กานดายิ้มจางๆ มองดูคลื่นที่พัดเข้าหาฝั่ง ลมพัดเย็นสบาย แสงแดดจางลงไปมากแล้ว ความมืดมิดคงกำลังค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาแทนที่ เอรินนั่งอยู่เงียบๆ ไม่ได้พูดอะไร สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และมองออกไปยังขอบฟ้าที่อยู่ตรงหน้า กานดาหันมามองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วยิ้ม
“ท่าทางจะเป็นคนโรแมนติกนะ” กานดาพูดขึ้น
“ใครกัน”
“อ๋อมนั่นแหละ นั่งนิ่งๆ มองออกไปแบบนี้ดีออก เรายังรู้สึกดีเลยที่ได้นั่งอยู่ใกล้ๆ อ๋อม” กานดายิ้มทะเล้นให้
“นั่งอยู่เฉยๆ เอาตรงไหนมาโรแมนติก” เอรินถามยิ้มๆ
“สายตาของอ๋อมเวลามอง” กานดายิ้ม จ้องมองดวงตาคู่สวยของคนที่คิ้วขมวดขึ้นมาทันที
“งง อยู่ หมายความว่าไง เกี่ยวอะไรกับการจ้องมองทะเล”
“แววตามีความอบอุ่น เวลาอ๋อมมองดูทะเล คนที่จะนั่งนิ่งๆ ได้เป็นชั่วโมงโดยไม่พูดอะไรเลย จ้องมองอยู่ที่เดิมสำหรับเรานะ โคตรดี ดีใจที่ได้นั่งอยู่ข้างๆ มันบอกอะไรได้หลายอย่างนะ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าอ๋อมคิดอะไรอยู่ แต่ความนิ่งของอ๋อม ทำให้เราอุ่นใจน่าแปลกปะล่ะ” กานดายิ้ม
“สาวอาร์ตติสท์เข้าใจยากเสมอ ยืมไหล่หน่อยได้ไหม เราอยากอุ่นใจบ้าง” เอรินยิ้มน้อยๆ มองสบตากับกานดาที่ขยับมานั่งให้ใกล้มากขึ้นกว่าเดิม
“เข้าใจไม่ยากหรอก รักษาแผลในใจให้หาย แล้วเปิดใจอีกครั้ง อ๋อมจะเข้าใจอะไรๆ และเห็นอะไรชัดเจนขึ้น ไหล่น่ะอยากพักพิงเมื่อไหร่ เราน่ะพร้อมเสมอนะ ขึ้นอยู่กับอ๋อมแล้วหล่ะ” กานดายิ้มๆ เมื่อเอรินทำอย่างที่พูดจริงๆ เอียงศีรษะมาพิงไว้ที่ไหล่ กานดายิ้มเมื่อแอบจูบเบาๆ ไปที่ผมของเอรินโดยไม่ให้เจ้าตัวรู้ตัว แต่คนที่ยืนแอบมองอยู่นั้น เห็นได้อย่างชัดเจน กานดาหันไปเห็นปานรวีที่
ยืนอยู่เข้าพอดี
“ไม่อยากไปสร้างแผลให้ใครอีกแล้วล่ะ” เอรินพูดงึมงำ
“อ๋อมไม่ได้สร้างฝ่ายเดียวหรอกนะ เราว่า แค่ผิดเวลาถือว่าไม่ได้ทำร้ายใคร ไม่ใช่ก็แยกย้าย คิดอะไรเยอะ รักก็บอก ไม่รักก็บอก เฮ๊ยแต่อย่าเพิ่งบอกตอนนี้ เอาไว้ให้เราทำคะแนนก่อนนะ” กานดาหัวเราะ รู้สึกได้ว่า คนที่พิงไหล่อยู่ก็หัวเราะเล็กๆ เช่นกัน กานดาหันไปทางที่เห็นปานรวีเมื่อสักครู่ แต่ก็ไม่เห็นแล้ว ถึงเอรินยังไม่ได้เล่าอะไรให้ฟัง แต่สายตาที่มองมานั้น รวมถึงช่วง เวลาก่อนหน้าที่ปานรวีไปหาเอรินที่บ้าน แถมรถยนต์ยังจอดอยู่ใกล้ๆ บ้านอยู่ทั้งคืน ถึงเอรินจะไม่บอกอะไร กานดาก็พอจะเดาได้ถึงความสัมพันธ์ของคนสองคน แต่ไอ้ผู้ชายเฮงซวยนั่นล่ะเป็นใครกัน
“อ๋อมไม่ได้น่ารักขนาดนั้นหรอกนะ กานดา”
“ไหนมีตรงไหนที่ไม่น่ารัก โคตรน่ารักล่ะสิ ไม่ว่า ไหนจะพี่ป๊อบ ไหนจะไอ้เฮงซวยนั่น เราด้วย” กานดายิ้มอายๆ
“ฉลาดเหลือเกินนะ”
“มองหน้าอย่าได้คิดว่าเราเป็นลิง” กานดาพูดยิ้มๆ รู้สึกสุขใจเมื่อเห็น เอรินได้ยิ้ม ได้หัวเราะออกมาบ้าง
“อุรัง อุตัง ก้นแดง” เอรินหัวเราะ
“แหมได้ทีเล่นใหญ่เลยนะ แต่หัวเราะได้เรายอม” กานดาบอกและกุมมือเอรินเอาไว้
“ขอบคุณนะ ที่มาอยู่เป็นเพื่อน ถ้าวันนี้ไม่มีกานดา อ๋อมคงแย่”
“ช่างเถอะ เรื่องผ่านไปแล้ว เลิกคิดดีกว่าไหม เดินหน้าต่อไป เรารู้นะ ว่าอ๋อมตัดสินใจกับบางเรื่องแล้ว ถึงแม้จะยังไม่พร้อมเล่า
ให้เราฟัง จะค่ำแล้วต้องไปทานข้าวกับคนอื่นหรือเปล่า อย่างน้อยอ๋อมก็มีผู้ใหญ่มาด้วย ไม่อย่าง นั้นจะเสียมารยาทนะ” กานดาพูดเตือนเอรินที่ยิ้มจางๆ ท่าทางไม่อยากไปร่วมรับประทานอาหารกับคนที่มาด้วยสักเท่าไหร่
“ไม่อยากไปเลย แต่ก็จริงอย่างกานดาว่า อ๋อมควรจะทิ้งเรื่องต่างๆ ไว้ข้างหลัง เพราะมันผ่านไปแล้ว” เอรินยิ้มให้กานดานึกขอบคุณที่พูดเตือน
“เก็บเขาไว้ในใจได้ เราอนุญาต” กานดาหัวเราะ ลุกขึ้นยืนช่วยดึงเอรินให้ลุกขึ้นและพากันเดินกลับไปยังโรงแรมที่พัก
เอรินแนะนำกานดาให้รู้จักกับโตมร ปานรวีและตรัย ซึ่งแทบจะไม่กล้าสบตากับกานดาเลยด้วยซ้ำ กานดาทักทายทุกคนรวมถึงปานรวีเหมือนคนที่เพิ่งเคยรู้จัก แต่แอบอมยิ้มเมื่อเห็นเบ้าตาเขียวช้ำของตรัยที่เกิดขึ้น เพราะฝีมือของตัวเธอเอง กานดาหันไปยิ้มๆ ให้เอริน ปานรวียิ้มน้อยๆ มองดูกานดาทีและตรัยที นึกถึงภาพที่เห็นเมื่อช่วงบ่ายก็อดไม่ได้ที่จะนึกขอบคุณกานดา ถึง แม้จะไม่มีโอกาสได้พูดออกไป เพราะเสียงเอะอะของกานดาถึงได้ทำให้ปานรวีเห็นตรัยกำลังทำไม่ดีกับเอรินและกานดาก็ช่วยเอรินได้ทันเวลาพอดี
“ตาไปโดนอะไรมานายตรัย ออกไปเที่ยวตลาดกับสาวๆ มาไม่ใช่หรือ” โตมรถามน้องชาย ปานรวีจ้องมองด้วยสายตาเรียบนิ่งแต่ตรัยก็ไม่ได้ละสายตาแต่อย่างใดจ้องปานรวีเขม็งเช่นกัน เอรินรู้สึกไม่ค่อยพอใจนักที่ตรัยมองปานรวีอย่างนั้น กานดาเองก็สังเกตเห็น
“อุบัติเหตุ นิดหน่อยครับ” ตรัยพูดขึ้น แล้วเริ่มรับประทานอาหารโดยไม่ได้พูดอะไร
“แขนเป็นไงบ้าง อ๋อม” ปานรวีถามเอรินที่ยิ้มน้อยๆ ให้
“ทายาแล้วค่ะ เดี๋ยวก่อนนอนทานยาแก้ปวด คงไม่เป็นอะไรแล้วล่ะคะ ขอบคุณค่ะ พี่ป๊อบ” ตรัยถอนใจเสียงดัง วางช้อนส้อมแสดงอาการคล้ายคนที่เบื่ออาหารทำเอากานดารู้สึกหมั่นไส้ คนที่ท่าทางจะไม่รู้สึกผิดอะไรกับสิ่งที่ทำลงไป ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นผู้ชายแท้ๆ
“อ๋อมไปโดนอะไรมาคะ” โตมรมองไปที่รอยเขียวช้ำที่แขนของเอริน
“เล่นกับหมา หมาเลยขย้ำเอาค่ะ” กานดาตอบแทนเอริน อีกสองสาวที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยอมยิ้ม เมื่อเห็นท่าทางนั่งไม่ติดของตรัยที่ออกอาการฮึดฮัดเล็กน้อย กานดาพูดยิ้มๆ แล้วทำหน้านิ่ง
“หมาอะไรจะกัดแบบนั้นคะ มีแต่รอยช้ำ ไม่มีรอยเขี้ยวเลย” โตมรถามด้วยความสงสัย
“ตัวผู้ด้วยค่ะ แต่หนูจัดการไปเรียบร้อยแล้วค่ะ คงไม่มากัดซ้ำแน่นอนค่ะ พี่โต” กานดาอมยิ้ม โตมรยิ้มๆ กับความน่ารักช่างพูดช่างคุยของกานดาที่ออกจะพูดอะไรแปลกๆ บางทีได้ยินก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก
“แน่ใจนะคะ ว่าใช่หมา” โตมรหัวเราะ
“หมาจริงๆ ค่ะ หมาแท้ๆ” กานดาอมยิ้ม เมื่อเห็นตรัยถลึงตาใส่
“ผมอิ่มแล้วครับ ขอตัวไปหาอะไรดื่มก่อนนะครับ” ตรัยพูดจบ ก็รีบลุกเดินออกไปในทันที
“พี่โตกับตรัยเป็นพี่น้องกันจริงๆ หรือคะ” กานดาถาม เอรินเลยหยิกเข้าที่แขนแต่เจ้าตัวทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ กานดาแอบคิด บางทีควรจะบอกกับพี่ชายของตรัยไปตามตรงจะได้ตักเตือน โตมรดูสุภาพเรียบร้อยแต่น้องชายนั้นรังแกผู้หญิงแบบนี้ น่าจะได้รับการตักเตือนจากพี่ชาย นั่นคือสิ่งที่กานดาคิด
“คงโดนตามใจมากไปน่ะคะ”
“คุณหนูนั่นเอง” กานดาพูดขึ้น
“พอได้แล้ว กานดา” เอรินพูดดุ
“เอ๊าเราไม่ได้พูดอะไรผิดสักหน่อย โดนตามใจมาก ก็เป็นคุณหนูไม่ถูกหรือ” กานดายิ้มให้กับโตมาที่หัวเราะ แต่ก็แอบสงสัยว่า ท่าทางเพื่อนของ เอรินคงจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าน้องชายของเขาสักเท่าไหร่ กานดายิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นปานรวีมองมาทางเอริน ซึ่งคนที่นั่งอยู่ข้างๆ นั้นก็ยิ้มน้อยๆ ให้ปานรวี แต่ก็แค่เพียงครู่เดียว
“ไปดูดาวกันดีกว่า รบกวนพี่ป๊อบกับพี่โตนานแล้ว” เอรินพูดขึ้น
“ขอบคุณมากค่ะ สำหรับอาหารมื้อค่ำ” กานดาบอก พร้อมกับพนมมือไหว้ทั้งปานรวีและโตมรที่รับไหว้พร้อมด้วยรอยยิ้ม
“เรื่องห้องพักด้วยนะคะ พี่จัดการให้เรียบร้อยแล้ว” โตมรบอก
“ขอบพระคุณมากค่ะ พี่โต” เอรินบอกขอบคุณโตมรแทนกานดา
“ไปดูดาวกันค่ะ พี่ป๊อบ” กานดาพูดชวน เอรินจึงหยิกเข้าที่มือ
“พี่ไปด้วยได้ หรือคะ” ปานรวีถาม หันมามองสบตากับโตมรนิดหนึ่ง
“ก็ดีนะคะ ดีกว่ามานั่งเป็นเพื่อนพี่ดื่ม เดี๋ยวพี่ขึ้นไปดื่มที่ห้องดีกว่า”
“ได้สิคะ ห้องพักหนู ยินดีต้อนรับพี่ป๊อบอยู่แล้วค่ะ ไปค่ะ แต่เราควรหาเครื่องดื่มติดไม้ติดมือกันขึ้นไปดีกว่าไหมคะ” กานดายิ้ม
“เอาสิ เดี๋ยวพี่จัดการให้” ปานรวียิ้มน้อยๆ มองสบตากับเอรินที่หลบสายตาในทันที
กานดายิ้มๆ พาอีกสองสาวเข้ามาในห้อง และนำหน้าออกไปที่ระเบียง ซึ่งท้องฟ้านั้นมืดมิดมาพักใหญ่แล้ว เก้าอี้ที่ระเบียงคล้ายเตียงนอนชายหาด กานดาลากมาชิดติดกันแล้วผายมือให้เอรินกับปานรวี ส่วนตัวเองไปยกเก้าอี้มาวางไว้ พร้อมส่งเบียร์ให้กับสองสาวที่นั่งลงก่อนคนละขวด
“ถ้าจะดูดาว ต้องใช้ความมืดช่วย” กานดาพูดขึ้น เอรินหันไปมองคนที่ยิ้มๆ เหมือนมีแผนการ เพราะยกเครื่องโทรศัพท์ที่ถืออยู่ให้ดู
“ก็เห็นอยู่นะคะ” ปานรวีบอก
“ไม่ชัดหรอกคะ หนูขอไปปิดไฟก่อน รับรองได้ว่า ชัดขึ้นอีกเยอะเลยค่ะพี่ป๊อบ” กานดายิ้มให้ปานรวีที่พยักหน้าให้ ปานรวีจิบเบียร์เย็นๆ ที่รับมาจากกานดา ชำเลืองมองไปทางคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เอรินก็จิบเบียร์อยู่เช่นกัน เสียงประตูห้องปิดดังคลิก เอรินกับปานรวีรีบหันไปมองพร้อมกันในทันที
“แม่จอมวางแผน” เอรินรำพึงออกมาเบาๆ
“พี่กลับห้องดีกว่า” ปานรวีบอก เมื่อได้ยินเอรินพูดออกมาเมื่อครู่
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ว่าแต่พี่ป๊อบอยากอยู่หรือเปล่ามากกว่า” เอรินพูดโดยไม่ได้หันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ
“มีบางอย่าง สวยกว่าดาวอีกนะ”
“จริงหรือคะ”
“พี่ชอบมองทะเลมากกว่า ชอบเส้นขอบฟ้า ชอบเสียงคลื่น ชอบลมทะเลที่พัดเข้าหาเรา” ปานรวียิ้มๆ นึกถึงดวงตาคู่สวยของเอริน ซึ่งเวลาจ้องมองเธอนั้น สวยกว่าดวงดาวบนฟ้านั้นเป็นไหนๆ
“อ๋อมชอบเส้นขอบฟ้า บางทีก็แอบคิดนะคะ ว่าตัวเองเหมือนคนที่ไม่มีจุดหมายปลายทางหรือเปล่า” เอรินบอกเล่าความคิดของตัวเอง
“ทำไมคิดแบบนั้นล่ะ อย่างน้อยตอนตัดสินใจที่จะเรียนแพทย์ ก็ต้องคิดบ้างนะ พี่ว่า เรียนก็ยากจะตายทำงานก็หนัก” ปานรวีพูดคุยกับเอรินโดยที่ไม่ได้หันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เรียกว่า ไม่ค่อยกล้าหันไปมองมากกว่า กลัวใจตัวเองที่จะหวั่นไหวไปกับสายตาของเอรินที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นใจเสมอ
“อ๋อมอยากให้คนรอบตัวมีความสุข ตอนนั้นที่ตัดสินใจสอบเข้าเรียนคิดว่า ถ้าเราสามารถทำให้คนป่วยหายดีจนกลับบ้านได้ รอยยิ้มจากญาติๆ และคนป่วยเอง เวลาเราได้เห็นคงมีความสุข” เอรินบอก
“คิดดีนี่ นึกว่า คิดว่าจะมีคนชื่นชมเสียอีก เวลาสอบติดแพทย์ได้เป็นนักศึกษาแพทย์โก้จะตายไปนะ สำหรับช่วงเรียนมหาวิทยาลัย”
“เหนื่อยสาหัสค่ะ พอได้ไปเรียน” เอรินหัวเราะเล็กๆ ทำให้ปานรวียิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว จนทำให้คิดว่า บางทีการไขว่คว้าอะไรมากๆ ความสุขกลับอยู่กับเราเพียงชั่วครู่ชั่วยาม แต่กับแค่การได้อยู่ใกล้ๆ ได้พูดได้คุยบ้างกลับทำให้สุขใจมากเสียกว่า นี่กระมั้งที่พระท่านสอนเอาไว้ว่า ถ้ารู้จักปล่อยวางก็จะเห็นความสุขได้ชัดเจนขึ้น
“แล้วจริงๆ มีความสุขอย่างที่คิดไหม เวลาคนไข้ได้กลับบ้าน”
“ค่ะ แต่ก็ไม่ได้กลับกันทุกคน” เอรินพูดเสียงแผ่วๆ
“ถึงไม่ได้กลับบ้าน แต่เขาก็ไม่เจ็บปวดแล้วนี่นา พี่รู้นะ ว่าอ๋อมคงทำเต็มที่แล้วล่ะ”
“จริงของพี่ป๊อบนะคะ อ๋อมจะจำเอาไว้ ถึงคนไข้จะจากไป เขาเหล่านั้นก็ไม่เจ็บปวดแล้ว” เอรินยิ้มน้อยๆ สายตายังคงจ้อง
มองอยู่จุดเดิม ไม่กล้าหันมามองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เพราะรู้ดีว่า เวลาได้ใกล้ชิดทีไร หัวใจของตัวเองนั้นอ่อนแอตลอดเวลา ไม่อยากให้
ความรู้สึกที่กำลังพยายามซุกซ่อนเอาไว้ออกมาเผยตัวให้เกิดเรื่องและสร้างความไม่สบายใจขึ้นอีก
“เราจะได้เจอกันอีกไหมคะ” ปานรวีถามขึ้น ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมถึงได้ถามออกไปอย่างนั้น หากคำตอบไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ แต่ถึงอย่างไร เส้นทางที่เลือกก็คงไม่มาบรรจบกันอยู่แล้ว เอรินคงเลือกและตัดสินใจแล้วที่จะอยู่ห่างๆ ตัวเธอเองก็คงทำได้แค่เฝ้ามองและดูแลเอรินอยู่ห่างๆ เช่นกัน
“อ๋อมขอเวลาสักพักนะคะ หลังพี่ป๊อบแต่งงานหรืออะไรแบบนั้น”
“หลังจากนั้น เราจะกลับมาคุยกันแบบนี้ได้อีก อย่างนั้นหรือเปล่า”
“อ๋อมไม่รับปากนะคะ หวังว่าอ๋อมจะคุยกับพี่ป๊อบได้ แบบที่ไม่ได้รู้สึกกับพี่ป๊อบเหมือนตอนนี้” เอรินถอนใจเบาๆ ที่พูดความรู้สึกออกมา
“พี่เข้าใจค่ะ ขอบคุณนะอ๋อม” ปานรวีบอก
“ค่ะ”
“เรื่องตรัย พี่จะจัดการให้นะ” ปานรวีพูดขึ้น เอรินจึงรีบหันมามองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ซึ่งนั่งนิ่งๆ จนน่าหวั่นใจ ไม่เคยเห็นท่าทางเอาจริงแบบนี้มาก่อนตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จักกันมา
“ตรัยไม่ได้ผิดอะไรเลยนะคะ พี่ป๊อบ คงโกรธแทนพี่โต” เอรินพูดเสียงอ่อยๆ รู้สึกใจคอไม่ค่อยดีนัก
“โกรธก็มีวิธีอื่นเยอะแยะ ไม่ใช้ทำรุนแรงแบบนั้น ถ้าไม่มีใครไปเห็นจะเกิดอะไรขึ้น” ปานรวีพูดเสียงเข้ม
“อย่าเลยค่ะ เดี๋ยวจะไปกันใหญ่ อ๋อมไม่อยากให้ใครมาพูดไม่ดี คิดไม่ดีกับพี่ป๊อบ และตรัยคงไม่ทำอะไรอย่างนั้นอีก”
“อ๋อม”
“คะ” เอรินหันมามองสบตาปานรวีที่ยิ้มให้ แววตาคู่นี้ไม่เคยเปลี่ยนไปมองแบบที่เคยมองเวลาได้อยู่ใกล้ๆ กัน เอรินหลบสายตาโดยก้มหน้าเล็กน้อย
“พี่รักอ๋อมนะ จะรักไปเรื่อยๆ เลยล่ะ คงมีความสุขเวลาได้คิดถึงอ๋อม ตั้งใจไว้ว่า จะเปิดเพลงที่อ๋อมเคยกล่อมฟังก่อนนอน ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะคะ ไม่ว่าจะอย่างไรพี่ดีใจนะที่มีอ๋อมเข้ามาอยู่ในชีวิต ไปล่ะ” ปานรวีทำท่ารั้งรออยู่ครู่หนึ่ง เอรินยิ้มน้อยๆ มีน้ำตาคลออยู่ จูบลาประทับไปที่ริมฝีปากของคนที่ขยับตอบรับเล็กน้อย ปานรวีเช็ดน้ำตา แล้วรีบลุกออกไปในทันที การก้าวเดินออกมาอาจจะทำให้เรื่องราวกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง อาจจะได้ดูแลบ้าง ในฐานะคนรู้จักหรือเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่ง เพราะความนิ่งๆ กับสายตาที่จ้องมองมาเมื่อได้ยินคำว่า รัก นั้น ทำให้ปานรวียิ้มน้อยๆ และเดินจากไป ด้วยความ รู้สึกว่า ควรดีใจนะที่ได้รู้จักความรักทั้งได้รักและถูกรัก ถึงแม้จะเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม