"เหตุใดในยุคสมัยของเจ้าสตรีถึงมีบทบาทและสิทธิเทียบเท่ากับบุรุษได้กัน ไม่ใช่ว่าสตรีควรที่จะอยู่ในเรือนเพื่อช่วยดูแลความเรียบร้อยให้กับสามีกระนั้นหรือ"
"นี่ไงความคิดของบุรุษก็คิดได้เพียงเท่านี้" เหมยลี่ตบลงไปที่หน้าขาของตนเองอย่างแรงเหมือนกับไม่พอใจ ในประโยคที่เขากล่าวออกมาเมื่อสักครู่นี้ พร้อมกับหันไปถลึงตาใส่เขาก่อนที่จะกล่าวต่อ
"สตรีก็มีความสามารถเทียบเท่าได้กับบุรุษเช่นกันแต่ในยุคสมัยของท่านเพราะไม่เคยให้โอกาสนี้กับพวกนาง ได้แสดงความสามารถจึงไม่รู้ความจริงในข้อนี้เลย สตรีบางคนมีฝีมือและความสามารถมากกว่าบุรุษด้วยซ้ำ บางคนในยุคสมัยของข้า ถึงขนาดได้ขึ้นเป็นผู้นำประเทศ นำพาความเจริญรุ่งเรืองมาให้กับประชาชนอยู่กินกันอย่างสุขสบายก็มี เพราะฉะนั้นท่านจำกัดสิทธิของสตรีเพียงแค่ดูแลความเป็นอยู่ในเรือนก็พอเช่นนั้น มันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย"
เมื่อกล่าวมาถึงเรื่องนี้เหมยลี่ก็มีท่าทีจริงจังเปลี่ยนไปราวกับคนละคน ความสามารถในการแสดงสีหน้าของนาง ถึงกับทำให้เกาเจี้ยนหาน รู้สึกคิ้วกระตุกอย่างช่วยไม่ได้
"ยังไม่เพียงเท่านี้นะเจ้าคะ บุรุษในยุคสมัยของข้านั้น จะไม่สามารถมีมากภรรยาได้ พวกเขาจะมีภรรยาได้แค่เพียง 1 คน ถ้าหากว่าพวกเขาคิดนอกใจเป็นอื่นหรือเปลี่ยนใจจากสตรีผู้นั้นเมื่อใด ก็จะเกิดการหย่าร้างกันขึ้น และสตรีก็สามารถที่จะมีโอกาส ไปมีชีวิตใหม่กับบุรุษอื่นได้อย่างเปิดเผย ไม่ใช่กดขี่ข่มเหงจนสตรีแทบจะ ไร้ซึ่งโอกาสมีชีวิตที่ดีเช่นในยุคของท่านเช่นนี้"
"เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ"
"เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ"
"นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งด้วยกระมังที่เจ้ายื่นมือเข้าช่วยเหลือหลี่ไห่อิง เมื่อพบว่าสตรีถูกกดขี่ข่มเหง"
"เจ้าค่ะ แต่ข้าก็ยังอดสงสัยไม่ได้อยู่ดี เหตุใดบุรุษสูงศักดิ์เช่นท่าน ถึงได้ไปอยู่ยังที่แห่งนั้นได้ มันไม่ใช่ความบังเอิญกระมัง"
เกาเจี้ยนหานเคาะนิ้วของตนเองบนโต๊ะอาหาร พร้อมกับริมฝีปากบิดโค้งขึ้นอย่างถูกใจในความฉลาดของสตรีตรงหน้า "ไม่ผิดข้าแค่อยากจะรู้ว่าการตัดสินใจขององครักษ์คนสนิทของตนเองนั้นจะเป็นเช่นไร แต่ก็ต้องให้รู้สึกผิดหวังเสียจริงที่ผลออกมาเป็นเช่นนี้"
เหมยลี่ได้แต่เลิกคิ้วขึ้นด้วยความฉงน นางเข้าใจในทันทีถึงคำกล่าวประโยคนี้ของเขา พร้อมกับแสดงสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาอย่างชัดเจน "ท่านรู้ว่านางไร้ซึ่งความผิดตั้งแต่แรกแล้ว เหตุใดถึงได้ไม่ยอมยื่นมือเข้าช่วยเหลือ"
"ชีวิตของนางหาได้เกี่ยวข้องอันใดกับข้า แต่เป็นการตัดสินใจ ที่ไร้ซึ่งความรอบคอบขององครักษ์จากหมิงต่างหากที่ข้าสนใจ คนที่สามารถอยู่ข้างกายข้าได้ ย่อมต้องมีความสามารถ ไม่ด้อยกว่าผู้ใด และการตัดสินใจในภาวะคับขันก็เช่นเดียวกัน แต่ในวันนี้เขาแสดงให้ข้าได้เห็นแล้วว่า เขาควรที่จะเรียนรู้มากกว่านี้"
"เพียงเท่านี้หรือ ชีวิตของสตรีไม่ได้มีคุณค่าอันใดมากไปกว่านั้นเลยหรือ ความรู้สึกผิดที่หากองครักษ์ของท่านได้รับรู้ความจริง ก็ไม่สำคัญอันใดหรือ ท่านช่างจิตใจคอโหดเหี้ยมนัก"
เหมยลี่แสดงท่าทางไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน ไม่เพียงเท่านั้น นางยังลุกเดินออกไปจากที่ตรงนั้น โดยไม่แม้แต่จะกล่าวลาเขาแม้แต่เพียงประโยคเดียว ท่าทีที่ดูเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนี้ของนาง ถึงกับทำให้บุรุษสูงศักดิ์อย่างเกาเจี้ยนหาน ถึงกับตามไม่ทันเพราะไม่มีผู้ใดเคยแสดงกิริยาเช่นนี้ต่อหน้าเขามาก่อน แต่แทนที่เขาจะรู้สึกไม่พอใจ กลับรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาแทนเสียนี่
"ข้ากล่าวอันใดผิดไป"
ในสายตาของเกาเจี้ยนหาน เต็มไปด้วยความสงสัยเขาหันไปกล่าวกลับหลิวกงกง ที่ยืนใบหน้าตกตะลึงจนอ้าปากค้างอยู่ตรงนั้นอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน กว่าที่หลิวกงกงจะสามารถหาเส้นเสียงของตนเองเจอ ก็เมื่อตอนที่เกาเจี้ยนหานเดินจากไปแล้ว
หลิวกงกงหันไปถามกับนางกำนัลที่คอยรับใช้อยู่บริเวณนั้น ซึ่งในตอนนี้พวกนางก็มีอาการไม่ต่างกันกับเขาเช่นกัน "เมื่อกี้พวกเจ้าได้ยินอย่างที่ข้าได้ยินหรือไม่"
แปลกนักเรื่องประหลาดเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนท่านอ๋องทรงให้ความสนพระทัยกับความรู้สึกของผู้อื่นด้วยกระนั้นหรือ…
หลังจากที่เหมยลี่พุ่งตัวออกมาจากตำหนักใหญ่ของเกาเจี้ยนหาน ด้วยอารมณ์ที่กรุ่นโกรธแล้ว นางก็ตรงดิ่งไปที่ตำหนักหลันฮวา ที่ตนเองได้พำนักอยู่ ซึ่งในตอนนี้หลี่ไห่อิง ได้มารอนางอยู่ในห้องอยู่ก่อนแล้ว ด้วยสีหน้าของผู้ที่เพิ่งเข้ามาเต็มไปด้วยความบูดบึ้ง หลี่ไห่อิงเองจึงไม่รู้ว่าจะกล่าวความใดออกไปดี กลับเป็นเหมยลี่ที่ประชิดเข้ามาถึงตัวของนางเสียก่อน "พี่สาวท่านวางใจเถิด ข้าได้รับปากแล้วว่าจะช่วยท่าน ก็ต้องช่วยจนถึงที่สุดเรื่อง การหาหลักฐานเพื่อจะพิสูจน์ความเป็นจริงนั้น เอาไว้ข้าจะมามอบมันให้กับมือท่านด้วยตัวข้าเอง"
ที่นางกล่าวออกไปเช่นนี้ก็เพราะมั่นใจแล้วว่า บุรุษผู้เป็นเจ้าของตำหนักแห่งนี้ ต้องมีหลักฐานพิสูจน์ความเป็นจริงทั้งหมดในกำมืออยู่แล้ว นางจึงกล่าวประโยคนั้นออกไปอย่างไม่ลังเล ติดเพียงแต่ว่าบุรุษผู้นั้นจะยอมมอบมันให้กับนางหรือไม่ หากเป็นไปอย่างที่นางคิดนางคงต้องแลกสิ่งใดเป็นการตอบแทนเป็นแน่ กว่าจะแล้วเสร็จมิใช่ว่านางจะหมดตัวเสียก่อนหรือ บุรุษเขี้ยวลากดินผู้นั้น ช่างเข้าใจยากเสียเหลือเกิน
"เจ้าอย่าได้กังวลไปเลยถึงอย่างไรด้วยความสามารถของจางหมิง... คงจะสามารถสืบทราบความจริงมาได้ อย่างแน่นอน แต่ที่ผ่านมาเพราะความโกรธบังตาจึงทำให้เขาเลอะเลือนไป จึงไม่ได้ตระหนักถึงความจริงในข้อนี้ แต่นั่นมันก็ไม่ได้สำคัญกับข้าอีกแล้ว เพราะความจริงเป็นเช่นไรนั้น ข้ารู้ดีเป็นที่สุด ที่ข้ามาพบกับผู้มีพระคุณในตอนนี้ ก็เพียงเพื่อจะกล่าวขอบคุณ กับความช่วยเหลือนี้ หากไม่ได้ผู้มีพระคุณเกรงว่าตอนนี้ข้าคงได้ไปเยือนดินแดนน้ำพุเหลืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว"
หลี่ไห่อิงคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกับโขกศีรษะอย่างแรง จนเหมยลี่แทบจะกระโจนตัวลงไปหยุดยั้งการกระทำนั้นของนางแทบไม่ทัน "พี่สาวท่านอย่าได้ทำเช่นนี้เลย ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก ที่ข้าช่วยเหลือท่านนั้น ไม่ได้ต้องการสิ่งใดตอบแทนจริงๆ "
"จะได้อย่างไรนอกจากคุกเข่าคำนับเป็นการตอบแทนผู้มีพระคุณแล้ว ก็คงจะมีเพียงแค่ชีวิตนี้เท่านั้น ที่จะสามารถตอบแทนได้เพราะตัวของข้าไม่มีสมบัติอันใดติดตัว แม้นแต่เพียงชิ้นเดียว มิหนำซ้ำ เพราะการช่วยเหลือข้า จึงทำให้แม่นางต้องสูญเสียของมีค่าติดกายไปอีก ข้าให้รู้สึกละอายยิ่งนัก"
"เอาเถิดเจ้าค่ะ เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ เพื่อความสบายใจของท่านและข้า ต่อจากนี้ท่านมาเป็นพี่สาวของข้าเถิด ตลอดชีวิตของข้านั้น มีแต่เพียงพี่ชาย ไม่เคยมีพี่สาวมาก่อน หากได้ท่านมาเป็นพี่สาว คงจะรู้สึกดีไม่น้อย ถึงอย่างไรพวกเราก็ได้มีวาสนาได้พานพบ ข้ามีนามว่าเหมยลี่ พี่สาวเล่ามีชื่อแซ่ว่าอันใด"
เหมยลี่พยายามพยุงร่างของหลี่ไห่อิง ขึ้นมาจากพื้น เพื่อให้นางไปนั่งยังเก้าอี้ ให้รู้สึกสะดวกสบายขึ้น เหตุใดคนในยุคสมัยนี้ถึงได้ชอบโขกศีรษะตนเอง เพื่อเป็นการขอบคุณด้วย ดูเอาเถิดหน้าผากของพี่สาวตอนนี้แดงเถือกจนนางเองยังรู้สึกเจ็บแทน
"แม่นางช่างมีน้ำใจกับข้ายิ่งนัก ข้ามีนามว่าหลี่ไห่อิง เป็นเด็กกำพร้า ไร้ซึ่งญาติมิตรสหาย ชีวิตนี้มีเพียงสามีผู้นั้นเป็นที่พึ่ง แต่ในตอนนี้ แม้นแต่บุตรสาวข้าก็คงไม่สามารถกล่าวว่าลานางได้ ชีวิตนี้ช่างอนาถเหลือเกิน"
"เรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจเหล่านั้น อย่าไปคิดถึงมันเลย เราควรที่จะคิดถึงเรื่องในวันพรุ่งนี้จะดีกว่า พวกเราจะใช้ชีวิตเช่นไรต่อไปดี ข้าและท่านดูแล้วคงจะไม่มีของมีค่าอันใดติดตัวเช่นกัน แต่เราทั้งสองจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ ข้าสัญญาว่าจะทำให้ชีวิตของพี่สาวดีขึ้นต่อจากนี้"
ในชีวิตของเหมยลี่ เต็มไปด้วยความลำบาก ไม่ได้โรยด้วยกลีบดอกไม้อย่างเช่นคนอื่น นางจึงต้องต่อสู้ดิ้นรน เพื่อให้ตนเองมีชีวิตที่ดีขึ้น หญิงสาวสูญเสียบิดาและมารดา ไปตั้งแต่อายุได้ 10 ขวบ และเป็นพี่ชายที่คอยเลี้ยงดูนางมาตั้งแต่นั้น ยังดีที่มีสมบัติเก่าของบิดามารดาทิ้งเอาไว้ให้ จึงทำให้ชีวิตของสองพี่น้องไม่ได้ลำบากมากนัก แต่หญิงสาวยึดคติที่ว่า ถึงมีสมบัติมากมายเพียงใด ก็มีวันหมดได้ หากไม่รู้จักหา ดังนั้นเธอจึงเป็นนักสู้ที่มีความอดทน เพียงแค่อายุได้ 13 ปีก็รู้จักขายของหาเงินรายได้มาเลี้ยงตนเอง โดยที่ไม่ได้อาศัยแต่สมบัติเก่า ด้วยความมุ่งมั่นนี้ จึงทำให้เธอสามารถมีเงินเก็บจากการเป็นแม่ค้าออนไลน์ ที่พอจะส่งตนเองเรียนได้อย่างสุขสบาย ด้วยความฉลาดและมุ่งมั่นจึงทำให้เธอประสบความสำเร็จ
ซึ่งบทสนทนาของทั้งคู่ ที่อยู่ในห้องนั้น ก็ได้ตกอยู่ในสายตาของบุรุษสูงศักดิ์ที่แอบอยู่ในมุมหนึ่ง ภายในตำหนักแห่งนี้ เพื่อแอบฟังพวกนางอยู่ ซึ่งเขาได้แต่รู้สึกแปลกประหลาดกับท่าทีที่เป็นกันเอง และไม่ถือตัวของนาง ในหัวสมองของเขาตอนนี้ ก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเขามาทำอันใดยังที่แห่งนี้