ตลอดระยะเวลา 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา เหมยลี่เรียนรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตัวในโลกที่แปลกประหลาดนี้ โดยหญิงสาว มักจะจ้องมองไปที่โทรศัพท์ที่ถูกปิดเอาไว้ ด้วยสีหน้าลำบากใจ เพราะแบตเตอรี่สำรองที่หญิงสาวมี ก็ใกล้จะใช้หมดแล้ว สีหน้าของหญิงสาวจึงเต็มไปด้วยความวิตกกังวล นี่ถือว่าเป็น อุปกรณ์ป้องกันตัวในโลกนี้เชียวนะ มันคือของวิเศษของแม่มดร้ายอย่างเธอเลยทีเดียว หากไม่มีมันแล้ว เธอยังจะสามารถเสกของวิเศษอันใดเพื่อไว้ป้องกันตัวได้อีก
เมื่อคิดถึงว่าตนเองได้กลายเป็นแม่มดและปีศาจร้ายไปเสียแล้ว หญิงสาวก็ได้แต่หัวเราะกับความคิดไร้สาระนั้นของตนเอง
"เฮ้อ ทำยังไงถึงจะได้กลับไปนะ"
"เจ้ามีคนให้คิดถึงยังที่แห่งนั้นหรือ"
ทันใดนั้นเสียงทุ้มลึก ก็ได้ดังขึ้นด้านหลังของเหมยลี่ เธอหันกลับไปมองเขา และหันกลับมาสนใจกับสิ่งของตนหน้าของตนเองแทบจะทันที คล้ายกับว่าการปรากฏตัวของเขาเป็นเรื่องที่คุ้นชินไปเสียแล้วสำหรับเธอ
"ย่อมต้องมีคนให้คิดถึงอยู่แล้ว ข้าไม่ได้ตัวเปล่าเล่าเปลือยไร้ซึ่งญาติมิตรสหายเสียเมื่อใด"
"เจ้าอยากกลับไปหรือ"
คิ้วใบหลิวที่ถูกขมวดเข้าหากันแน่น นี่มันเป็นคำถาม ที่นางต้องตอบจริงๆ หรือ ผู้ใดกันจากบ้านเกิดของตนเองมาแล้วจะไม่คิดอยากกลับไป
"ที่สุดเจ้าค่ะ"
ดวงตาของบุรุษสูงศักดิ์ถึงกับวูบไหวไปมา เมื่อได้ยินคำตอบของนาง เหตุใดเขาถึงได้หวังว่านางจะตอบว่าอยากอยู่ที่นี่กันนะ ในโลกที่แปลกประหลาดนี้มีสิ่งใดที่จะสามารถเหนี่ยวรั้งนางไว้ได้กัน แม้แต่ตัวเขาเองก็ได้แต่ตกตะลึง เมื่อคิดได้ว่าเหตุใดเขาจะต้องอยากให้นางอยู่ที่นี่ด้วย นี่เขาเป็นบ้าอันใดไปเสียแล้ว บุรุษที่ไม่เคยคิดถึงสิ่งใดนอกจากตัวเองเช่นเขา เหตุใดในช่วงนี้ถึงได้มีแต่ใบหน้างามคอยวนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา
"อยากออกไปชมบรรยากาศรอบเมืองหลวงหรือไม่"
"ได้หรือ" สีหน้าของเหมยลี่เต็มไปด้วยความดีใจหากตอนนี้หูของนางกระดิกได้นางคงทำไปแล้ว หญิงสาวค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ บุรุษตรงหน้า ด้วยท่าทีออดอ้อน
"ท่านจะพาข้าไปจริงๆ หรือเจ้าคะ"
"เป็นเช่นนั้น"
"งั้นข้าพาพี่ไห่อิงไปด้วยได้หรือไม่"
"เกรงว่าในตอนนี้นางคงจะมีเรื่องให้ต้องจัดการกระมัง"
"หือ พี่สาวมีเรื่องอะไรให้ต้องจัดการกระนั้นหรือเหตุใดที่สาวถึงไม่ได้บอกแก่ข้าเล่า ข้าจะได้ช่วยนางจัดการ"
"เกรงว่าเรื่องนี้เจ้าคงจะสอดมือเข้าไปช่วยนางไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องของ สามีภรรยา"
"ว่าอะไรนะเจ้าคะบุรุษหน้าไม่อายผู้นั้นมาหาพี่สาวกระนั้นหรือ ไม่ได้เดี๋ยวข้าจะต้องไปจัดการบุรุษผู้นั้นเสียแล้ว"
"หยุดก่อน เจ้าอย่าได้ยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องของพวกเขาเลย ให้พวกเขาได้มีโอกาสพูดคุยกันเถิด หากหลี่ไห่อิง มีเรื่องอันใดที่จะจัดการ ก็จะได้ตัดสินใจเสียนางจะได้ไม่ต้องรู้สึกค้างคาอยู่เช่นนี้ เกรงว่าตอนนี้องครักษ์จางหมิงคงจะสืบทราบความจริงทั้งหมดแล้วกระมัง"
"เจ้าค่ะ" เหมยลี่ได้แต่พยักหน้ารับอย่างจำยอม ถึงอย่างไรนางก็เป็นแค่เพียงคนนอกสำหรับพวกเขา ให้เวลาพวกเขาได้เปิดใจคุยกันคงจะเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้วกระมัง
"หึ.!!! นี่อย่างไรเล่าถึงต้องเป็นเหตุผลที่สตรีควรจะมีอำนาจของตนเอง โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาบุรุษ มีเงิน มีอำนาจอยู่ในมือก็ไม่จำเป็นต้องง้อบุรุษที่ชอบมีความสัมพันธ์กับสตรีไม่เลือกหน้า โดยไม่เกรงใจภรรยาเช่นนี้หรอก อย่างน้อยๆ หากบุรุษเหล่านั้นคิดจะทำอันใด จะได้รู้สึกเกรงใจผู้เป็นภรรยาอยู่บ้าง หากบุรุษผู้นั้นคิดจะมีสตรีอื่นเป็นข้าคอยดูเถิด ข้าคงไม่สามารถยิ้มรับอย่างหน้าชื่นตาบานเช่นนี้ได้เป็นแน่"
"หากเป็นเจ้าจะทำเช่นไรหรือ" เกาเจี้ยนหานอดที่จะกล่าวเย้านางไม่ได้ เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางที่จริงจังนั้นเขาได้แต่รู้สึกขบขันไปกับการแสดงออกของนาง ที่ไม่สามารถพบเห็นได้ในสตรียุคสมัยนี้
"หากเป็นข้าจะจับเจ้านั่นของบุรุษเฉือนไปให้เป็ดกินเสียให้รู้แล้วรู้รอด" พร้อมกับทำมือตัดฉับกลางอากาศ จนแม้แต่เกาเจี้ยนหานเองยังต้องรีบหุบขาของตนเองแทบไม่ทัน
"พูดเรื่องนี้ไปก็รู้สึกรังแต่จะเสียอารมณ์ข้าไปแต่งตัวออกไปข้างนอกพร้อมกับเจี้ยนเกอจะดีกว่า"
เมื่อได้เห็นว่านางได้จากไปแล้ว เกาเจี้ยนหานได้แต่รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ไปกับท่าทางเมื่อสักครู่นี้ของนาง เหตุใดนางถึงได้แก่นแก้วถึงขนาดกล้าแสดงกิริยาเหล่านั้นออกมาต่อหน้าบุรุษเช่นเขาได้
"นางช่างให้ความรู้สึกที่น่ากลัวเสียจริง"
เหล่าองครักษ์ที่อารักขาอยู่บริเวณโดยรอบ ถึงกับรู้สึกไม่เชื่อหูตนเอง ว่าจะได้ยินประโยคนี้ออกมาจากปากของบุรุษ ที่ได้ชื่อว่าไม่เคยกลัวเกรงกับสิ่งใดมาก่อน ตลอดระยะ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา พวกเขารู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงไปของผู้เป็นนายอย่างชัดเจน นี่คงจะเป็นผลจากสตรีผู้นั้นกระมัง ทั้งรอยยิ้มที่ไม่เคยปรากฏและยังอารมณ์ที่ดูจะเปลี่ยนแปลงอย่างง่ายดายเพียงแค่สตรีผู้นั้นรู้สึกไม่พอใจ เห็นทีว่าตำหนักอ๋องแห่งนี้ คงจะมีเรื่องมงคลเกิดขึ้นอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเป็นแน่
เหมยลี่ในอาภรณ์สีชมพูอ่อน ถูกปักด้วยลายดอกเหมย ใบหน้าถูกประทินโฉมด้วยเครื่องประทินโฉมที่ทันสมัยความงดงามของนางเพียงแค่ได้จ้องมอง ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นตะลึงได้แล้ว ทุกการเคลื่อนไหวของนางชวนให้น่าจับตามองจนไม่อาจละสายตาออกไปได้ เกาเจี้ยนหานจึงได้แต่คิ้วกระตุก เขาไม่น่าเอ่ยปากชวนนางออกไปข้างนอกเลย ความรู้สึกไม่พอใจปะทุขึ้นมาอย่างท่วมท้น แค่เพียงคิดว่าบุรุษอื่นก็จะสามารถได้เห็นใบหน้าที่งดงามนี้ของนางเช่นกัน
"เจ้าจะแต่งกายงดงามเกินไปหรือไม่" จากที่มีใบหน้ายิ้มร่า เมื่อเหมยลี่ได้ยินประโยคนี้ถึงกับคิ้วกระตุก และหุบยิ้มลงโดยฉับพลัน
"ก็ข้างดงามอยู่แล้ว ประทินโฉมแค่เพียงบางเบาจึงยิ่งทำให้งดงามเพิ่มขึ้นอีกเจี้ยนเกอ จะให้ข้าทำเช่นใดเล่า นี่ข้าก็ลำบากใจยิ่งนัก" เหมยลี่แสดงสีหน้าท่าทางลำบากใจจริงๆ กับความงามที่ตนเองมี นั่นยิ่งทำให้เกาเจี้ยนหานคิ้วกระตุกแค่เพียงนางกล่าวจบ
สตรีผู้นี้ช่างหลงตนเองจนกู่ไม่กลับเสียแล้ว
"งั้นก็สวมนี่เอาไว้เสีย" เกาเจี้ยนหานยื่นหมวกคลุมหน้าไปให้กับนาง โดยไม่เปลี่ยนสีหน้าแต่อย่างใด การกระทำของเขาถึงกับทำให้เหมยลี่ รู้สึกอยากจะกระโจนเข้าไป ข่วนใบหน้านั้นของเขาเสียจริง นี่นางอุตส่าห์ลงทุนจัดหนัก จัดเต็ม เพื่อที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกหลงใหลไปกับความงามของนางเลยทีเดียวเชียวนะ แล้วนี่บุรุษสูงศักดิ์ผู้นี้ทำสิ่งใด เวลาครึ่งชั่วยามที่ผ่านมายังจะมีความหมายได้อีกหรือ
เมื่อเกาเจี้ยนหาน เห็นว่านางไม่รับสิ่งของที่ตนมอบให้ไปเสียที เขาจึงหันหลังและเอ่ยประโยคที่ทำให้หญิงสาวต้องรีบทำตามอย่างว่องไว
"งั้นก็ไม่ต้องไป"
"เอามาเลยเจ้าค่ะ ไม่เห็นจำเป็นต้องขู่เลย" เหมยลี่รับหมวกคลุมหน้าผืนนั้นมาด้วยท่าทีฟึดฟัดและเดินไปขึ้นรถม้าพร้อมกันกับเขาด้วยความไม่พอใจ แต่เกาเจี้ยนหานกลับเดินตามหลังนางมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มมีความสุขที่ยากจะหาดูได้ยากแทน
เมื่อเหมยลี่ได้เห็นถึงสิ่งปลูกสร้างและทัศนียภาพของเมืองหลวงในยุคโบราณนี้ ก็ทำให้นางลืมสิ้นถึงความไม่พอใจก่อนหน้า หญิงสาวได้แต่เกาะขอบหน้าต่างรถม้า มองสองข้างทางอย่างมีความสุข ความตื่นตาตื่นใจที่ได้พบเห็นทำให้นางยกยิ้มอย่างพอใจไปจนตลอดทาง
"อันนั้นเรียกว่าอะไร" นิ้วเรียวเล็กได้ชี้ไปยังจุดนั้นจุดนี้ด้วยความสงสัย และก็ดีที่มีเกาเจี้ยนหาน คอยยื่นหน้ามาเพื่อไขข้อข้องใจให้กับนางเป็นระยะ จึงทำให้ตอนนี้ทั้งสองอยู่ในท่าที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกันจนชายหนุ่มได้กลิ่นหอมอ่อนๆ มาจากตัวนาง จนเขาเผลอสูดดมอย่างลืมตัว จึงทำให้มีบางอย่างในร่างกายของบุรุษเพศเช่นเขาปะทุขึ้นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่เพราะความตื่นตาตื่นใจกับครั้งแรกที่ได้พบเจอกับสถานที่อันแปลกประหลาด จึงทำให้เหมยลี่ไม่ได้คิดถึงระยะห่างของพวกเขาในตอนนี้แต่อย่างใด
"ที่นั่นเรียกว่าเหลาอาหาร"
"ส่วนที่นั่นเรียกว่าโรงประมูล"
"แล้วที่มีสตรีแต่งกายด้วยอาภรณ์น้อยชิ้นตรงนั้น ใช่หอโคมเขียวหรือไม่เจ้าคะ"
"ไม่ผิด"
"อ้า ข้าอยากไปที่แห่งนั้นเจ้าค่ะ เจี้ยนเกอพาข้าไปจะได้หรือไม่"
เกาเจี้ยนหาน เมื่อได้ยินถึงสถานที่ที่นางชอบใจเป็นพิเศษแล้ว ก็ได้แต่คิ้วกระตุกมีสตรีดีๆ ผู้ใด อยากจะไปสถานที่อโคจรแห่งนั้นบ้างกันเล่า คงจะมีเพียงสตรีซุกซนนางนี้กระมัง ที่มีความคิดแปลกประหลาดไม่เหมือนผู้ใดเช่นนี้
"ไม่"
แต่ดูเหมือนว่าคำตอบของเกาเจี้ยนหาน ดูจะไม่เป็นที่พอใจของหญิงสาวเท่าใดนัก เหมยลี่ค่อยๆ ใช้ลูกอ้อนขยับเข้าไปใกล้เขาเพื่อประจบประแจง มิหนำซ้ำเธอยังกอดแขนเขาไว้อย่างสนิทสนมอีกด้วย แต่นางไม่ได้รับรู้เลยว่า ยิ่งนางทำเช่นนี้ยิ่งทำให้ใบหน้าของบุรุษที่นั่งอยู่ด้านข้างของตนเองใบหน้าเขียวคล้ำด้วยความทรมาน
"ท่านจะปฏิเสธคำขอเดียวของข้าจริงๆ หรือ รู้หรือไม่ว่าในโลกก่อนนั้นพวกเขาได้เขียนเอาไว้เกี่ยวกับหอโคมเขียวนี้มากมาย ในเมื่อมาถึงที่เช่นนี้ ข้าก็อยากจะมีโอกาสได้พบเจอสักครั้งหากเสียโอกาสนี้ไปข้าคงรู้สึกเสียใจแย่"
"เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วข้าจะใจอ่อนกระนั้นหรือ"
"หม่อมฉันจะคิดเช่นนั้นได้อย่างไรล่ะเพคะ หม่อมฉันเป็นผู้ใดท่านอ๋องเป็นผู้ใดก็รู้อยู่ หม่อมฉันไม่บังอาจคิดเช่นนั้นหรอก"
เมื่อได้ยินถ้อยคำที่ดูห่างเหินเช่นนั้น เกาเจี้ยนหานก็ได้แต่จ้องมองไปที่ใบหน้างามของนางพร้อมกับเชยคางของนางขึ้นมา เพื่อให้สบตากับตนเอง "รอให้ถึงเวลาพลบค่ำ แล้วค่อยไปก็
แล้วกัน"
"เจี้ยนเกอ ใจดีเป็นที่สุด" เหมยลี่แนบใบหน้าลงไปกับลำแขนแกร่งนั้นของเขาอย่างออดอ้อนเหมือนลูกแมวน้อยอย่างเชื่อฟัง
เกาเจี้ยนหานเอง ก็ไม่รู้เช่นกัน ว่าเหตุใดระยะเวลาอันสั้นนี้ เขาถึงได้เปลี่ยนไปให้ความสนใจกับความรู้สึกของสตรีผู้นี้มากมายนัก สิ่งเดียวที่เขารู้ในตอนนี้ มีเพียงแค่ว่าเขาไม่สามารถทนเห็นใบหน้าที่เศร้าสลดนั้นของนางได้