ภายในป่าองครักษ์บังคับม้าเห็นเงาร่างบนหลังม้าเคลื่อนไหวไล่หลังมาไม่ห่าง เขาเข้าใจว่าร่างใหญ่ในเงามืดเป็นหนึ่งในองครักษ์ที่ออกลาดตระเวนมาล่วงหน้าจึงรีบร้องขอความช่วยเหลือ “เฮ้!! เจ้าที่อยู่ทางนั้นรีบควบม้ามานำทางให้พวกเราเร็วเข้า!!”
เฉินเฉวียนอวี้ได้ยินเสียงจากด้านนอก นางเปิดผ้าม่านมองออกไปนอกรถม้า เห็นเงาของกงโม่เหอควบม้าเข้าใกล้มาทุกทีเช่นกัน
“เร็วกว่านี้ได้หรือไม่! พวกเจ้าเชื่องช้ากันเช่นนี้เมื่อใดข้าถึงจะไปถึงหน้าด่านกัน! ข้าสั่งให้เร็วกว่านี้ ผู้ใดขัดคำสั่งคอยดูเถิดว่าข้าจะให้เสด็จพี่จัดการเจ้าอย่างไร!” เฉินเฉวียนอวี้ข่มขู่เสียงเข้ม สายตาคู่งามฉายแววหวั่นวิตก นางกลัวเหลือเกินว่าเหล่าองครักษ์จะตามนางมาทันแล้วแผนการหลบหนีของนางจะไม่สำเร็จ!!
องครักษ์ที่บังคับม้าปวดศีรษะจนแทบระเบิด แม้ว่าพวกเขาจะศึกษาเส้นทางเป็นอย่างดีมาแล้วก็ตาม แต่ท่ามกลางแสงจันทร์ที่มีเงาไม้บดบังจนแทบมองไม่เห็นสิ่งใด พวกเขาก็ไม่อาจระบุทิศทางได้แน่ชัด
เสียงหวีดร้องอย่างเอาแต่ใจของเฉินเฉวียนอวี้ยังดังต่อเนื่องมาไม่หยุด ทำให้องครักษ์ต้องตัดสินใจเร่งความเร็วขึ้นอีกครั้งอย่างไม่เต็มใจ
“ระวัง!!”
“กรี๊ด!!!”
เฉินเฉวียนอวี้ได้ยินเพียงเสียงกรีดร้องของตนเองดังกึกก้องวนเวียนอยู่ในหัว ร่างทั้งร่างถูกกระแทกไปมาอยู่ในรถม้าแล้วหลุดลอยออกมาจากทางหน้าต่าง กระแทกลงกับพื้นอย่างแรงก่อนจะสิ้นสติไป
………
สามวันต่อมา
“อา..เจ็บเหลือเกิน” เฉินเฉวียนอวี้ลืมตาตื่นขึ้นมาในกระท่อมเก่าทรุดโทรม ร่างกายของนางเจ็บปวดรวดร้าวจนต้องงอตัวหอบหายใจถี่กระชั้นอย่างยากลำบาก
“ฟื้นแล้วหรือ แข็งแรงไม่เบานี่! ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่รอดแล้วเสียอีก”
เสียงทุ้มต่ำกังวานดังขึ้นจนหญิงสาวสะดุ้งตัวโยน นางช้อนสายตามองใบหน้าด้านข้างของบุรุษแปลกหน้าด้วยความหวาดกลัว ไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ไหน บุรุษที่พูดจาไม่น่าฟังผู้นี้คือใคร?
“ข้าหิวน้ำ” นางข่มกลั้นความเจ็บปวดทางร่างกาย เปล่งเสียงแหบแห้งแผ่วเบาออกมาจากลำคอ
บุรุษร่างใหญ่หยุดชะงักเพียงเสี้ยวอึดใจก่อนจะค่อยๆ หันหน้ามาทางหญิงสาวเต็มตัว
“อา..” ร่างเล็กสั่นสะท้านผงะไปทางด้านหลัง น้ำตาสองสายไหลอาบแก้มด้วยความหวาดกลัว
ใบหน้าด้านข้างของบุรุษแปลกหน้ามองดูหล่อเหลารูปงาม แต่เมื่อเขาหันมา..นางกลับมองเห็นบาดแผลน่ากลัวบนแก้มด้านซ้ายของเขา แววตาดุดันที่จ้องมายังตนนั้นราวกับต้องการจะสังหารคนก็ไม่ผิด!!
“ท่านคือใคร?” เฉินเฉวียนอวี้อยากจะร้องขอความช่วยเหลือ แต่ปากของนางกลับพูดไม่ออก นึกไม่ได้ว่าตนเองจะขอความช่วยเหลือจากผู้ใดได้ แล้วนางคือใคร? หญิงสาวเริ่มตระหนกตกใจยิ่งกว่าเดิม เมื่อพบว่านางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองมีนามว่าอะไร!
“เจ้าเก่งนักมิใช่หรือ? ลุกขึ้นมาดื่มเองสิ” กงโม่เหอรินน้ำใส่ถ้วย แต่กลับวางมันไว้บนโต๊ะแล้วนั่งลงโดยไม่หันไปมองอีกฝ่าย
หญิงสาวกระหายน้ำจนลำคอแห้งผาก นางมองถ้วยน้ำบนโต๊ะสลับกับมองร่างใหญ่ไปมา บุรุษหยาบคายผู้นี้แม้จะดูว่าเป็นคนชั่วร้ายไร้น้ำใจแต่ทว่าเขาน่าจะรู้จักนาง..
ร่างเล็กบอบบางรวบรวมกำลังยันกายขึ้นมาอย่างยากลำบาก สองขาที่สัมผัสลงบนพื้นสั่นระริกเพราะนอนอยู่นิ่งๆ มาเป็นเวลานาน ร่างกายร้อนผ่าวโงนเงนพร้อมจะล้มลงได้ทุกเมื่อแต่นางก็ยังฝืนพยุงกายมาจนถึงโต๊ะได้สำเร็จ
“ท่านรู้จักข้าหรือ” หญิงสาววางถ้วยน้ำชาลง ท่อนแขนข้างหนึ่งพาดเอาไว้บนโต๊ะ ฝ่ามือเล็กยึดขอบโต๊ะเอาไว้แน่น เพราะนางหมดแรงและรู้สึกว่าตนเองอ่อนแรงจนแทบจะนั่งต่อไปไม่ไหว
“หึ!! รู้เสียยิ่งกว่ารู้!!” ชายหนุ่มเหยียดยิ้มมุมปากส่งสายตาหยามเหยียดให้อีกฝ่าย เขามองเห็นใบหน้างามยังคงแดงก่ำด้วยพิษไข้แต่ก็ยังไม่รู้สึกเห็นใจอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
“เช่นนั้น..ข้าคือใคร แล้วท่านคือใคร? เหตุใดข้าจึงจำอะไรไม่ได้เลย ท่านช่วยบอกข้าหน่อยเถิด”
“ไม่รู้จริงหรือ? ข้าก็คือสามีเจ้าอย่างไร เจ้าเลอะเลือนถึงขั้นจำสามีตนเองไม่ได้เลยหรือไร?” ชายหนุ่มกระแทกเสียงยิ้มเยาะ เข้าใจว่าอีกฝ่ายอาจแสร้งความจำเสื่อมเพื่อหาทางรอด
หากนางอยากเล่นบทความจำเสื่อม เช่นนั้นเขาก็จะช่วยแสดงต่อ ดูสิ! ว่านางจะอดใจไม่ด่าทอเขาได้หรือไม่!
“ข้าคือภรรยาของท่านเช่นนั้นหรือ" หญิงสาวตัวสั่นรู้สึกเหน็บหนาวไปถึงกระดูก บุรุษน่ากลัวผู้นี้ถึงกับเป็นสามีนาง!!
"ก่อนหน้านี้ข้าทำผิดอะไรไปหรือไม่ เหตุใดท่านจึงโมโหข้า ข้าจำไม่ได้จริงๆ เจ้าค่ะ” เฉินเฉวียนอวี้ได้กลิ่นอายสังหารจากร่างใหญ่ชัดเจน นางจำไม่ได้จริงๆ ว่าตนเองได้ทำเรื่องเลวร้ายอันใดลงไป สามีถึงได้โกรธเคืองและเย็นชากับนางถึงเพียงนี้
แววตาลึกล้ำของกงโม่เหอจับจ้องที่ใบหน้าของเฉินเฉวียนอวี้อยู่ตลอดเวลา ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะได้เห็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความคิด องค์หญิงสิบสามออกอาการตกใจ หวาดหวั่น และถามคำถามกลับมาด้วยความสัตย์หาใช่เสแสร้งแกล้งทำ
หรือว่านางสูญเสียความทรงจำไปแล้วจริงๆ!
สามวันก่อนขณะที่เขาควบม้าไล่ตามรถม้าขององค์หญิงสิบสามไปท่ามกลางความมืดกลางหุบเขาเซียงจี๋ รถม้าขององค์หญิงเกิดพลิกคว่ำอย่างรวดเร็วจนเกือบจะตกหน้าผา ร่างเล็กหลุดลอยออกจากทางหน้าต่างรถม้าตกลงมากระแทกพื้นจนสลบไปต่อหน้าต่อตาเขา
องครักษ์คนหนึ่งใช้มือดึงบังเ**ยนห้อยตัวค้างอยู่กับม้าที่พลัดตกหน้าผา ส่วนองครักษ์อีกสามคนเมื่อเห็นว่าองค์หญิงสิบสามมีคนตามมาช่วยแล้วพวกเขาก็รีบวิ่งไปช่วยกันดึงม้าขึ้นจากเหวเพื่อช่วยชีวิตสหาย ทิ้งเฉินเฉวียนอวี้ให้สหายที่ตามหลังมาดูแลไว้ก่อน
แต่ที่ทุกคนไม่รู้ก็คือ บุรุษที่อุ้มร่างเฉินเฉวียนอวี้พาดไว้บนตักแล้วควบม้าหายไปในความมืดนั้นหาใช่หนึ่งในองครักษ์ผู้ติดตามองค์หญิงแต่อย่างใด แต่คือเขาเอง กงโม่เหอ!!
“นั่นเพราะเจ้าเป็นสตรีไม่รู้ความขี้เกียจสันหลังยาว ขี้อิจฉาริษยา ปากมาก เอาแต่ใจ ก่อเรื่องทะเลาะกับชาวบ้านไปทั่วจนข้าต้องถูกขับออกจากหมู่บ้านระหกระเหินเร่ร่อนไปทั่ว ข้าพาเจ้ามาด้วยก็บุญเท่าใดแล้วจ้าวเฉียงอี้!!” กงโม่เหอตั้งใจตำหนินางเป็นชุดเพื่อพิสูจน์ท่าทีของอีกฝ่าย และเขายังจงใจเปลี่ยนชื่อนางจากเฉินเฉวียนอวี้เป็นจ้าวเฉียงอี้อีกด้วย
ได้ยินเรื่องราวของตนเองจากปากของชายที่เป็นสามี หญิงสาวก็ยกมือขึ้นปิดปากน้ำตาร่วง
แม้ว่าจะจำอะไรไม่ได้แต่นางก็ไม่คิดมาก่อนว่าตนจะเป็นสตรีชั่วร้ายถึงเพียงนั้น นางต้องร้ายกาจเพียงใดถึงทำให้เพื่อนบ้านขับไล่ออกมาให้พ้นสายตา นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดสามีอัปลักษณ์ของนางถึงได้บันดาลโทสะ
“ท่านพี่ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย เรื่องก่อนหน้านี้ข้าจำไม่ได้แล้วจริงๆ เจ้าค่ะ ท่านรู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับข้า ข้ารู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่าง ข้ากำลังป่วยอยู่ด้วย” หญิงสาวเสียใจกลั้นสะอื้นจนไหล่สั่น ไอร้อนจากร่างกายพวยพุ่งออกมาทางลมหายใจแต่นางยังฝืนทนไม่กล้าลุกกลับไปนอนที่เตียง กลัวสามีจะตำหนิว่านางเกียจคร้าน
สายตามากประสบการณ์ของกงโม่เหอจ้องมองนางอยู่อีกครู่ใหญ่ รอยยิ้มจึงค่อยๆ ผุดออกมาด้วยความลำพอง เป็นไปได้ว่าองค์หญิงสิบสามจะสูญเสียความทรงจำจากอุบัติเหตุเมื่อสามวันก่อน
เดิมทีก็ไม่ได้วางแผนลักพาตัวนางมา ที่ทำลงไปก็ด้วยอารมณ์ชั่ววูบและโอกาสมันประจวบเหมาะ ในเมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ไปแล้วเขาก็จะใช้นางเพื่อระบายแค้นให้สาสมใจ!! พี่สาวของตนถูกพี่ชายของนางบังคับเอาไปเป็นภรรยา เช่นนั้นเขาเอานางมาเป็นภรรยาบ้างก็เสมอกันแล้วใช่หรือไม่!
“ข้าสั่งให้เจ้านำผ้าไปซักที่ริมแม่น้ำ แต่เจ้ากลับโยกโย้ไม่ยอมทำ สุดท้ายเราสองคนมีปากเสียงกันแล้วก็เป็นเจ้าที่พลาดตกน้ำไปเอง นี่เจ้านอนหลับไม่ลุกขึ้นมาทำงานในเรือนไปถึงสามวันเต็มๆ ลุกขึ้นได้แล้วก็อย่ามาเล่นลิ้น รีบเอาผ้าไปซักเสีย! คนไม่ทำงานไม่มีสิทธิ์ได้กินอาหาร!” กงโม่เหอชี้ไปยังกองผ้าที่สุมไว้มุมห้อง
สามวันก่อนเขาผ่านมาพบกับกระท่อมร้างกลางป่าเข้าพอดี ดูจากฝุ่นที่จับตัวหนาและวัชพืชที่ขึ้นสูงรอบกระท่อมเขาคาดเดาว่ากระท่อมแห่งนี้อาจถูกทิ้งร้างมานานหลายปี
กงโม่เหอเห็นว่าเขาไม่อาจแบกร่างของเฉินเฉวียนอวี้ใส่หลังม้ารอนแรมไปทั่วได้ จึงได้ยึดเอากระท่อมร้างแห่งนี้เป็นที่พักส่วนตัว
เจ้าของกระท่อมคนเก่าดูเหมือนจะเป็นนายพรานคู่สามีภรรยา เพราะภายในกระท่อมยังคงมีอุปกรณ์ล่าสัตว์เก่าๆ รวมทั้งเสื้อผ้าของบุรุษและสตรีที่เก่าขาดทิ้งเอาไว้จำนวนหนึ่ง
หลังจากเลือกเสื้อผ้าสตรีที่สะอาดที่สุดมาเปลี่ยนให้หญิงสาวแล้ว ตลอดทั้งสามวันเขาก็ทำเพียงแค่ป้อนน้ำข้าวใส่ปากนางเพื่อรักษาชีวิตขององค์หญิงเอาไว้ก่อน ส่วนตนเองก็สวมรอยเป็นนายพรานออกไปล่าสัตว์มาเป็นอาหาร