ตอนที่ 1/1
ตอนที่1 /1
ฉันชื่อวันวิสา อายุ 25 ปี ครอบครัวทำอาชีพเกษตร รายได้ไม่แน่นอน ปีไหนฝนฟ้าดีก็ได้ข้าวดี ปีไหนแล้งก็เป็นหนี้เพิ่ม
หลังๆมาครอบครัวเราเป็นหนี้มากขึ้นทุกปีภัยแล้งหนักขึ้นด้วย ฉันในฐานะที่เป็นพี่คนโตเรียนจบแค่ ม.6 มีน้องๆอีกสามคนที่ยังเรียนอยู่
พ่อกับแม่บอกว่าค่าใช้จ่ายครอบครัวเราเยอะขึ้น เพราะน้องสองคนเริ่มเข้ามหาลัยแล้ว แต่รายได้แทบไม่มีแถมยังเป็นหนี้สหกรณ์หมู่บ้านอีก
เธอได้ยินพ่อปรึกษากับแม่ว่าจะไปทำงานที่ประเทศเกาหลี ทำงานเกี่ยวกับการเกษตรเพาะปลูกผักสวนครัวนี่แหละ
เห็นเพื่อนที่ไปหอบเงินกลับมาตั้งตัวได้สบาย แถมยังมีรถขับและเปิดร้านขายของชำในหมู่บ้าน เธอรีบเข้ามาห้ามพ่อ แล้วบอกเหตุผลว่าพ่ออายุ 45 แล้วควรอยู่บ้าน เธอจะเป็นคนไปเอง งานแบบนี้เธอถนัดอยู่แล้ว
ก่อนไปเธอก็สั่งเสียให้น้องๆตั้งใจเรียน จบออกมามีงานทำมีเงินเดือน จะได้แบ่งเบาภาระพ่อกับแม่ด้วย
ชาวบ้านชอบเรียกพวกเราว่าสี่ใบเถา เพราะพ่อกับแม่ไม่มีลูกชาย เธอพยายามทำงานหนักช่วยพ่อเท่าที่ช่วยได้ บางครั้งพ่อบอกว่าเป็นงานผู้ชาย แต่เธอไม่เคยฟัง พยายามช่วยพ่อทุกอย่าง
ชาวบ้านบอกว่าผู้ชายบางคนในหมู่บ้านยังทำงานไม่เท่าเธอเลย ทุกคนเอ็นดูเธอเหมือนลูกเหมือนหลาน ส่วนเรื่องแฟนเธอไม่เคยคิดเลย
ทุกวันนี้ทำแต่งานและคิดว่าจะหาทางช่วยปลดหนี้ครอบครัวได้อย่างไร
เธออยู่ที่เกาหลีเป็นที่รักของเพื่อนร่วมงานทุกคน พวกเขาเรียกเธอว่าวิสา นายจ้างก็เอ็นดูเพราะเธอเป็นคนขยัน ไม่อยู่นิ่ง
งานในส่วนของเธอเสร็จก็ไปช่วยเพื่อนๆ พี่ๆ เป็นแบบนี้ประจำ ที่นี้เงินเดือนดีมาก
พวกเรามาแบบถูกกฎหมายนะคะ เธอส่งเงินให้ครอบครัวเดือนละ 40,000 บาททุกเดือน ส่วนตัวเอาไว้แค่พอกินเธอคุยกับพ่อครั้งล่าสุด เงินที่ส่งไปพ่อไปปิดหนี้แล้วก็ฝากธนาคาร ส่วนน้องเล็กอยู่แค่ม.2 สองสาวเข้าไปเรียนในเมืองพ่อซื้อจักรยานยนต์ให้ขับไปเรียน
เสาร์อาทิตย์ก็กลับมาช่วยพ่อกับแม่ปลูกมันสำปะหลัง ที่ไม่ปลูกข้าวเพราะน้ำไม่ดี ฝนฝ้าไม่เอื้ออำนวย หลังๆมาชาวบ้านเปลี่ยนเป็นปลูกมันแทน พ่อบอกว่าแม้ได้เงินน้อยแต่ก็ไม่เป็นหนี้แล้ว
เธอรู้ว่าครอบครัวไม่ได้ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย เธอบอกพ่อว่าขอทำอีกปีก็จะกลับไปหาพวกเขา นี่ก็สองปีแล้วอดทนเอาวิสา
เธอคิดดูแล้วเงินที่ส่งให้ครอบครัวตกประมาณ 5 แสนกว่าบาทแล้วอีก 1 ปีก็เกือบล้านได้มั้ง ถ้ากลับบ้านเธอจะทำเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้กับครอบครัว เหลือจากกินก็นำไปขาย ไม่ต้องมีหนี้สินพวกเราก็น่าจะอยู่ได้
“วิสาๆๆๆ ข่าวด่วนนี่ๆๆ เกิดโรคระบาดตรงที่เราอยู่ด้วย” พี่นีเป็นคนมาบอกเธอพร้อมให้ดูข่าวในมือถือ
ปกติเธอไม่สนใจข่าวสารเท่าไร ทำงานเสร็จก็พักผ่อนเอาแรงไว้ทำงานพรุ่งนี้ต่อ เวลานี้ทุกคนตื่นตระหนกระวังตัวกันมากขึ้น
หลังจากนั้นเดือนนึง ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงกะทันหัน เกิดผลกระทบกับร้านอาหาร ผักที่ปลูกก็ถูกยกเลิก นายจ้างเธอก็ล้มละลาย เป็นการเลิกจ้างที่ถูกคนเข้าใจ
และยังมีข่าวว่าเขตที่เธออยู่มีคนติดเชื้อโควิดมากขึ้นด้วย
ตายแล้วยัยวิสา รีบเดินทางกลับไปตายที่บ้านเกิดเราเถอะ ทุกคนเตรียมตัวกันไปสนามบินอินชอน
ระหว่างเธอนั่งเครื่องเหมือนจะมีอาการเวียนหัวนิดๆ ตัวร้อนนิดหน่อย คงไม่ใช่โควิดมั้ง เมื่อมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิมีเจ้าหน้าที่พาพวกเราทุกคนไปตรวจหาเชื้อก่อนเข้าประเทศไทย
ในกลุ่มที่มาด้วยกัน มีเธอคนเดียวที่พบเชื้อ เธอถูกแยกไปอยู่ที่ศูนย์กักกันผู้ติดเชื้อ เป็นสถานที่รัฐบาลจัดไว้ให้ ส่วนกลุ่มเธอที่ไม่พบต้องกักตัวอีกที่หนึ่งให้ครบ 14 วัน ถ้าไม่พบเชื้อให้กลับบ้านได้
ระหว่างนั้นเธอเครียดมากแต่มีเจ้าที่มาดูแล บอกว่าไม่ต้องห่วงทางรัฐบาลจัดหาหมอมาดูแล รักษาตามอาการ ขอให้เธอปฎิบัติตามคำสั่งของหมออย่างเคร่งครัด
เธอตัดสินใจโทรหาครอบครัวนอนคุยกับพ่อแม่ น้องเล็ก ส่วนสองสามคิดว่าจะโทรหาพวกเขาพรุ่งนี้
วันนี้เธอเหนื่อยเหลือเกิน หายใจไม่ทั่วปอด เริ่มหายใจช้าลงเรื่อย ๆ สุดท้ายเธอก็หยุดหายใจ แล้ววิญญาณได้หลุดออกจากร่าง
เธอตายแล้วไม่ใช่หรอ แล้วเสียงดังของใครนี่ “ลี่เซียง ลี่เซียง หวังลี่เซียง เจ้าตื่นเดี๋ยวนี้นะ ข้าแบกเจ้าไม่ไหวหรอก” เธอรู้สึกตัวได้สักพักแล้วแหละ แต่ใครเป็นอะไร
แล้วเสียงแหลมนี่เป็นของใคร หลังจากนั้นเธอก็ปวดหัวอีกรอบ นี้อาการโควิดอีกแล้วเหรอ ขนาดเป็นวิญญาณแล้วยังตามมาอีก “โอ้ย” เธอกุมหัวแล้วร้องดังขึ้นมา
จากนั้นความทรงจำของของคนที่ชื่อหวังลี่เซียงได้หลั่งไหลเข้ามาในหัว อ่าา…ร่างนี้ชื่อหวังลี่เซียง อายุแค่ 14ปีเอง
นางมาหาของป่ากับเพื่อนที่ชื่อหยาว หยาว ทั้งสองคนอายุเท่ากัน ระหว่างทางกลับมานางหิวข้าวเลยรีบเดิน ขาไปสะดุดกับก้อนหิน แล้วหกล้มหัวไปกระแทกกับก้อนหินอีกก้อน
แล้ววิญญาณวิสาเข้ามาอยู่ในร่างน้องคนนี้ มันเหลือเชื่อมากสำหรับวันวิสา นี่เธอทะลุมาในร่างคนอื่น แล้วที่นี่ไม่ใช่ประเทศไทยด้วยนี้สิ เธอจะเอาตัวรอดได้หรือเปล่านะวิสา
ในใจก็ขอบคุณคุณพระคุณเจ้าที่ให้โอกาส ที่ยังน้อยยังได้กลับมาแม้จะอยู่ในร่างคนอื่น ลี่เซียงเจ้าไม่ต้องห่วงนะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นครอบครัวพี่
เจ้ายังอยู่ที่นี้รึไม่ ถ้าอยู่ช่วยแสดงตนหน่อยได้ไหม อยู่ๆใบไม้ก็ปลิวมาลงตรงหน้านาง ลมก็ไม่มีแดดแรง คงเป็นเจ้าสินา อย่าห่วงเลยพี่สาวจะดูครอบครัวเจ้าเอง
"ตื่นแล้วๆหยาว หยาว อย่าเรียกเสียงดังสิ ช่วยพยุงข้าหน่อยเพื่อนรัก” ตีเนียนไปก่อนวิสา หยาว หยาวพิจารณาใบหน้าเพื่อน ที่ศีรษะนางมีแผลที่หน้าผากและหางคิ้วข้างซ้ายก็มีคราบเลือดติดที่หางคิ้วนี้อีก
“คิก คิก คิก ข้าขอโทษที่หัวเราะเจ้า รีบไปกันเถอะจะได้ไปทายาและล้างคราบเลือดด้วย”
"ช่างเถอะ ข้าต้องขอบคุณเจ้ามากกว่าที่ไม่ทิ้งข้าไว้กลางทาง”
”เจ้าพูดยังกับว่าข้าใจร้ายกับเจ้า ช่างนักน้อยใจนัก หึ หึ หึ"
“หยาว หยาว ข้าขอโทษ ข้าล้อเล่นเจ้าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด พอใจรึยัง คิก คิก คิก” เธอปรับตัวได้ดีกว่าที่คิดไว้ นักว่าเป็นเรื่องที่ดี จะได้ไม่มีใครสงสัย
เราทั้งสองคนแบกตะกร้าเดินลงไปในหมู่บ้าน โอ้โห….ที่นี่ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์จริงๆ หมู่บ้านน่าอยู่มากๆ ระหว่างทางนางสังเกตทั้งสองข้างทางมาตลอด
“เจ้าจะมองอะไรหนักหนา เดี๋ยวก็สะดุดก้อนหินอีกรอบ วันนี้ไม่ถึงบ้านกันพอดี”
“เอ้า ถึงบ้านพอดี แล้วเจอกันนะหยาว หยาว วันนี้สนุกมาก ถ้าขึ้นไปอีกมาชวนข้าด้วย”
“ไปๆ รีบเข้าบ้านแล้วอย่าให้หน้าผากและคิ้วเจ้าเป็นรอย ไปทายาเร็วๆเลย แล้วเจอกันนะลี่เซียง” บ้านหยาว หยาว เลยบ้านนางไปอีก แต่ก็ไม่ได้ไกลมาก
“มาแล้วจ้ะท่านตาทานยาย หิวข้าวจังเลย มีอะไรให้กินบ้างเจ้าคะ”
“โอ้ว….ตายๆๆ หน้าผากเจ้าไปโดนอะไรมาลี่เซียง?"
“ตาเฒ่ารีบไปเอายามาให้หลานข้าเดียวนี้ เร็วๆสิ ชักช้าอยู่ไย” ท่านตาทานยายลี่เซียงน่ารักที่สุด