ตอนที่ 2 ขบวนเสด็จ

1551 คำ
“ฝ่าบาท!!..ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ!!..โม่เหอ เจ้าไปเสีย!! ข้าไม่เป็นอะไรเชื่อฟังข้า!!” กงอวี้หลินยามนี้ไม่เหลือเค้าโครงความงามอีกต่อไป บาดแผลบนหน้าผากของนางปูดโปนโลหิตไหลเปรอะเปื้อนปนกับน้ำตา ล้มลุกคลุกคลานเข้ามาทั้งผลักทั้งดันน้องชายเพียงคนเดียวให้ถอยหลังกลับไป นางเคยได้ยินจากปากบิดามามากพอควรว่าฮ่องเต้ให้พระทัยกับคนสกุลกงไม่น้อย กิริยาวาจาอาจเอื้อมของน้องชายหากเขามิใช่ผู้แซ่กง ยามนี้คงไม่พ้นน้ำมือของฮ่องเต้อำมหิตเป็นแน่!! “ข้าไม่เป็นอะไรโม่เหอ หากเจ้ายังคิดว่าข้าเป็นพี่สาวเจ้าต้องฟังข้า กลับไปเสีย!! เจ้าคือทายาทสกุลกงคนสุดท้ายเจ้าต้องมีชีวิตอยู่เพื่อมองดูข้า! เพื่อสืบทายาทสายสกุล!!” น้ำตาแต่ละหยดของพี่สาวที่ร่วงหล่นลงมา ราวกับตกต้องกลางอกของชายหนุ่มจนหัวใจของเขาบีบรัด “ใช่ ข้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อปกป้องท่าน” น้ำเสียงของชายหนุ่มอ่อนโยนลง ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่เขาแทบจะเป็นน้องชายคนหนึ่งของเฉินจู่เหวินสามารถเข้านอกออกในวังหลวงได้โดยอิสระ ยามที่เฉินจู่เหวินขึ้นนั่งบัลลังก์มังกร ความภักดีของตนต่อฮ่องเต้ก็ยิ่งทบทวี เขาสามารถตายแทนอีกฝ่ายได้โดยไม่เสียดายชีวิต! ผิดไปเพียงเรื่องเดียวที่ตนไม่เคยแนะนำให้เฉินจู่เหวินได้รู้จักกับกงอวี้หลินมาก่อน มิเช่นนั้นเหตุการณ์ในวันนี้ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น เฉินจู่เหวินหักหาญน้ำใจของตนกับพี่สาวลงคอได้อย่างไรกัน!! อย่างน้อยก็ให้พวกเขาไว้ทุกข์ให้บิดาจนครบสามปีเสียก่อน ถามความรู้สึกของกงอวี้หลินสักหน่อยก็ยังดีว่านางเต็มใจหรือไม่ มิใช่รั้งตัวนางเอาไว้ทันทีทันใดเช่นนี้! เขาไม่ควรทำร้ายความรู้สึกของตน! คนที่เขาเรียกขานว่าน้องชายมาทั้งชีวิต!! “กระหม่อมยังคงภักดีกับแผ่นดินอู่เหลียง แต่กระหม่อมก็ยังคงยืนยันเจตนาเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ขอพระองค์จดจำคำสัตย์สาบานที่มีต่อกระหม่อมและบรรพบุรุษสกุลกงด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทูลลา!” ดวงตาของเฉินจู่เหวินไหววูบไปชั่วครู่ หัวใจรู้สึกวูบโหวงอย่างน่าประหลาดเมื่อได้ยินคำกล่าวลา แต่ยามนี้ลำคอของเขาแห้งผากเป็นผุยผงจนไม่อาจกล่าวอะไรออกมาได้อีก และไม่ต่างกันเท่าใดนัก สายตาอาลัยอาวรณ์ของกงโม่เหอจับจ้องไปที่ร่างของพี่สาว ก่อนจะสะบัดผ้าคลุมสีดำสนิทหันหลังเดินจากไปเงียบๆ ………. หุบเขาเซียงจี๋ รอยต่อระหว่างแคว้นอู่เหลียงกับแคว้นเฉิงเจ้า แสงไฟจากคบเพลิงส่องสว่างไปทั่วพื้นที่โล่งกว้างกลางหุบเขา กระโจมที่พักสำหรับองครักษ์และเหล่านางกำนัลจากแคว้นอู่เหลียงถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยล้อมรอบกระโจมขนาดใหญ่ มีผ้าม่านสีชมพูอ่อนประดับไว้ด้วยโคมไฟลวดลายวิจิตรบรรจง บ่งบอกถึงตัวตนของผู้ที่อยู่ด้านในอย่างชัดเจนว่าเป็นสตรีสูงศักดิ์ผู้หนึ่ง เหล่าทหารและนางกำนัลผู้ติดตามวุ่นวายกับการจัดการที่พัก พร้อมทั้งแบ่งกำลังพลออกไปสำรวจรอบหุบเขาเพื่อความปลอดภัยขององค์หญิงสิบสามเฉินเฉวียนอี้น้องสาวแท้ๆ ของเฉินจู่เหวินฮ่องเต้องค์ปัจจุบันนั่นเอง อีกด้านบริเวณหน้าผาสูง กงโม่เหอนั่งหลังเหยียดตรงอยู่บนหลังม้าสีดำสนิทตัวโต มองภาพความวุ่นวายกลางหุบเขาด้วยแววตาดุดันครุ่นคิด ใบหน้าหล่อเหลาแผ่รังสีเหี้ยมเกรียมอำมหิตไม่แตกต่างจากยามที่เขาจับดาบไล่สังหารศัตรูอยู่กลางสนามรบแม้แต่น้อย “เฉินจู่เหวินช่างมีช่วงเวลาที่ดีเหลือเกิน! ฮ่องเต้รับหญิงงามเข้าไปไว้ข้างกาย น้องสาวก็กำลังจะเชื่อมสัมพันธ์กับองค์ชายต่างแคว้น แล้วทหารเลวอย่างพวกข้าเล่า?!! พวกเราได้สิ่งใดตอบแทน!!” ชายหนุ่มเปล่งเสียงลอดไรฟันออกมาด้วยความคับแค้นใจ ก่อนหน้านี้เขาใช้หลายวันในการเร่งจัดการทรัพย์สินที่ได้มาจากการปูนบำเหน็จมองให้เป็นของพี่สาวทั้งหมด หลังจากฝากฝังกิจการร้านค้าแต่เดิมของสกุลกงให้พ่อบ้านในจวนดูแลแทนตนเรียบร้อย อดีตแม่ทัพหนุ่มก็โดดขึ้นหลังม้า ตั้งใจจะไปหาสถานที่เงียบสงบใช้ชีวิตเพียงลำพังเพื่อเฝ้าดูพี่สาวอยู่ห่างๆ ไม่คิดว่าระหว่างทางเขาจะมาพบกับขบวนเสด็จขององค์หญิงสิบสาม ผู้ที่กำลังจะเดินทางไปเป็นแขกพิเศษยังแคว้นเฉิงเจ้า เพื่อกล่าวคำขอบคุณที่ส่งทหารมาช่วยรบในสงครามเข้าพอดี แน่นอนว่าการเดินทางครั้งนี้ก็มีจุดหมายจะส่งเฉินเฉวียนอวี้ไปให้องค์ชายแคว้นเฉิงเจ้าดูตัวเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นในภายภาคหน้าด้วย ภายในกระโจมหลังใหญ่ที่ประดับประดาไว้อย่างสวยงาม เฉฺินเฉวียนอวี้เดินวนรอบกระโจมด้วยความวุ่นวายใจ ส่งเสียงโต้แย้งกับหมัวมัวชราและเหล่านางกำนัลไม่ขาดปาก “ข้าจะไม่ยอมนอนพักแรมที่นี่เป็นอันขาด!! เก็บของให้หมด!! ข้าจะเดินทางไปให้ถึงด่านตะวันตกเดี๋ยวนี้ห้ามผู้ใดหยุดพัก!” หญิงสาวใบหน้างดงามส่งเสียงกรีดร้องขว้างปาข้าวของใส่นางกำนัลที่ไม่ยอมทำตามคำสั่ง “องค์หญิงเพคะ..หุบเขาเซียงจี๋ขึ้นชื่อว่ามีโจรผู้ร้ายชุกชุม พื้นที่ก็เดินทางยากลำบากการเดินทางยามค่ำคืนไม่ปลอดภัยเพคะ รุ่งเช้าพวกเราค่อยรีบออกเดินทางกันจะดีกว่า” หมัวมัวชรากึ่งเดินกึ่งวิ่งตามหญิงสาวแทบไม่ทัน ปากก็พร่ำวิงวอนขอความเห็นใจกับอีกฝ่าย “ที่นี่เป็นพื้นที่ของแคว้นอู่เหลียง ภายใต้การปกครองของเสด็จพี่มีผู้ใดกล้าลงมือกับข้า!! หากเจ้าไม่ไปข้าก็จะไปเอง! องครักษ์เตรียมเคลื่อนม้า!” หญิงสาวสลัดมือออกจากนางกำนัลเดินหนีออกมาสั่งการกับองครักษ์ด้านนอก ร่างงามสะพรั่งอรชรของหญิงสาววัย 17 ก้าวขึ้นไปนั่งบนรถม้าคันใหญ่ เมื่อเห็นว่าเหล่าองครักษ์ยังคงลังเลไม่ยอมก้าวเท้าตามมา นางก็ขยับตัวออกมาทางด้านหน้า ตั้งใจจะคว้าบังเ**ยนบังคับม้าออกไปด้วยตนเอง “องค์หญิงระวังพ่ะย่ะค่ะ!!” องครักษ์หนุ่มใจหายวาบกับท่าทางน่าหวาดเสียวของสตรีผู้สูงศักดิ์ ยามนี้นางกำลังปีนป่ายขึ้นไปบนหลังม้าอย่างยากเย็นไม่ยอมแพ้ “พวกเจ้าจะไปหรือไม่ไปกันแน่!! ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าข้าจะไม่ยอมพักค้างคืนในหุบเขาบ้าๆ นี่เด็ดขาด!! หากเจ้าไม่เกรงกลัวอาญาจากเสด็จพี่ก็เชิญขัดคำสั่งข้ากันตามสบายเลย ข้าจะไปเอง!” เหล่าองครักษ์หันมาสบตากันด้วยใบหน้าซีดเผือด สองคนตัดสินใจวิ่งเข้าไปบังคับม้า อีกสองคนก็กระโดดขึ้นไปอยู่หลังรถม้าพร้อมทั้งตวัดแส้บังคับม้าให้ออกเดินทาง “เก็บข้าวของให้หมดเร็วเข้า! เราจะเดินทางกันต่อไม่หยุดพัก! อารักขาองค์หญิงสิบสาม!!” เสียงขององครักษ์ด้านหน้าตะโกนดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ “นั่นมัน...รถม้าประจำตัวขององค์หญิงสิบสามไม่ใช่หรือ? อะไรกันอีกเล่านี่!!” ทหารและนางกำนัลยังไม่ทันได้ตั้งตัวต่างพากันแตกตื่นตกใจ กว่าพวกเขาจะตั้งกระโจมเสร็จก็มืดค่ำ แล้วจะเก็บของติดตามองค์หญิงให้รวดเร็วทันใจได้อย่างไรกัน? “องค์หญิงสิบสามก่อเรื่องอีกแล้ว!! เร็วๆ พวกเรารีบช่วยกันเก็บข้าวของ” นางกำนัลกรีดร้องส่งเสียงบอกต่อกัน ตลอดการเดินทางหลายวันที่ผ่านมาเฉินเฉวียนอวี้ก็มักจะอาละวาดเช่นนี้อยู่เป็นประจำ เหลืออีกเพียงสองวันก็จะถึงค่ายทหารชายแดนตะวันตกที่มีคนจากแคว้นเฉิงเจ้ามารอรับเสด็จอีกทอดอยู่แล้วเชียว ไม่คิดว่านางจะอาละวาดขึ้นมาอีกครั้ง กลุ่มองครักษ์ที่เหลือคอยคุ้มกันองค์หญิงมีไม่ถึงสิบคน เพราะส่วนใหญ่เพิ่งจะออกไปลาดตระเวนสำรวจพื้นที่รอบ ม้าที่ผูกเอาไว้ก็ปลดอานลงมาหมดแล้ว พวกเขาคงต้องใช้เวลาอีกครู่ใหญ่กว่าจะตามรถม้าของเฉินเฉวียนอวี้ไปได้ ความวุ่นวายทั้งหมดทั้งมวลกลางหุบเขาเบื้องล่าง ร่างสูงในชุดสีดำสนิทที่ซุ่มดูอยู่ล้วนเห็นความเป็นไปทั้งหมดได้ชัดเจน “ออกเดินทางเวลานี้ โง่สิ้นดี! ต่อให้ไม่พบเจอโจรผู้ร้ายแต่หุบเขาเซียงจี๋มีหน้าผาสูงชันยากต่อการเดินทางยามค่ำคืน พวกเขาคิดอะไรกันอยู่!” สายตาคมกริบของกงโม่เหอไล่ตามหลังรถม้าของเฉินเฉวียนอวี้ไปอีกครู่ใหญ่ ริมฝีปากของชายหนุ่มยกยิ้มขึ้นเมื่อคิดแผนการอะไรบางอย่างได้ เขาเปลี่ยนสีหน้าในทันที ใบหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งตึงนั้นดูเหี้ยมเกรียมจนน่าใจหาย เร็วเท่าความคิดชายหนุ่มสะบัดข้อมือเตะขาไปที่ด้านข้างตัวม้าให้พุ่งทะยานไปเบื้องหน้าท่ามกลางความมืดมิด!!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม