ไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยมานานเท่าไร ภายหลังจากรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อสีดำซึ่งมีร่างสูงใหญ่ของนายคำรณนั่งอยู่ในตำแหน่ง คนขับ แล่นช้าๆ ออกมาจากบรรยากาศอันแสนเศร้าสร้อยของศาลาสวดศพของวัด
ขณะที่แสงไฟดวงโคมหน้ารถฉายกราดไปในความมืดมิดและสายหมอกที่โรยตัวทึบหนาอยู่ตลอดสองข้างทาง สายตาคมกริบของคำรณลอบชำเลืองผ่านกระจกมองหลังเป็นระยะๆ เห็นศีรษะของไอวี่เอนซบอยู่กับไหล่ของเริงรตีด้วยความง่วงงุน
“ถึงแล้วครับคุณนาย”
เขากล่าวขณะสายตายังคงจับอยู่ที่ดวงหน้าสวยหวานของเริงรตีผ่านกระจกมองหลัง บอกเบาๆ เมื่อรถแล่นฝ่าความมืดของถนน ออกมาสู่แสงไฟเรืองไสวที่สาดแสงออกมาจากเสารั้วไม้และประตูทางเข้าบริเวณด้านหน้าฟาร์ม
ได้ยินเสียงของคำรณ เริงรตีที่ในขณะนั้นแม้จะไม่หลับ แต่ก็อดสะดุ้งไม่ได้ ด้วยกำลังตกอยู่ในภวังค์คิดอันเลื่อนลอย… กับปัญหาบางอย่างที่คิดไม่ตก ส่งผลรบกวนจิตใจหล่อนอยู่ตลอดเวลา
“ไอวี่จ๊ะ... ถึงบ้านแล้วจ้ะลูก”
มือเรียวของหล่อนเขย่าเบาๆ ที่แขนของลูกสาว บอกคนที่ผลอยหลับไปด้วยความอ่อนล้าจากการเดินทางให้รู้สึกตัว
“ถึงแล้วหรือคะแม่…”
น้ำเสียงใสเหมือนเด็กๆ เอ่ยถามกับมารดาในทันทีที่สะดุ้งตื่น
“ถึงแล้วจ้ะลูก”
เริงรตีตอบเบาๆ
คำรณละมือจากพวงมาลัย เมื่อรถจอดสนิท ก็รีบกุลีกุจอลงไปเปิดประตูรถให้สองแม่ลูก
“ขอบใจจ้ะ…”
บอกพลางเหลือบไปมองใบหน้าคมคร้ามของเขาแวบหนึ่ง เมื่อทุกคนก้าวลงมาจากรถกระบะ ป้าชื่น สตรีสูงวัยซึ่งแม้จะมีฐานะเป็นเพียงคนรับใช้ของบ้าน หากแต่เริงรตีและลูกสาวก็รักใคร่และไว้เนื้อเชื่อใจราวกับว่าเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งของครอบครัว แกออกมายืนรอรับ ชะเง้อมองอย่างใจจดใจจ่อ ตั้งแต่แวบแรกที่แลเห็นแสงไฟเรืองๆ ของรถกระบะสาดมาแต่ไกล
“คุณหนูไอวี่ของป้า”
ป้าชื่นอุทานลั่น เมื่อแลเห็นเรือนร่างบอบบางของหญิงสาว ก้าวลงมาจากรถ ไอวี่โผเข้ากอดร่างเจ้าเนื้อแนบแน่น รู้สึกอบอุ่นและคุ้นเคยกับสตรีสูงวัยที่เลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่เมื่อครั้งยังนอน
แบเบาะ
“ขอป้ามองให้ถนัดตาหน่อยเถอะ”
ใบหน้าของป้าชื่นขยับห่างออกมาเล็กน้อย ด้วยอยากมองดูใบหน้าสะสวยของไอวี่ให้ชัดเต็มสองตา
“ดูสิ… โตเป็นสาวเชียว สวยมากด้วย คุณหนูของป้า”
ป้าชื่นอดไม่ได้ที่จะแสดงความชื่นชมออกมาดังๆ
นอกจากไอวี่จะโตเป็นสาวสะพรั่ง ใบหน้าสวยหยาดที่แลเห็นอยู่นั้นก็ถอดแบบมาจากเริงรตีผู้เป็นมารดาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ต่างกันก็ตรงจมูกโด่งของไอวี่นั้นดูเชิดรั้นกว่า
เมื่อคลายจากอ้อมกอดของป้าชื่น ไอวี่ชำเลืองมองไปรอบๆ ฟาร์ม ท่ามกลางแสงจันทร์ลางๆ ปลายเท้าน้อยๆ ของเธอเขย่งขึ้นจากพื้น ยืดอกรับสายลมเย็นที่พัดโชยมาอ่อนๆ รู้สึกสดชื่นกับอากาศบริสุทธิ์ของฟาร์ม
ไอวี่สูดอากาศเข้าเต็มปอด ให้สมกับความคิดถึงบ้านที่เธอจากไปนานนับปี กลิ่นหญ้าและกลิ่นฟางที่เคยคุ้นมาตั้งแต่เกิด โชยมาแตะจมูกเป็นการทักทาย ราวกับจะย้ำเตือนให้รู้ว่าเธอได้กลับมาถึงบ้านที่สุดแสนจะคิดถึงแล้วจริงๆ
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ผมดีกว่าครับป้าชื่น… เดี๋ยวผมหิ้วไปส่งให้เอง”
บอกแล้วคำรณก็เดินตรงรี่เข้าไปหาป้าชื่นที่พยายามจะเข้ามาช่วยลากกระเป๋าเดินทางสีดำใบใหญ่ของไอวี่ที่เขาเพิ่งขนลงมาจากท้ายรถกระบะ
ป้าชื่นส่งยิ้มขอบคุณในความมีน้ำใจของคำรณ มองตามร่างสูงใหญ่ที่กำลังลากกระเป๋าสัมภาระเดินนำหน้าสองแม่ลูกไปที่เรือนใหญ่ด้วยท่าทางทะมัดทะแมง
ที่ห้องนอนของไอวี่ บนเรือนใหญ่
หญิงสาวทิ้งร่างอ่อนล้าลงกลางที่นอนนุ่ม ค่อยๆ กวาดสายตามองดูห้องนอนที่เธอจากไปนาน
ป้าชื่นได้จัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้พร้อมเพรียง ข้าวของทุกอย่างที่เคยเป็นของเธอได้รับการดูแลเป็นอย่างดี แทบจะไม่ถูกเคลื่อนย้ายแตะต้อง หลายๆ อย่างยังคงวางอยู่ที่เดิมเหมือนครั้งสุดท้ายที่เธอเห็นเมื่อปีที่แล้ว
แจกันเซรามิกสีเขียวกับตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลตัวโปรดที่ได้เห็น ยิ่งทำให้คิดถึงคนให้… ด้วยมันเป็นของขวัญวันเกิดที่คนซื้อให้ไม่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว
สิ่งเดียวภายในห้องนอนที่แลดูแปลกตา ก็คือผ้าปูที่นอนที่เปลี่ยนไป ซึ่งป้าศรีได้บอกในภายหลังว่าคุณนายเริงรตีผู้เป็นมารดา มักจะแอบมานอนในห้องนี้บ่อยๆ ด้วยความเหงาและคิดถึงเธอที่เป็นลูกสาว นับจากวันที่เสี่ยกำพลล้มป่วย ต้องเข้ารับการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนานถึงหกเดือน ทิ้งเริงรตีให้นอนอ้างว้างเดียวดายอยู่เพียงลำพังในบ้านหลังใหญ่ที่แม้จะดูสุขสบาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันช่างแสนเหงาและว้าเหว่ใจ… ในยามที่ต้องนอนคนเดียว
ภายหลังจากความพยายามข่มตาหลับอยู่ครู่ใหญ่ๆ ไม่
เป็นผล ไอวี่ตัดสินใจลุกจากเตียงนอน เดินไปที่หน้าต่างซึ่งเปิดแง้มเอาไว้เพียงครึ่งบานเพื่อให้ลมผ่าน มือเรียวเอื้อมออกไปรวบรั้งผ้าม่านลูกไม้สีขาวสะอาด แล้วยื่นใบหน้าออกไปส่งสายตาทักทาย กับดวงดาวพราวพร่างอยู่เต็มผืนฟ้า ในยามค่ำคืนที่ลมเย็นเริ่มพัดมาเยือน
ผืนฟ้าในคืนข้างแรมช่างดูอึมครึม มืดหม่นไม่ต่างกับความรู้สึกของเธอในตอนนั้น หากแต่ในความมืดนั้น… ก็ช่วยทำให้แสงของดวงดาวยิ่งสุกใส ระยิบระยับ ยิ่งมืดมิดมากเท่าไรดวงดาวก็ยิ่งสวย ต่างกับผืนฟ้าในคืนข้างขึ้นที่ดาวต้องแข่งแสงกับดวงจันทร์กระจ่าง
แม่ยังไม่หลับอีกหรือ…?
ไอวี่รำพึงเบาๆ กับตัวเอง เมื่อสายตาเหลือบแลไปเห็นแสงไฟที่เล็ดลอดออกมาจากหน้าต่างห้องทำงานของบิดาเข้าโดยบังเอิญ
นาทีต่อมา
ก๊อกๆ ๆ…
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ ที่หน้าห้องทำงานของผู้เป็นบิดา แสงไฟที่เล็ดลอดออกมาจากขอบประตูด้านล่างช่วยยืนยันว่ามารดาของเธอต้องอยู่ภายในห้องนั้นอย่างแน่นอน
“แม่คะ… หนูเองค่ะ”
เธอหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องทำงานของบิดา เรียกแล้วนิ่งคอยด้วยความสงสัยว่าดึกดื่นป่านนี้แล้วเหตุอันใดทำให้มารดาของเธอจึงยังไม่หลับไม่นอน… แม่เข้ามาทำอะไรภายในห้องทำงานของพ่อ?
“เข้ามาได้จ้ะ… ประตูไม่ได้ล็อค”
สิ้นเสียงขานรับซึ่งจดจำได้ว่าเป็นเสียงของมารดาไม่มีผิดเพี้ยน บานประตูห้องทำงานก็ถูกผลักเข้าไปในทันที แลเห็นร่างของเริงรตีในชุดนอนผ้าซาตินบางๆ นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่โต๊ะทำงานของสามีผู้ล่วงลับ
แสงจากโคมไฟของโต๊ะทำงาน สว่างพอให้สายตาของไอวี่เหลือบไปเห็นซองเอกสารสีน้ำตาลที่เพิ่งถูกซ้อนทับไว้ด้วยหนังสือเล่มหนา ดูราวกับว่าการมาของเธอได้สร้างความตกใจให้มารดาที่พยายามซุกซ่อนบางอย่างจากสายตาของเธอที่ก้าวพรวดเข้ามารวดเร็วจนคนที่อยู่ในห้องแทบไม่ทันตั้งรับ
“ทำอะไรอยู่คะแม่…”
หญิงสาวถามด้วยความสงสัย
“เอ่อ... แม่นอนไม่หลับจ้ะ นั่งอ่านหนังสือไปเรื่อยเปื่อย แต่กำลังจะกลับเข้าห้องนอนอยู่แล้วเชียว… พอดีลูกเข้ามาเสียก่อน”
คนถูกถามรีบเฉไฉไปอีกทาง
ไอวี่จับพิรุธบางอย่างได้ น้ำเสียงนั้นฟังดูไม่แนบเนียนนัก อีกทั้งมือเรียวของมารดายังวางทับอยู่บน