ปาริมาหอบหิ้วข้าวของที่ไปจ่ายตลาดเข้ามาไว้หลังบ้าน ที่เป็นบ้านสองชั้น อายุของบ้านหลังนี้ก็เทียบเท่ากับอายุของหญิงสาว แม้บริเวณด้านหน้าจะทำการรีโนเวทใหม่แล้วก็ตาม
เพราะขยายหน้าบ้านให้มีพื้นที่กว้างขวาง สำหรับให้มารดาที่เป็นเชฟเก่าในโรงแรมไว้เปิดร้านขายข้าวแกง ให้คนในละแวกตลาดรับประทาน แม้ร้านจะไม่ใหญ่โตโอ่อ่าหรือมีชื่อเสียงดังกระฉ่อนไปไกล
ทว่าร้านข้าวแกงของป้ามลก็ถือว่าขายดีในละแวกนี้ เพราะฝีมือของนางมลอร่อยถูกปากชาวตลาดและพนักงาน ข้าราชการ
เนื่องจากอยู่ใกล้ศูนย์ราชการประจำจังหวัด รวมไปถึงโรงเรียนและโรงพยาบาล อีกทั้งราคาก็เป็นมิตรกับชาวคณะด้วยซ้ำ แม้วัตถุดิบจะทยอยขึ้นราคา แต่นางมลก็ยังคงราคาไว้เหมือนเดิมไม่ได้ขยับขึ้นตามแต่อย่างใด
“กลับมาแล้วจ้ะแม่จ๋า” ร้องบอกมาตั้งแต่หน้าบ้าน เดินหิ้วข้าวของที่ผู้เป็นแม่ให้ไปซื้อมาวางลงบนโต๊ะในห้องครัว เดินมาดูผัดเปรี้ยวหวานในกระทะใบใหญ่ ที่ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย
“ล้างผักให้แม่ที จะเอามากินกับลาบหมูและน้ำพริก” หันมาบอกลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน ที่ดูยังไงก็ยังไม่โตสักที
ผิดกับลูกชายอีกคน ที่ตอนนี้มีหลานให้นางถึงสองคนด้วยกัน อยู่กับครอบครัวของภรรยาที่
จังหวัดนครนายก จะพาหลานมาเยี่ยมย่ากับปู่เดือนละครั้ง
กลับมาทีอาปลาก็ฟัดหลานฝาแฝดชายหญิงจนหนำใจ และยังแอบน้ำตาซึมตอนหลานขึ้นรถกลับบ้านด้วยซ้ำ
แตงกวาลูกเรียวสวย ถั่วฝักยาว และกะหล่ำปลีถูกนำมาล้างในกะละมังที่สะอาด จับใส่ตะกร้าผึ่งให้สะเด็ดน้ำตามคำสั่งก่อนหน้า
จากนั้นเจ้าของร่างบางที่สูงเพียงหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตร ก็เดินเข้ามาหยุดยืนข้างมารดา ในมือถือถาดสเตนเลสมารอรับผัดเปรี้ยวหวานที่สุกได้ที่
“จะมาถือรอทำไมลูก เดี๋ยวร้อนลวกมือเอา ไปเอาเก้าอี้มาวางไป”
“ไม่ร้อนหรอกจ้ะแม่ หนูเอาผ้าจับอยู่นี่ไง” ยกถาดขึ้นให้แม่ดู ว่ามือสองข้างมีผ้าขนหนูผืนเล็กอยู่จริงๆ
นางมลก็คร้านจะต่อปากต่อคำ ได้แต่ส่ายหน้าไปมา ค่อยๆ ตักผัดเปรี้ยวหวานสีสันน่าทานใส่ถาดอย่างระมัดระวัง ด้วยกลัวจะถูกมือบุตรสาว
อาหารร่วมสิบเมนูถูกนำมาวางเรียงในตู้กระจกใส พร้อมขายในเวลาเจ็ดโมงเช้า หม้อหุงข้าวไฟฟ้าขนาดสิบห้าลิตรสองหม้อวางอยู่โต๊ะด้านข้าง ห่างจากนั้นไม่มาก มีถุงร้อนที่ใช้สำหรับตักกับข้าวและถุงหูหิ้ววางเตรียมพร้อม
ชายวัยหกสิบปีพุงยื่นออกมานิดหน่อยแลดูกอดอุ่น ใส่ผ้ากันเปื้อนสีเขียวเรืองแสง ทำหน้าที่เปิดประตูบ้านต้อนรับลูกค้า เมื่ออาหารเริ่มทยอยออกมาวาง
จากนั้นก็เดินเข้าไปเปิดตู้เย็นในบ้าน หยิบน้ำแดงออกมาจัดการเปิดฝาขวด และหยิบหลอดใส่ลงไป พร้อมด้วยถ้วยข้าวใบเล็กที่ตักอาหารใส่สองสามอย่าง จัดวางอยู่ตรงหน้านางกวักคู่บารมี สวดบริกรรมคาถาสักเล็กน้อยเพื่อความขลัง ของเซ่นไหว้พร้อมขนาดนี้ ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของนางกวัก ที่ต้องทำหน้าที่เรียกลูกค้าให้เข้ามาซื้อดั่งเช่นทุกวัน
“ไข่ดาวร้อนๆ มาแล้วจ้า” เสียงเจื้อยแจ้วร้องมาตั้งแต่ในครัว ก่อนเจ้าตัวจะเดินถือถาดไข่ดาว ที่ยืนทอดเองกับมือมาวางเป็นเมนูสุดท้าย
“เสียงดังนักหนูปลา” เสริฐปรามบุตรสาว ที่ชอบพูดเสียงดังกระโดกกระเดกไม่เรียบร้อยสักเท่าไหร่ คนถูกเอ็ดวางถาดไข่ดาวเสร็จ จึงเดินเข้ามากอดพุงนุ่มๆ เงยหน้ามองบิดาตาปริบๆ
“จ้ะพ่อ” เสริฐถึงกับส่ายหน้าให้ความทะเล้นของบุตรสาว ที่อายุจะยี่สิบสองปีในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่ยังทำตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักโตเสียที
“ซื้อกับข้าวหน่อยจ้า” และหลังจากนั้นสองพ่อลูกก็ไม่มีเวลาว่างได้คุยกันอีก เพราะลูกค้าเริ่มทยอยเข้าร้าน
บ้างก็มานั่งกินก่อนไปทำงาน บ้างก็มาซื้อไปให้คนที่บ้านกินมื้อเช้า คนละถุงสองถุงในราคาที่ไม่ถึงร้อยเสียด้วยซ้ำ
ปาริมาทำหน้าที่เป็นเด็กเสิร์ฟ และคอยคิดเงินให้พ่อกับแม่อย่างคล่องแคล่วว่องไว ไม่มีการคิดเกินมีแต่คิดขาด ไม่รู้ว่าแม่ขายได้กำไรบ้างหรือไม่ หากขาดทุนก็เป็นเพราะปาริมานี่แหละที่คิดขาดไป
ไม่ใช่ว่าคิดผิด แต่เมื่อเห็นเด็กหรือลูกค้าหน้าตาดีเข้าหน่อย ก็แทบจะแถมไข่ดาวให้กินฟรีไปซะหมด
หลังจากเวลาเร่งด่วนหมดไป หน้าร้านเริ่มเงียบลง หน้าที่ต่อไปของปาริมาก็คือเปิดร้านขายกาแฟเล็กๆ หน้าร้าน ที่พ่อเสริฐยอมตามใจ ทุบกำแพงบ้านเพื่อทำร้านกาแฟตามคำร้องขอให้
ใจจริงปาริมาอยากเปิดพร้อมร้านขายข้าวแกง จะได้กลุ่มลูกค้าที่ต้องไปทำงานในช่วงเช้า ทว่าก็กลัวผู้เป็นพ่อจะเหนื่อยเกินไป ที่ต้องรับลูกค้าหน้าร้านข้าวแกงคนเดียว หญิงสาวจึงเลือกที่จะเปิดช่วงสาย ที่ลูกค้าเริ่มทยอยมาน้อยลง
ร้านกาแฟ ป. ปลา คือร้านกาแฟที่ปาริมาตั้งใจทำตามความฝันของตัวเอง แม้ไม่ใช่ร้านใหญ่โต ทว่าลูกค้าก็มาอุดหนุนมากพอสมควร ต้องขอบคุณอานิสงส์จากมารดา เพราะลูกค้าส่วนมากที่มาซื้อกาแฟ ก็เป็นลูกค้าร้านข้าวแกงมารดาทั้งนั้น
อเมริกาโน่แยกน้า พร้อมกับข้อความที่ถูกเขียนลงบนแก้วทุกวันตลอดเวลาสามเดือน เตรียมพร้อมลงในกระเป๋าเก็บความเย็น สำหรับคุณหมอชวิศ คุณหมอสุดหล่อประจำห้องฉุกเฉิน ว่าที่สามีในอนาคตของหญิงสาว
เมื่อเตรียมกาแฟเสร็จ ปาริมาก็ไม่ลืมจะเตรียมข้าวกล่องไปให้ชายหนุ่มทานในมื้อกลางวัน คว้าทัพพีในถาดตักผัดกะเพราใส่ถุง ตามมาด้วยหมูหวานแสนอร่อย
เท่านั้นยังไม่หนำใจ คิดจะเปย์ผู้ชายจะให้กินอดๆ อยากๆ ได้ยังไง หยิบไข่ดาวที่ทอดเองกับมือใส่ถุงไปอีกฟอง พร้อมด้วยข้าวสวยร้อนๆ อีกหนึ่งถุงใหญ่
“พ่อจ๋า ปลาเอากาแฟไปให้พี่ช้างแป๊บนึงนะคะ” คว้ารถจักรยานยนต์คู่ใจ บิดไปยังโรงพยาบาลที่อยู่ห่างจากร้านไม่ถึงหนึ่งกิโลด้วยซ้ำ
เมื่อมาถึงโรงพยาบาล คนที่ขับรถฝ่าแดดฝ่าลมก็ตรวจสอบใบหน้าและผมเผ้า ใช้มือสางให้เข้าที่เข้าทาง เดินยิ้มหน้าบานไปยังห้องฉุกเฉิน ชะเง้อคอมองเข้าไปด้านใน จนพยาบาลประจำเคาน์เตอร์ที่คุ้นเคยเอ่ยทักทาย
“มาหาคุณหมอชวิศเหรอน้องปลา”
“ใช่ค่ะ พี่หมออยู่ไหมคะ” เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“อยู่ค่ะ เดี๋ยวพี่ไปเรียกให้นะคะ”
“ขอบคุณค่ะ” ปาริมาตั้งใจไว้เลย ว่าพรุ่งนี้ต้องนำกาแฟมาฝากพี่แต้มให้ได้ เพราะมาวันไหนพี่แต้มก็คอยเป็นสะพาน ให้เธอได้ทอดไปหาชวิศทุกครั้ง
เพียงไม่นาน ชายหนุ่มหน้าตาดี ผิวพรรณสะอาดสะอ้าน ริมฝีปากหยักสีชมพูน่าจูบ ในชุดกาวน์สีขาว ก็เดินออกมาจากห้องพักแพทย์ ด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก
“ปลาเอากาแฟกับข้าวกลางวันมาให้พี่หมอค่ะ” ยื่นกระเป๋ายังชีพไปให้คนตรงหน้า
หากปาริมาหูไม่ฝาด หญิงสาวคิดว่าตัวเองได้ยินเสียงถอนหายใจของคนตรงหน้า แต่คนที่ความรักขึ้นสมองก็เลือกที่จะไม่สนใจ
“ขอบใจนะ แต่พี่ว่าปลาไม่ต้องทำแบบนี้หรอก พี่เกรงใจ ของซื้อของขาย เดี๋ยวน้ามลกับน้าเสริฐจะว่าเอา” นี่ไม่ใช่ครั้งที่เอ่ยประโยคนี้ออกมา แต่เอ่ยออกมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง แต่ก็เป็นอย่างที่เห็น
“เกรงใจทำไมคะ คนกันเองทั้งนั้น และปลาก็เต็มใจทำให้ว่าที่สามีด้วย”
“ปลา! อย่าพูดอะไรแบบนี้อีก พี่ไม่ชอบ” คนถูกดุหน้าเจือนลงอย่างเห็นได้ชัด
และนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ชวิศเคยเตือนปาริมาไปแล้ว ว่าอย่าพูดอะไรทำนองนี้ในที่สาธารณะ เพราะมันไม่สมควร แล้วอย่างไร เธอฟังเขาที่ไหนกัน
“ขอโทษค่ะ” เอ่ยออกมาหน้าหงอย ชวิศผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ
“กลับร้านไปได้แล้ว” คนถูกไล่มองหน้าชวิศด้วยสายตาตัดพ้อ จนคนถูกมองต้องเอ่ยต่อ
“เผื่อลูกค้ามาซื้อกาแฟ” เท่านี้คนที่มีสีหน้าเหมือนหมาถูกเจ้าของไม่รัก ก็ยิ้มกว้างจนเห็นฟันด้านหน้าแทบทุกซี่
ที่แท้ก็เป็นห่วงกิจการคู่หมั้นตัวเอง คนอะไรน่ารักชะมัด
“งั้นปลากลับก่อนนะคะ พี่หมอทำงานดีๆ นะคะ”
“พี่หมอเสร็จหรือยังคะ” เสียงหวานของผู้หญิงดังขึ้นจากทางด้านหลัง เรียกให้ชวิศและปาริมาหันไปให้ความสนใจ
ชวิศส่งยิ้มให้เจ้าของเสียงเรียก ทว่าปาริมากลับยืนขมวดคิ้วมองผู้หญิงตรงหน้า พร้อมกับประโยคหนึ่งที่ผุดขึ้นมา
สวยจัง
นั่นคือคำนิยามของผู้หญิงตรงหน้า แต่เมื่อก้มมองตัวเอง ที่อยู่ในสภาพรองเท้าแตะคีบ เสื้อยืด กางเกงขาสั้น แถมวันนี้ยังลืมเอาผ้ากันเปื้อนออกอีก และหากให้เดาใบหน้าคงมันเยิ้มเพราะลืมทาแป้งก่อนออกจากบ้าน
ทุเรศตัวเองชะมัด
“เสร็จแล้วครับ หมอพลอยรอแป๊บนะครับ เดี๋ยวผมเอาของไปเก็บก่อน... พี่ไปทำงานก่อน” หันมาบอกกับปาริมา และผละตัวเดินจากไป เหมือนบอกตามมารยาทเท่านั้น เพราะไม่รอฟังหญิงสาวพูดตอบกลับเลย
ปาริมาจึงได้แต่ยืนอยู่ที่เดิม และมองหน้าคุณหมอพลอยที่ส่งยิ้มเป็นมิตรตามมารยาทมาให้ คนนี้เหรอที่มารดาของชวิศพูดให้เธอฟังวันนั้น
หมอพลอย