เขาไม่ต้องการให้สิ่งประหลาดน่ากลัวมาปรากฏในยามนี้ ไม่ต้องการให้พ่อปู่ตามมาถึงที่พักแห่งใหม่ของเขา แม้จะรู้จักพ่อปู่มานานแล้ว ในบ้านหลังเก่า มีแต่เขาคนเดียวเท่านั้น ที่ พ่อปู่ ท่านแสดงตัวตนให้ได้เห็น พ่อปู่จะปรากฏตัวตอนใกล้ค่ำ เขาจดจำได้ดี ในครั้งแรกที่เหตุการณ์ชักนำให้เขาได้พบกับสิ่งเหนือจริง เขานั่งอยู่คนเดียวหลังบ้าน ขณะที่พ่อกับแม่และน้องๆอยู่ข้างในบ้าน เป็นช่วงเย็นที่ครอบครัวเสร็จจากรับประทานอาหารแล้ว พักผ่อนอยู่ข้างใน
แต่เขาอยากจะนั่งเล่นเพลินๆในสวนหลังบ้าน สูดดมอากาศบริสุทธิ์ เด็กชายธกฤตในวัยชั้นประถมสี่ เพราะหลังบ้านจะเป็นสวนดอกไม้ พันธ์ไม้เลื้อยที่พาดพันไปตามโครงเหล็ก ส่งกลิ่นหอมอบอวล พบกันครั้งแรก พ่อปู่ปรากฏกายในร่างของชายชราผมสีดอกเลาสวมชุดสีขาวไว้หนวดเคราอายุราวสองร้อยกว่าปี ร้องเรียกเขา
“ไอ้หนู” เด็กชายธกฤตหูแว่วได้ยิน แปลกใจยิ่งนัก พร้อมกับร่างของเขานั้นลุกเดินตรงดิ่งไปดุจราวกับต้องมนต์สะกด ตามทิศทางของเสียงที่ได้ยิน
นั่นคือเริ่มแรกที่เขาได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ ผ่านบุคคลลี้ลับ ว่าตัวเขาเอง ในอดีตชาติที่ผ่านมา ก็อยู่ในภพภูมิที่เร้นลับมาก่อน ภพภูมิที่มนุษย์ไปไม่ถึง แบ่งภาคระหว่างโลกมนุษย์กับแดนทิพย์ออกจากกัน คล้ายมิติหนึ่ง อยู่ในโลกใบเดียวกัน แต่ซ้อนภพ เหมือนคลื่นถี่ เครื่องรับสัญญาณเครื่องรับวิทยุที่ต้องจูนคลื่นความถี่ ถึงจะได้ยินเสียงและรับชมภาพได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ภพภูมิที่ยากต่อการค้นหาและคำตอบก็ดุจเดียวกัน
ธกฤตนึกถึงเด็กสาวที่วงหน้าเรียวดูสดใสตามวัย และมักจะมีรอยยิ้มเสมอ แต่เขาติว่า ช่างอยากรู้อยากเห็น อรกานต์หรือ อิ้ว เธอไม่อยากให้ใครเรียกว่าอิ้ว เดี๋ยวจะกลายเป็นซีอิ๊ว ตาสองชั้น แม้จะดูหมวย ผิวขาวเหมือนไข่ปอก แต่ก็เหมือนเด็กสาวอยากจะหลีกหนีสิ่งเหล่านี้ กรรมพันธุ์หรือชาติเกิด
ขณะที่ธกฤต เขานั้นเป็นหนุ่มหน้าไทยแท้ จนแลดูคมเข้มไปด้วยซ้ำ งานของเขาที่ออกกลางแจ้งบ่อย แดดที่ปะทะผ่านใบหน้าลำคอ ท่อนแขน สีผิวที่เคยขาวก่อนหน้านี้ มันแปรเปลี่ยนเป็นสีออกแทน
การคบหาของทั้งคู่อยู่ในฐานะแฟน และเป็นแฟนกันที่มีวัยห่างกันประมาณห้าปีด้วยซ้ำ ธกฤตยี่สิบห้า เขาเข้าเบญจเพสพอดี ขณะที่อิ้ว หรือ อรกานต์ กำลังเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย ธกฤตอยู่ในวัยทำงาน อรกานต์อยู่ในวัยเรียน เพิ่มพูนความรู้
แต่การคบหาของทั้งคู่นั้นเป็นที่เปิดเผยของทั้งสองครอบครัว วชิระกับเพชรอนันต์ เสียงโทร.มือถือดังขึ้นพอเห็นหน้าจอขึ้นชื่อแล้ว ธกฤตกดรับ
“ว่าไงจ้ะ อิ้ว” เสียงของเขายังงัวเงียอยู่นิดหน่อย เพราะก็ยังแช่ตัวเองอยู่บนที่นอนที่นุ่มสบาย ยังไม่ตื่นเต็มที่
“พี่กฤตเพิ่งตื่น” น้ำเสียงจากทางฝ่ายหญิงคาดเดา
“ว่าแต่มีอะไรกับพี่ ไม่ไปเรียนหรือ”
“อิ้วหยุดค่ะ อยากจะไปชอปปิ้งเสียหน่อย พี่กฤต หยุดด้วยไม่ใช่หรือคะ อิ้วถามจากเพื่อนพี่แล้ว พาอิ้วไปหน่อยได้ไหมคะ เราไม่เคยไปเที่ยวด้วยกันนานแล้วนะคะ”
อรกานต์บอกถึงระยะห่าง ที่ระหว่างเด็กสาวกับชายหนุ่มว่างเว้น เพราะธกฤตมีงาน ส่วนอรกานต์ก็มีเรียนตลอด การทำงานของธกฤตกลับไม่ตรงเวลา บางครั้งทำงานอยู่ในกรุงเทพ ชานเมือง หรือไม่ก็ต่างจังหวัด หากจำเป็นเขาก็ค้าง แต่ถ้าหากว่าไม่แล้ว เขาจะมานอนที่คอนโด ซึ่งหลับสบายกว่า
เขาไม่เคยพาเพื่อนมาที่คอนโด แม้แต่อรกานต์ก็ไม่เคยมาที่นี่ ธกฤตนึกถึงงูสีดำตลอดเวลา พ่อปู่นะ ทำให้เขาหลอนจนได้ มีความรู้สึกว่าทุกย่างก้าวที่ไปไหน มักจะมีร่างที่เขาไม่ได้เชื้อเชิญตามเกาะไปด้วย ให้เขาเห็นคนเดียวไม่เป็นไร ถ้าคนอื่นล่ะมีเรื่องเป็นเรื่อง คงได้ช๊อกตายจริง
“พ่อปู่ อยู่ในที่ของพ่อปู่เถอะนะ อย่าตามมาถึงนี่เลย ผมกำลังจะออกจากบ้าน นัดแฟนเอาไว้ แค่นี้ล่ะ มีอะไรค่อยคุยกัน” เขาเอ่ยด้วยคำนี้เหมือนพ่นไปกับสายลมให้รับรู้ สิ่งที่ลึกลับเหนือจริง น่าจะรับทราบ เพราะเขามีความรู้สึกว่า ร่างนั้น ไม่หนีหายไปไหน ไม่ทันขาดคำและฉับพลันนั้น ร่างมหึมาในร่างของงูมีหงอนสีแดงเข้ม ร่างสีนิลมะเมื่อมลอยอยู่กลางอากาศเหนือเพดานห้อง
“บอกว่า อย่าเล่นอย่างนี้นะปู่ ตกใจหมด” เขาปรามเสียงอย่างไม่พอใจ เขาเคยกลัวร่างตรงหน้า จนหายตกใจกลัวไปแล้ว ร่างสีดำสนิทเช่นเดียวกันทั้งตัวมีแถบครีบสีเหลือง ดีนะที่ไม่ขู่ฟ่อ ยิงเขี้ยวออกมาเพราะเขาเห็นเห็นมาแล้ว เขี้ยวโง้งคม เช่นเดียวกับพิษฉกรรจ์ แต่ดีที่พ่อปู่ฟังภาษามนุษย์ออกพูดบอกว่า จะไม่มีทางทำอันตรายเขาเด็ดขาด จะมีแต่ความช่วยเหลือเท่านั้น เขาจะเบาใจได้ไหมนี่
ใจของธกฤตยังเต้นโครมครามไม่สร่างหาย จนเขาต้องปรามตำหนิ
“อย่าเล่นอย่างนี้ได้ไหม พ่อปู่” คำขอร้องของเขา ทำให้สัตว์เลื้อยคลานที่อยู่อีกภพภูมิหนึ่งหัวร่อได้เหมือนคนที่มีความชอบใจ
“ถึงปู่จะเป็นอะไร ปู่ก็ไม่ทำอะไรเอ็ง มีแต่ดูแล เพราะเขาฝากมา”
พูดสนทนากับเขาด้วยภาษามนุษย์ จนธกฤตคลายความกลัวลงไปได้ แต่ยังตงิดคำพูด
“ใครฝากปู่มา”
“อยู่รู้เลยน่า ถึงเวลาจะรู้เอง แต่ว่าตอนนี้เอ็ง ไปไหน ปู่จะตามเอ็งไปทุกที่”
“อย่าบ้า น่าปู่ อย่าล้อเล่น” เขาตำหนิอีกเสียงเขียว เหมือนพ่อปู่เป็นเฒ่าทารกที่ไม่รู้จักโต ส่งผลให้ร่างสัตว์เลื้อยคลานยิ่งครึกครื้นหัวร่อ
“ผมถึงไม่กล้าพาใครมาที่ห้องนี้ได้ กลัวปู่ทำอะไรไม่รู้จักกาลเทศะ” เขาตำหนิอีกชุด แต่ก็ส่งผลให้ร่างเลื้อยคลานมหึมาลับหายจนดูว่างเปล่า พร้อมกับเสียงที่เคาะดังข้างนอก
“เสียงอะไรล่ะ แล้วนี่คุณพูดกับใคร” คนที่อาศัยอยู่เคียงข้างห้องเอ่ย เสียงนั้นไม่เชิงตำหนิ แต่ธกฤตเปิดประตูให้พร้อมยิ้ม
“ไม่มีอะไรครับ ผมซ้อมบทละครที่จะแสดงเท่านั้นเอง” คิดเอาตัวรอดได้ด้วยคำนี้ การโกหกเป็นเรื่องที่ไม่ดี แต่ทว่าจำเป็น
กัณหาโคตรมีกายสีดำกำเนิดจากเลนตมสกปรก ธกฤตพลิกหนังสืออ่านดู อรกานต์ตามเขามาด้วย เห็นเขาอ่านหนังสือลั้บพวกนี้แล้ว เด็กสาวเบ้หน้า เพราะเธอไม่ชอบ อยากให้เขาพาเข้าไปเดินชอปปิ้งแผนกเสื้อผ้าด้านใน หรือไม่ก็ซุปเปอร์มาเก็ต
เป็นเพียงแค่นาคทหารรับใช้คนใช้ ส่วนที่เรียกว่าพญานาคคือตระกูลเอราปัถ มีกายสีมรกตหรือเขียว ส่วนที่สูงส่งไปกว่านั้น เรียกว่าพญานาคราช คือ ฉัพยาปุตตะ มีกายสีรุ้ง เป็นพญานาคชนชั้นปกครอง เช่นเดียวกับ วิรูปักข์ มีกายสีทอง แล้วที่เขาพบเจองูสีดำในความฝัน ขนาดใหญ่ คือตระกูลกัณหาโคตร
“พี่กฤต อ่านหนังสืออะไรอยู่คะ” สิ้นคำถามของสถาปนิกหนุ่ม เขาจึงยื่นหนังสือส่งไปให้เด็กสาว หล่อนร้องตกใจ
“ว้าย งู”
“ทำไมพี่กฤตชอบอ่านเรื่องน่ากลัวอย่างนี้คะ”
“พี่อยากศึกษา เพราะมีบางสิ่งบางอย่างที่พี่อยากค้นหาคำตอบให้เจอด้วยตัวเอง”
เขายังตอบเป็นปริศนาแก่อรกานต์ซึ่งเป็นคนรัก ขณะที่หล่อนยังสุดุ้งถอยร่น ทำหน้าตาแหยงๆ รูปภาพของพญานาคตัวสีดำมะเมื่อมที่อยู่ตรงหน้า คือภาพที่เคยเห็นตามบันไดโบสถ์วัด และอรกานต์ไม่เห็นดีด้วยที่ชายคนรักจะหมกมุ่นกับเรื่องที่คร่ำครึล้าสมัย ที่หล่อนเรียกเข้าข่ายว่าดึกดำบรรพ์ และแสนจะน่ากลัว
อรกานต์ไม่พอใจแต่เก็บความรู้สึกไว้ในใจ
“พาอิ้วไปที่ซุปเปอร์เถอะค่ะ ที่นั่นมีศูนย์อาหาร อิ้วชักหิวแล้ว” อรกานต์ใช้วิธีที่ไม่อยากให้เขาสนใจแต่หนังสือหนังหามากกว่าหล่อน แต่วิธีนี้ไม่ได้ผล ถึงเขาพยักหน้า แต่บอกว่า
“เดี๋ยวก่อนนะ พี่ขอเลือกซื้อหนังสือก่อน สัก สิบห้านาที อิ้วจะไปรอก่อนก็ได้ เดี๋ยวพี่ตามไป”
คำของเขาทำให้อรกานต์หน้ามุ่ยขึ้นมา อย่างไม่พอใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ คำพูดที่เด็ดขาดแบบนี้ ทำให้รู้ว่าคนรักจะต้องทำธุระของเขาให้จบ อาจจะคว้าหนังสือที่เขาต้องการหนึ่งเล่มติดมือมาด้วย ทำให้อรกานต์ต้องเดินออกไปรอเขาที่บริเวณเก้าอี้นั่งในศูนย์อาหาร และจองโต๊ะไปในคราวเดียวกัน
แต่การรอของหล่อนก็ทำให้เกิดคำถามตามมาอีกหลายคำ รวมทั้งรู้สึกแปลกๆกับท่าทีบุคลิกที่เขาสนใจแต่เรื่องที่คนในยุคสมัยใหม่วิทยาศาสตร์ไม่สนใจกัน หรืออาจจะเป็นเพราะว่า เขาจบจากสถาปัตย์ จึงสนใจเรื่องพวกนี้มากกว่าคนทั่วไป มันอาจจะเกี่ยวกับการงานที่เขาจะต้องทำ และพบเจอ
อรกานต์นั่งไม่ติดที่เลย เมื่อทำธุระเสร็จแล้ว ธกฤตเดินถือถุงหนังสือเล่มที่เขาต้องการ กับที่เปิดอ่าน และได้มายังศูนย์อาหารตามที่อรกานต์บอก เด็กสาวไปรอเขาล่วงหน้า ยังไม่สั่งอาหาร แล้วริมฝีปากก็แย้มยิ้ม เมื่อเห็นร่างสูงเดินตรงมา ที่นี่ค่อนข้างพลุกพล่าน
“ทำไมไม่สั่งอาหารล่ะ” เขาเงยหน้าขึ้นจ้อง ร่างเล็กที่ยังคว่ำหน้าเหมือนงอนอยู่
“เอาน่า พี่เลี้ยงเอง อย่าทำอย่างนี้สิ” ตำหนิของธกฤต พร้อมกับร่างของเขาที่หย่อนก้นนั่ง ทำให้เด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม รู้สึกดีขึ้น หันมาทางเขา ก่อนที่จะส่งยื่นคูปองให้เขาหนึ่งใบ
“ไม่เป็นไรค่ะ อิ้วเป็นเจ้ามือ เลี้ยงพี่กฤตเอง รบกวนพี่กฤตหลายครั้งแล้ว เกรงใจเหมือนกัน”
ทีแรกธกฤตทำหน้างงแล้วเขาเข้าใจ ยิ้มต่อ
“ไม่ต้องหรอกน่า พี่จ่ายเอง ซื้อมาเท่าไหร่ล่ะ”
“ไม่ค่ะ ไม่ต้องจ่าย อิ้วจะออกเอง” อรกานต์แย่งตอบและรู้สึกเกรงใจเขามากยิ่งขึ้น ไม่ยอมรับกับธนบัตรใบสีม่วงที่เขายื่นส่ง ธกฤตนั่งนิ่ง บางครั้งเขาเป็นคนแข็งๆ อะไรก็ได้ และชอบติดดิน แต่ด้านฝ่ายแฟนสาว อาจจะไม่ชอบใจก็ได้ คนเรามีอะไรหลายอย่างที่ต่างขั้ว และมองกันคนละมุม
ประการอย่างหนึ่งคือธกฤตมีวัยมากกว่าอรกานต์หลายปี เขาคิดเหมือนกันว่า แฟนหนุ่มอย่างเขาอาจทำให้แฟนสาวไม่ค่อยพอใจ ไม่แน่ใจว่าจะเทคแคร์ได้อย่างที่อรกานต์ต้องการหรือเปล่า อาหารมื้อนั้น เขาเลือกทานผัดไทยทะเล ส่วนอรกานต์เลือกราดหน้าหมูเส้นเล็กในชามใบโต จนกระทั่งอิ่มกันแล้ว ใจที่อรกานต์บอกว่าอยากจะชอปปิ้งต่อที่แผนกเสื้อผ้า กลับปฏิเสธ อยากจะกลับบ้าน