เสียงพูดคุยของมารดากับลูกสาว ทำให้เอรินนั่งยิ้ม มารดากับอินทิราไม่ค่อยได้พบเจอกันบ่อยนัก หลังจากที่ท่านแยกทางกับบิดาของเอริน ซึ่งทำให้อินทิราต้องไปอยู่กับบิดา ความร่าเริงของอินทิราที่ชอบพูดแหย่มารดานั้นทำให้คนที่ได้ยิน ได้ฟัง หัวเราะไปด้วย
“นะคะ พระมารดา มาอยู่ด้วยกันได้แล้ว ไม่สงสารแอ๋มเหรอคะ ขาดความอบอุ่นมากเลยนะคะ อ๋อมน่ะ ยึดครองแม่ไว้คนเดียวเลย นะ แม่นะ นะ พรุ่งนี้ขับรถไปขนของมาเลย หรือไม่ต้องดีกว่าให้อ๋อมซื้อให้ใหม่” มารดาหัวเราะเสียงดังลั่นกับความตระหนี่ถี่เหนียวของลูกสาวคนเล็ก
“เอ๊า ไปเกี่ยวอะไรกับอ๋อมมันล่ะ” มารดาพูดเอ็ดอินทิรา
“อ๋อมใช้ตังค์ไม่ค่อยเก่งไงแม่ เอาตังค์อ๋อมมาใช้บ้างน่ะ ถูกแล้ว เอาแต่ทำงานมีเวลาใช้ตังค์เสียที่ไหน น๊า แม่นะ” เอรินยิ้มๆ ท่า
ทางมารดาสงสัยจะใจอ่อน เพราะยามปกติถ้าชวนให้มาอยู่ด้วยกันล่ะก็จะบ่นตั้งแต่เริ่ม แต่นี่เงียบๆ เหมือนกำลังคิดระคนลังเล
“ลองดูสักพัก ถ้าไม่ไหวกลับได้ใช่ไหม” มารดาถามอินทิราที่ทำท่าคิดจนท่านยิ้มๆ กับความน่ารักของลูกสาวที่ไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว
“ไม่ได้สิแม่ มาแล้วมาเลย เดี๋ยววันหยุดไปเที่ยวกัน เที่ยวบ่อยๆ ก็หายเวียนหัวกับกรุงเทพฯ เองแหละ” อินทิราหัวเราะคิกคักแล้วเข้าสวมกอดมารดาเอาไว้แนบแน่น
“เวียนหัวเรามากกว่านะ แม่ว่า” มารดาพูดขึ้น แต่ก็โอบกอดลูกสาวเอาไว้แนบแน่นเช่นกัน
“แหมรักกันน่าดู อิจฉานะเนี่ย” เอรินพูดยิ้มๆ
“เออเห็นบอกจะย้ายโรงพยาบาล ย้ายเมื่อไหร่ล่ะ” อินทราหันไปถามเอรินที่หัวเราะแหะๆ เพราะยังไม่ได้บอกกับมารดาเลย
“ไอ้แอ๋ม” เอรินพูดดุอินทิรา
“แม่ดูสิเรียกน้องไอ้ ตีเลยมะเดี๋ยวไปหาไม้มาให้” อินทิราหัวเราะ แต่ท่าทางมารดาไม่ขำด้วย นึกไปก็อยากตบปากตัวเองนักที่ถามออกมาตอนนี้
“ทำไมถึงต้องย้าย มีปัญหาอะไรหรือเปล่า อ๋อม” มารดาถามเอรินที่ขยับมานั่งใกล้ๆ
“นิดหน่อยค่ะ แต่ที่ใหม่ไกลกว่าเดิม อ๋อมว่าถ้าเลิกงานดึกคงต้องนอนที่โรงพยาบาล แม่อยู่กับแอ๋มได้นะ” มารดาโอบกอดลูก
สาวไว้คนละข้าง
“แต่ไม่ได้ทำงานหนักกว่าเดิมใช่ไหม โทรศัพท์คุยกันทีไร อ๋อมก็อยู่ที่โรงพยาบาลตลอดเลย” มารดาถามเอริน
“ไม่หรอกค่ะ ก็คงเหมือนเดิมแหละ”
“งั้นก็แล้วไป มีเรื่องอะไรไม่สบายใจ ก็คุยกันตามประสาพี่น้องนะ ถ้ากลัวแม่จะไม่สบายใจ แต่ถ้าหนักหนาอ๋อมต้องบอกแม่นะ ” มารดาตบไหล่เอรินเบาๆ
“แม่อย่าพูดซึ้งๆ สิ เดี๋ยวก็ร้องไห้กันทั้งบ้านหรอก” อินทิราเรียกเสียงหัวเราะได้อีกครั้ง
“ทำตลกไปนะ เราก็เหมือนกันมีอะไรก็ปรึกษากัน มีกันแค่สองคนคุยกันเองคงให้คำแนะนำกันได้ดีกว่า แม่” มารดาบอกกับอินทิ
ราที่เริ่มมีน้ำตาคลอ แต่ก็แอบเช็ดก่อนที่จะไหลรินออกมา
“อ๋อมแค่อกหักเอง ไม่เป็นไรหรอกแม่ ย้ายที่ทำงานแล้วเปลี่ยนเบอร์
โทรศัพท์ใหม่ ดีนะที่ไม่มีตังค์ซื้อบ้านใหม่ไม่งั้นคงได้ย้ายบ้านกัน” เอรินตีเข้าที่มือของอินทิราที่บอกมารดาไปแบบนั้น
“ไอ้แอ๋มอีกแล้วนะ” เอรินพูดดุอินทิราที่หัวเราะออกมา
“ยังไงกัน ใครทำลูกแม่อกหัก ไอ้เจ้าตรัยนั่นน่ะ หรือ” มารดายิ้มๆ เห็นลูกสาวทำหน้ายุ่งๆ เมื่อพูดถึงตรัย
“หูยไอ้หมอนั่นน่ะ คงได้แอ้มหรอก”
“เอาไว้อ๋อมค่อยเล่าให้ฟังนะคะ” เอรินยิ้มให้มารดา
“ไม่เป็นไรเรื่องมันผ่านไปแล้ว อกหักดีกว่าไม่รู้นะว่าความรักเป็นมันอย่างไร” มารดายิ้มให้เอรินที่ยิ้มกว้างมากขึ้น
“โหจ๊าบนะแม่ อกหักดีกว่ารักไม่เป็น แต่อ๋อมมันรักผู้หญิงนะ”
“สวยไหมล่ะ” มารดาถามทำเอาอินทิรารีบหันขวับมาจ้องมองมารดาในทันที ไม่คิดว่าจะได้ยินท่านถามออกมาแบบนี้
“โหอุตส่าห์ปูทางให้อ๋อมโดนซักฟอก อย่างน้อยก็น่าจะต้องโดนดุบ้าง อะไรอ๊ะแม่ ถามได้ไงว่าสวยไหม” อินทิรายิ้มให้เอรินที่
ยิ้มๆ อยู่เช่นกัน
“แม่สมัยใหม่ต้องตามลูกๆ ให้ท่าน อ๋อมก็ไม่ได้เกเรอะไรเป็นเด็กดีมาตลอด อ๋อมจะรักใครก็ได้เพราะแม่เชื่อว่าอ๋อมเลือกดีแล้ว คิดแล้ว แต่เป็นแอ๋ม อาจจะต้องคอยดุคอยว่ามั้ง” มารดาอมยิ้ม
“โหรักลูกลำเอียงเห็นๆ” อินทรายิ้มแป้น เมื่อเห็นมีคนมายืนอยู่ที่ประตู เอรินจึงหันไปมองแล้วยิ้มให้กานดา ซึ่งยิ้มๆ จ้องมองอิน
ทิราตาไม่กระพริบ
เอรินแนะนำกานดาให้รู้จักมารดาและอินทิรา มารดาพูดคุยกับกานดาอย่างสนุกสนานว่าไปกานดากับอินทิราก็คล้ายกัน ถ้ามารดาได้พูดได้คุยด้วยก็คงหายเหงาไม่คิดถึงบ้าน
“ไปบ้านหนูไหมคะ มีสาวรุ่นราวคราวเดียวกับแม่อยู่บ้านทุกวันเลย”กานดาพูดชวน ทำให้มารดาของเอรินหัวเราะออกมา
“ดีเหมือนกันนะ มีเพื่อนบ้านรุ่นราวคราวเดียวกัน เดี๋ยวนะ หนู ขอไปดูขนมนมเนยไปฝากคุณแม่หนูก่อน” เอรินช่วยพยุงมารดาเข้าไปในครัว ซึ่งมีผลไม้หลายชนิดที่ท่านนำมาฝากลูกสาว
“ยิ้มอะไร” กานดาหันไปเห็นอินทรานั่งยิ้มแป้นอยู่
“แอ๋มร้องไห้ไม่เก่ง แต่ยิ้มเก่ง ยิ้มอะไรว๊ะ ไม่รู้เหมือนกัน” อินทิรายัง คงยิ้มแป้นจ้องมองกานดาอยู่
“ถามจริง เป็นพี่น้องกับอ๋อมจริงดิ”
“ดูหน้าก็รู้มั้ง กล้าถามนะเนี่ย ต้องไปตรวจดีเอ็นเอด้วยไหม”
“ก็ดีนะ จะได้มั่นใจนิสัยไม่ได้ใกล้เคียงกันเลย”
“แอ๋มน่ารักกว่า ใช่ไหมล๊ะ” อินทิรายิ้ม เมื่อกานดากลั้นหัวเราะเอาไว้
“ช่างกล้านะ คิดว่าตัวเองน่ารักกว่าอ๋อมนะ”
“อะโด่ว เค้าหน้าตาดีกว่าตั้งเยอะ”
“สงสารอ๋อมที่มีพี่น้องแบบนี้”
“เฮ๊ยเราน่ะกวนไปหน่อย แต่ก็จริงใจนะ แหย่เล่นเท่านั้นเอง” อินทิรายิ้มๆ เลิกพูดจากวนโมโหกานดา เพราะกลัวว่า จะทำให้เพื่อนบ้านคนนี้รำคาญขึ้นมา
“ไม่หน่อยหรอกเยอะอยู่ แต่ไม่ต้องกังวล เพราะเราก็พอๆ กับแอ๋มนั่นแหละ แต่มีมารยาทกว่าเท่านั้นเอง” กานดาอมยิ้ม
“เอ๊าเหมือนโดนด่าเลย กานดาใจร้ายอ๊ะ”
“ปกติเราใจดีนะ แต่เลือกใจดีกับบางคนว่าแต่ไปบ้านเราด้วยกันไหม แม่มาแล้ว จะแบ่งกล้วยบวชชีให้กิน อ๋อมบอกว่าอร่อยนะ”
กานดายิ้มๆ กับอินทราที่ยิ้มกว้างมากขึ้น เดินเข้าไปช่วยมารดาหิ้วตะกร้าผลไม้ ซึ่งจะนำไปฝาก
เพื่อนบ้าน ซึ่งก็คือมารดาของกานดา
“นึกว่าเห็นแก่กินหรือไง ไปสิ เร็วๆ ไม่ได้กินนานแล้ว”
เอรินออกมาเดินดูกล้วยไม้ที่หน้าบ้าน ลากสายยางออกมาเพื่อรดน้ำให้ต้นไม้ที่อยู่รอบบริเวณบ้าน มองออกไปทางเยื้องๆ บ้าน
ก็เห็นรถจอดอยู่ดูคุ้นตา ชะเง้อมองไม่เห็นคนขับและทะเบียนรถ เลยตั้งใจว่า จะเดินออกไปดูที่หน้าบ้านสักหน่อย แต่ก็นึกขำตัวเอง แค่รถสีเดียวกันจอดอยู่บริเวณที่ใครคนหนึ่งเคยจอดเวลามาหา ก็คิดเป็นตุเป็นตะว่าจะใช่ เอรินถอนใจเบาๆ เลือกที่จะไม่เดินออกไปดู จนกระทั่งเห็นรถคันนั้นขับผ่านหน้าบ้านไป เอรินเห็นคนที่หันมามองได้อย่างชัดเจน
“พี่ป๊อบ” เอรินมองตามรถคันที่เร่งความเร็วขับออกไป ปานรวีหันมาเห็นเอรินเช่นกัน
เอรินเริ่มการเปลี่ยนแปลงชีวิต ด้วยการเปลี่ยนสถานที่ทำงาน รวมถึงรถยนต์คันใหม่ ส่วนคันเก่านั้นยกให้อินทิรา ซึ่งดีอกที่ใจที่ไม่ต้องเสียงสตางค์ซื้อเอง เอรินคิดว่า การเปลี่ยนวิถีชีวิตอาจจะทำให้ภาพเก่าๆ ในอดีตจางลงไปได้บ้าง แต่ก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด การไม่ได้เห็นไม่ได้พบเจอก็ใช่ว่าจะไม่คิดถึง แต่ความคิดก็เปลี่ยนไป เพราะความรัก คือการที่ทำให้คนที่เรารักมีความสุข ถึงแม้เราจะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในความสุขนั้นก็ตาม แต่ในระยะยาวเมื่อวันหนึ่งได้กลับมาพบกัน ใครคนนั้นเล่าเรื่องความสุขในชีวิตในเราฟังในสักวัน เราคงจะรู้จักความรักได้มากขึ้น มารดาบอกกับเอริน หลังจากเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นให้ฟัง
“ดูหนังกันนะ” กานดาส่งข้อความมา เอรินยิ้มๆ กับข้อความนั้นและส่งข้อความกลับไป
ปานรวีใช้เวลาหลังเลิกงานด้วยการมาเดินซื้อของ รู้สึกเบื่อๆ ขึ้นมา เพื่อนที่มาด้วยกันเลยชวนกันดูหนัง ปานรวียิ้มๆ จำไม่ได้แล้วว่า ครั้งสุดท้ายที่เข้าโรงหนังนั้นนานแค่ไหนแล้ว ทำเอาคนที่มาด้วยถึงกับหัวเราะ ระหว่างยืนมองดูโปรแกรม ก็มองเห็นกานดาคลอเคลียอยู่กับคนที่ทำให้หัวใจของปานรวีพองโตขึ้นได้ทุกครั้ง แม้เพียงแค่ได้เห็น กานดาเช็ดปากให้คนที่มักจะทานขนมเลอะเสมอ ปานรวียิ้มจางๆ ยังคงจ้องมองไปทางกานดาที่พูดคุยหัวเราะ ทำให้ปานรวีถอนใจดังเสียจนคนที่มาด้วยมองด้วยความสงสัย
“เลือกเรื่องไม่ได้ หรือไม่อยากดูล่ะ ป๊อบ”
“ไว้ค่อยดูวันหลังไหม อยากกลับบ้านแล้วล่ะ คนเยอะ ชักเวียนหัว”
“ได้สิ ดีเหมือนกัน กว่าจะดูจบก็คงดึกอยู่นะ ปะ กลับบ้านกัน”
ปานรวียิ้มจางๆ ให้เพื่อนที่กำลังจะเดินไปหันไปมองทางกานดากับเอรินที่ยังคงพูดคุยกันอยู่ที่เดิม ปานรวีรีบหลบสายตาในทันที เมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่กับกานดานั้นมองมาทางเธอและพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หวังว่าน้ำตาจะไม่ไหลรินมาก่อนที่จะกลับไปถึงรถ