเจ้าหญิงฟาติยา ที่เขาเข้าใจผิดคิดว่าเป็นนางบำเรอของชีคฟารีสต์ ตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาเหยียดหยาม
ทางด้านของชีคฟารีสต์กับเจ้าหญิงฟาติยากัดฟันกรอดๆ ด้วยความโกรธ และก่อนที่จะมีใครคาดถึง เจ้าหญิงฟาติยาได้กำมือแน่น เดินเร็วๆ ไปหาผู้ชายปากจัด ก่อนจะซัดฝ่ามือบนใบหน้าหล่อเหลาของเจ้าพ่อแห่งคิง ออฟ พาราไดซ์เต็มแรง!
เผียะ!!!
ฝากรอยนิ้วทั้งห้าบนใบหน้าของภูริชแล้ว เจ้าหญิงฟาติยาก็เค้นเสียงด่าด้วยความโกรธสุดขีด
“ปากดีแบบนี้ เฉือนให้อีแร้งกินดีไหม”
ภูริชยิ้มหยันตรงมุมปาก ยกมือลูบใบหน้าตรงบริเวณที่เขามั่นใจว่าหากส่องกระจกคงได้เห็นรอยนิ้วมือทั้งห้าแน่ จากนั้นก็ทอดสายตาจ้องมองคนที่ตบหน้าด้วยสายตาจาบจ้วง ก่อนจะเอ่ยถากถางอย่างคะนองปาก
“มือหนักใช้ได้ ปากคอก็แสนเราะร้าย น่าจับมาขยี้จูบให้ขาดใจ ว่างจากชีคฟารีสต์เมื่อไร พี่ขอจ้องคิวเป็นคนแรกเลยนะน้องสาว”
“กรี๊ดดด!!! ไอ้บ้า ไอ้คนเถื่อน ไอ้คนถ่อย!”
เจ้าหญิงฟาติยาร้องกรี๊ดดังลั่นด้วยความโกรธ เกิดมาไม่เคยมีใครหยาบคายกับเธอเช่นนี้มาก่อน มือเล็กกางเล็บทั้งสิบเตรียมจะโผเข้าไปข่วนหน้า ข่วนลูกตาที่จ้องมองเธออย่างจาบจ้วงให้หลุดออกจากเบ้าตา
“ติยา! หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
ชีคฟารีสต์รีบกระโจนมาตะครุบร่างบอบบางไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะโผเข้าไปทำร้ายภูริช ซึ่งการที่พระองค์จับตัวขนิษฐาไว้ ไม่ใช่เพราะห่วงสวัสดิภาพของภูริช แต่พระองค์เกรงว่าขนิษฐาจะถูกภูริชทำร้ายด้วยรสจูบตามที่อีกฝ่ายได้เอ่ยออกมา
ภูริชหัวเราะร่วนเมื่อเห็นชีคฟารีสต์กระโจนมาจับตัวเจ้าหญิงฟาติยาไว้ จากนั้นก็เค้นเสียงเยาะหยันต่อ
“นั่น! แบบนั้นแหละ จับนางแมวยั่วสวาทของพระองค์ไว้ให้ดี อย่าให้เพ่นพ่านหลุดมาได้ ไม่เช่นนั้นผมจับโยนขึ้นเตียงแน่”
“ไอ้บ้า! ไอ้คนชั่ว ฉันไม่ใช่นางบำเรอ” เจ้าหญิงฟาติยาตะโกนด่า ถีบเท้าใส่บุรุษปากจัดทั้งๆ ที่ถูกเชษฐาล็อคตัวไว้แน่น
“ไม่ให้เข้าใจว่าเป็นนางบำเรอ แล้วจะให้เข้าใจว่าเป็นอะไรดี”
ภูริชถามเยาะหยัน ทิ้งสายตาจ้องมองที่เรียวปากอิ่มสีกุหลาบ และปทุมถันเต็ง
ตึงซึ่งดุนดันเสื้อผ้าที่สวมใส่ด้วยสายตาอ้อยอิ่งแสนจะจาบจ้วง
“หยุดได้แล้วไอ้ตะวัน ติยาเป็นน้องสาวของเรา ไม่ใช่นางบำเรอ ไม่ใช่นางในฮาเร็มอย่างที่เจ้าคิด”
ชีคฟารีสต์ตะคอกห้าม พร้อมกับบอกความจริงถึงฐานะของเจ้าหญิงฟาติยา ก่อนที่อีกฝ่ายจะเข้าใจผิดพูดจาลวนลามขนิษฐาของพระองค์ไปมากกว่านี้
ภูริชแสดงอาการตกใจให้เห็นเพียงครู่เดียว ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แล้วเอ่ยขอโทษด้วยท่าทียียวนกวนประสาทเจ้าหญิงฟาติยาเป็นที่สุด
“โอ๊ะโอ๋! ขอโทษด้วย ไม่นึกว่าสาวน้อยแสนเร่าร้อนคนนี้จะเป็นขนิษฐาของพระองค์”
ปากนั้นเอ่ยขอโทษ แต่ดวงตาคมกริบกลับเต้นระริกด้วยความขบขำ ตอนที่เห็นเจ้าหญิงฟาติยากัดฟันกรอด จ้องมองเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“นายมาประเทศอัสดารานส์ทำไมไอ้ตะวัน”
ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายได้ประกาศก้อง และรู้เจตนาของภูริชอยู่แล้ว แต่ชีคฟารีสต์ก็ยังหลุดปากเอ่ยถามคู่แค้นจนได้
“ผมมารับจันทร์เจ้ากลับบ้าน จันทร์เจ้าถูกท่านทำร้ายมามากพอแล้ว ผมจะไม่ให้น้องสาวของผมต้องอยู่เป็นของเล่นของท่านชีคอีกต่อไป”
คราวนี้ภูริชเอ่ยตอบเสียงเย็น ดวงตาดำสนิทเปล่งประกายแรงกล้า ไม่มีแววล้อเล่นเหมือนเมื่อครู่ที่ผ่านมา
“จันทร์เจ้าอยู่ไหน ทำไมท่านไม่ให้จันทร์เจ้าออกมาพบผม”
คำถามของภูริช ทำเอาใบหน้าคมเข้มของชีคฟารีสต์ถอดสีซีด ก่อนจะตอบออกมาอย่างช้าๆ ด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความเสียใจอย่างยิ่ง
“จันทร์เจ้า...ถูกจับตัวไป”
“อะไรนะ!”
ภูริชร้องตะโกนถามเสียงหลง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ นาทีต่อมาก็
ประเคนหมัดหนักเข้าเต็มปากเต็มจมูกของชีคฟารีสต์
ผัวะ!!!
“ไอ้ชีคบ้า! ทำไมไม่ดูแลจันทร์เจ้าให้ดีๆ”
ผัวะ!!!
“เราดูแลดีที่สุดแล้วโว๊ย!”
สองสิงห์ต่างผลัดกันส่งหมัดเข้าปะทะใบหน้าของแต่ละฝ่าย จนเลือดกบปาก สร้างความตกใจให้กับทุกคนในห้องเป็นอย่างมาก แต่กระนั้นก็ไม่มีใครกล้าเป็นกรรมการห้ามมวยคู่เอกคู่นี้
ภูริชถอยห่างออกมาตั้งหลักนิดหนึ่ง ก่อนจะเช็ดเลือดออกจากปากของตนเอง แล้วตะโกนด่าชีคฟารีสต์ต่อ
“ดูแลดียังไงว่ะ จันทร์เจ้าถึงถูกคนร้ายจับตัวไปได้”
เจ้าหญิงฟาติยาทนเห็นบุรุษหนุ่มทั้งสองห้ำหั่นกันต่อไม่ไหว โดยเฉพาะผู้ชายปากจัดที่ตะโกนด่าเธอและเชษฐาป่าวๆ โดยไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง จึงก้าวเท้าเข้าหาผู้ชายปาก
จัดที่ยังไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนาม ก่อนจะผลักอกอีกฝ่ายเต็มแรง แล้วตะคอกด่ากลับด้วยความโมโห
“นี่! ไอ้ผู้ชายปากกรรไกร หยุดทะเลาะกับท่านพี่ของฉันได้แล้ว ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาทะเลาะกัน นายควรร่วมมือกับท่านพี่เพื่อตามหาจันทร์เจ้าให้พบโดยเร็วที่สุด ก่อนที่เธอจะถูกทำร้ายได้”
ไม่ใช่แค่ภูริชเท่านั้นที่ได้สติ ชีคฟารีสต์เองก็เริ่มคิดได้ จึงหันหลังกลับแล้วเดินไปหาองครักษ์ทั้งสิบคนที่เป็นทีมค้นหา ก่อนจะสั่งงานและหันไปถามหญิงรับใช้ที่ชื่อนัยราน ซึ่งอยู่ในทีมค้นหาด้วย
“ทุกคนเตรียมอาวุธให้พร้อม เราจะออกเดินทางเดี๋ยวนี้ นัยราน เจ้ามั่นใจใช่ไหมว่าเจ้าชายอะเดลีจะพาพระชายาไปที่ชายแดนประเทศอะเดลา”
“มั่นใจเพคะ หม่อมฉันเคยได้ยินองครักษ์ของเจ้าชายอะเดลีพูดกันปากต่อปาก
อย่างสนุกสนานว่า เจ้าชายอะเดลีมีรังรักอยู่ที่ชายแดนประเทศ ที่นั่นพระองค์จะขังหญิงสาวไว้คอยบำเรอรัก พอเบื่อแล้วก็จะส่งไปขายยังตลาดค้าทาสที่อยู่ใกล้ๆ กันเพคะ”
นัยรานเอ่ยตอบด้วยความมั่นใจ ตอนนี้ได้แต่ภาวนาให้พระชายาจิลลาภัทรปลอดภัย อย่าได้ถูกคนชั่วช้าสามานย์ใจสกปรกยิ่งกว่าสัตว์นรกทำร้ายเอา
“ถ้ายังงั้นไปกันได้แล้ว”
ชีคฟารีสต์สั่งเสียงเข้ม พร้อมกับคว้าอาวุธปืนเก็บเสียงสองกระบอกมาสอดเข้าตรงสีข้าง จากนั้นก็เดินออกจากตำหนัก โดยมีองครักษ์ทั้งสิบคนและนัยราน ซึ่งมีอาวุธครบมือเดินตามหลังมาติดๆ