เก้าอี้ให้ตั้งตรง เตรียมพร้อมสำหรับการร่อนลงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
สาวน้อยอดคิดไม่ได้ว่าเธอน่าจะมีความสุขมากกว่านี้ หากการเดินทางกลับมาบ้านในครั้งนี้… จะมีบิดามารอรับเธอเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา
ภายหลังจากเครื่องบินร่อนลงจอดและรับกระเป๋าสัมภาระจากสายพานลำเลียงเป็นที่เรียบร้อย ที่บริเวณประตูทางออก เสียงเรียกของสตรีวัยกลางคนที่มารอรับ ก็ดังขึ้นทันทีที่เห็นเรือนร่างคุ้นตาของลูกสาว
“ทางนี้จ้ะลูก... ไอวี่”
เริงรตีโบกมือเบาๆ ให้กับลูกสาวที่เพิ่งเดินทางมาถึง หล่อนเรียกชื่อเธอว่า ‘ไอวี่’ จนติดปาก
“ แม่คะ…”
ไอวี่มองไปตามทิศทางที่มาของเสียง แลเห็นใบหน้าซีดเซียวของเริงรตีผู้เป็นมารดา หล่อนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำ ข้างๆ กายไร้เงาของคนเป็นบิดา
เมื่อทั้งคู่เข้ามาใกล้กันในระยะเอื้อมกอด ผู้หญิงต่างวัยสองคนก็โผเข้าหากัน สองแขนสวมกอดกัดแนบแน่น หยาดน้ำตารินไหล พร่างพรูออกมาราวกับนัดหมาย
“ฮือๆ… พ่อไม่อยู่กับเราแล้วนะลูก”
คนเป็นมารดาบอกกับลูกสาวทั้งเสียงสั่นเครือ ไอวี่เองก็สะอื้นฮั่กๆ จนตัวโยน ท่ามกลางบรรยากาศของการพบเจอที่เต็มไปด้วยความโศกสลด
ที่ศาลาสวดศพ
เมื่อเดินทางมาถึง ไอวี่รู้สึกตัวเบาหวิว ในสมองของเธอว่างโหวง มือไม้อ่อนเปลี้ยไร้เรี่ยวแรง ก้าวลงมาจากรถพร้อมกับจิตใจหายวาบ
เธอก้าวเดินช้าๆ ไม่ได้ทักทายสายตาของผู้คนรู้จักที่มองมา ตรงไปยังโลงซึ่งฉาบเอาไว้ด้วยสีทองอร่าม สลักเสลาเป็นลวดลายเครือเถาและประจำยามวิจิตรบรรจง รอบๆ โลงศพประดับประดาไว้ด้วยดวงไฟเล็กๆ หลากสีสัน กระพริบพราวไปกับดอกกุหลาบสีขาวซึ่งประดับประดาเอาไว้อย่างสวยงาม เคียงขนาบด้วยพวงหรีดมากมาย ตั้งเรียงรายออกไปทั้งซ้ายขวา พวงหรีดดอกลิลลี่สีขาว ช่อใหญ่สะดุดตา ถูกตั้งไว้บริเวณด้านหน้าสุด ที่มุมด้านล่างคาดเฉียงไว้ด้วยตัวอักษรสีขาวบนพื้นสีดำ มีข้อความเขียนเอาไว้ชัดเจนว่า ‘ฟาร์มอัครพลไพศัลย์’ ของพ่อเลี้ยงเดโช บ่งบอกให้รู้ถึงที่มาของหรีดพวงนั้น
แม้ไอวี่อยากจะกอดร่างไร้วิญญาณของผู้เป็นพ่อสักแค่ไหน หากแต่ก็ทำได้เพียงก้มกราบด้วยธูปดอกเดียวในมือซึ่งสั่นน้อยๆ เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าการได้เจอหน้าผู้เป็นบิดาเมื่อปีที่แล้ว… จะเป็นครั้งสุดท้ายของเธอกับเขา
“ไอวี่... กลับไปพักผ่อนที่บ้านก่อนดีไหมลูก”
เริงรตีเดินเข้ามาทางด้านหลัง โอบที่ไหล่ของลูกสาว เมื่อสังเกตเห็นว่าร่างบางนั้นสั่นเบาๆ เพราะแรงสะอื้นในอก ภายหลังจากปล่อยให้ไอวี่นั่งร้องไห้ อาลัยกับการจากไปของพ่ออยู่เพียงลำพัง
เมื่อไอวี่หันกลับมาอีกครั้ง ก็พบว่าศาลาที่เต็มไปด้วยแขกเหรื่อเมื่อครู่ กำลังจะถูกทิ้งร้างว่างเปล่าลงอีกครั้ง เมื่อบรรดาแขกที่มาร่วมงานสวดศพ ต่างทยอยพากันกลับกันจนเกือบหมดศาลา เหลือเพียงเธอกับแม่และหัวหน้าคนงานในฟาร์มอีกเพียงไม่กี่คน ทำให้บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความซึมเศร้านั้นดูเงียบเหงาโศกสลดลงกว่าเดิม
ไอวี่หันกลับไปมองโลงศพซึ่งบรรจุร่างไร้ลมหายใจของผู้เป็นบิดาเอาไว้เหมือนไม่อยากจาก
“จะอยู่ต่ออีกสักครู่ก็ได้นะครับ เดี๋ยวผมไปส่งคุณนายกับคุณหนูเองครับ”
คำรณ หนุ่มใหญ่วัยกลางคน ผิวสีทองแดง รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมคร้าม หัวหน้าคนงานในฟาร์มของเริงรตี เอ่ยอาสาขึ้นเบาๆ ด้วยน้ำเสียงสุภาพ จากทางด้านหลังของหล่อนกับลูกสาว
น้ำเสียงของเขาที่ดังขึ้นทำลายความเงียบงันของศาลาสวดศพในขณะนั้น ทำให้เริงรตีหันมาพยักหน้ารับ เมื่อสังเกตเห็นว่าลูกสาวยังยังคงอยากจะนั่งอยู่เป็นเพื่อนบิดาผู้ล่วงลับให้นานแสนนาน ก่อนที่ร่างของเขาจะถูกเผาในวันรุ่งขึ้น
เมื่อเดินห่างออกมาจากผู้เป็นลูกสาวที่นั่งแน่นิ่งอาลัย ราว
กับหยุดหายใจอยู่ต่อหน้าโลงศพ เริงรตีเอ่ยขึ้นเบาๆ กับหัวหน้าคนงานฟาร์มที่เดินตามหลังหล่อนมาช้าๆ
“แกคงอยากใช้เวลาอยู่กับพ่อให้นานที่สุด”
เริงรตีเข้าใจหัวอกของลูก
“ผมเข้าใจครับ เวลาจะทำให้อะไรๆ ดีขึ้น คุณนายไม่ต้องกังวลเรื่องงานในฟาร์มที่ค้างอยู่นะครับ ผมรับรองว่าจะจัดการดูแลทุกอย่างให้เรียบร้อยที่สุด ตามที่คุณผู้ชายได้สั่งไว้”
คำรณกล่าวขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง เรียกเริงรตีว่า ‘คุณนาย’ เช่นเดียวกับคนงานในฟาร์มคนอื่นๆ เพื่อให้ความมั่นใจกับภรรยาของเจ้านายในเรื่องงานที่ยังคงค้างคา ด้วยเข้าใจถึงหัวอกของผู้หญิงที่ครอบครัวเริ่มซวนเซเพราะสูญเสียสามีผู้เป็นเสาหลักของชีวิต
เริงรตีรู้ว่าคำรณเป็นหัวหน้าคนงานที่มีความใกล้ชิดกับสามีของเธอที่สุด แม้ว่าจะมีฐานะเป็นเพียงแค่หัวหน้าคนงาน แต่เสี่ยกำพลก็ไว้วางใจให้เขาดูแลรับผิดชอบงานในฟาร์มเกือบทุกอย่าง ในตอนที่เสี่ยกำพลยังมีชีวิตอยู่ คำรณจึงไม่ต่างอะไรกับมือขวาและมือซ้าย อาจจะเรียกได้ว่าเป็นแขนขาของเขาเลยก็ว่าได้
“ฉันฝากด้วยนะ… คำรณ”
น้ำเสียงหวาน ทว่าช่างฟังดูอ่อนล้าและหน่ายเนือยกับชีวิตเสียเหลือเกินในความรู้สึกของคนฟัง
เริงรตีรู้สึกขอบคุณเขาอย่างจริงใจ ในความทุ่มเทเอาใจใส่งานในฟาร์มของนายคำรณคนนี้
วาบหนึ่งในสำนึก… หล่อนรู้สึกสะทกสะท้อนใจอย่างไรพิกล ทำให้นึกตำหนิตัวเองอยู่ในใจ ในฐานะที่ตัวเองเป็นถึงภรรยาเจ้าของฟาร์ม แต่กลับไม่ได้ใส่ใจในกิจการของสามีเท่าที่ควร เริงรตียอมรับว่าทุกวันนี้หล่อนมีความรู้ในเรื่องงานฟาร์มน้อยมาก
ทว่านับจากนี้ไป… คงหลีกเลี่ยงภาระรับผิดชอบฟาร์มแห่งนี้ไปไม่ได้ แม้จะเป็นงานที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ และบอบบางอย่างหล่อนไม่ถนัดเอาเสียเลยก็ตาม