นกน้อยคืนรัง ตอนที่ 2

3786 คำ
“คืนนี้ย่าหยานอนกับพ่อนะครับ” “น้องหยาจะหาแม่...” หนูน้อยรัดกอดร่างใหญ่ของเขาที่กำลังขับรถด้วยความไร้เดียงสา ศิลาภินสะอึกจุกอกไปชั่วขณะ  คุ้มขวัญยังเด็กนักยังไม่อาจเข้าใจถึงการสูญเสียนั้น แต่เด็กน้อยก็รู้ว่าตลอดเวลาสามวันที่ผ่านมา แม่ของเธอไม่ได้อยู่เคียงข้างเหมือนอย่างเคย ความหวังของเธอคืออีกหน่อย...แม่ก็คงกลับมา “แม่จีนเขาไม่อยู่กับเราแล้วลูก...ย่าหยาเข้มแข็งนะคะ พ่อสัญญาว่าจะดูแลลูกแทนแม่เขาเอง” “แม่ไปไหน...น้องหยาหาจะแม่” คุ้มขวัญแหงนมองหน้าบิดาสุดที่รักอย่างเศร้าสร้อย “แม่...แม่เขาไปสวรรค์จ้ะ คงอีกนานกว่าจะกลับ...แม่เขาไปทำงานนะย่าหยา” การโกหกเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี แต่วินาทีนี้จะให้เขาตัดรอนจิตใจบริสุทธิ์ดวงน้อย โดยการอธิบายถึงสิ่งที่เธอเพียรถามครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ดูจะโหดร้ายทารุณเกินไป “น้องหยาเห็นรูปแม่...” “หือ...รูปแม่ก็มีตั้งหลายใบนี่จ๊ะ ย่าหยาเห็นที่ไหน” “ที่ที่เรามาเมื่อกี้ไงคะ ย่าหยาเห็นรูปใหญ่เลยมีดอกไม้เต็มเลยด้วย” ศิลาภินนึกขึ้นได้ทันทีว่าเป็นที่ศาลาวัด รูปที่หนูน้อยเห็นก็คือรูปหน้าศพนั่นเอง แต่ด้วยความเยาว์วัยเธอจึงเอ่ยชื่อเรียกออกมาไม่ถูก “เอ่อ...ที่นั่น...คือ...จริงๆ แล้วเราทุกคนก็ต้องมีวันหนึ่งที่จะต้องเอารูปไปไว้ตรงนั้น...ไม่มีใครหนีพ้นหรอกจ้ะ”  ชายหนุ่มพยายามอธิบายให้บุตรสาวฟัง ดูเหมือนทำให้เธอยิ่งจะสงสัย             “ทำไมคะ...”             “สักวันหนึ่งเมื่อลูกโตกว่านี้ลูกก็จะรู้ทุกอย่าง ตอนนี้ลูกยังเด็กอยู่มากบางสิ่งบางอย่างพ่ออธิบายยังไงแต่ลูกยังไม่เคยเจอไม่เคยเห็นกับตาฟังยังไงก็ไม่เข้าใจหรอก...รู้ไหมคะ”             “ค่ะ...แล้วอีกนานไหมคะกว่าแม่จะกลับ” แม้ไม่ร้องไห้โยเยเพราะมีคนคอยเอาใจใส่ดูและตลอด แต่ทุกคนก็รู้ว่าเด็กน้อยนั้นจิตใจจดจ่ออยู่กับการกลับมาของมารดาเธอทุกวัน แม้จะช่วยกันหลอกล่อเพียงใดแต่คุ้มขวัญก็หลงลืมไปชั่วขณะเท่านั้น พอนึกขึ้นได้เธอก็ถามหาแต่ฉัตรชฎาอยู่เสมอ             “อีกไม่นานหรอกค่ะ...พ่อรับรองว่าย่าหยาจะต้องได้แม่มานอนกอดทุกคืนแน่ๆ” จริงๆ แล้วคำตอบนี้มันผุดขึ้นเมื่อใบหน้าของใครบางคนลอยเข้ามาในห้วงคำนึงของเขา ย่าหยาน้อยไม่อาจรู้เลยว่าบิดากำลังคิดอะไรอยู่ เธอยิ้มอย่างดีใจกับคำตอบว่าอีกไม่นาน…               เสียงรถที่แล่นเข้ามาในบ้านทำให้หญิงสาวที่กำลังเดินออกจากห้องน้ำชะงักฝีเท้า เธอมองไปยังนาฬิกาตรงฝาผนังเวลาเพิ่งจะสองทุ่มกว่าๆ เท่านั้น ทำไมบิดาและมารดาของเธอถึงได้กลับมาเสียแล้วล่ะ ก็ไหนบอกว่าจะรอฟังสวดพระอภิธรรมเสียก่อนแล้วค่อยกลับ หรือมีใครเกิดไม่สบายขึ้นมาอย่างกะทันหันหรือเปล่าถึงได้กลับมาก่อนเวลาอย่างนี้             ผ้าขนหนูสีชมพูอ่อนถูกยกขึ้นเช็ดขยี้ผมที่เปียกน้ำ และเดินออกไปจากห้องหวังจะออกไปพบบุพการี กันต์ศิตางค์เดินลงบันไดด้วยชุดคลุมอาบน้ำและมีผ้าขนหนูรวบผมเอาไว้ลวกๆ บ้านทั้งหลังยังคงเงียบสนิทไม่มีใครอยู่นอกจากเธอ ทุกคนแม้แต่แม่บ้านหรือคนขับรถที่เพิ่งมาส่งต่างไปอยู่ช่วยในงานศพที่วัด ไฟหลายดวงเปิดสว่างให้บ้านดูไม่น่ากลัวนักแม้ต้องอยู่เพียงลำพัง             “นี่คุณ...เข้ามาได้ยังไงเนี่ย” เสียงแหลมปรี๊ดจากขั้นบันไดเรียกให้ชายหนุ่มที่อุ้มบุตรสาวไว้แนบอกแหงนหน้าขึ้นไปมอง             “พี่พาย่าหยามานอน...ย่าหยาง่วงแล้ว” ศิลาภินตอบเสียงเรียบใช้สรรพนามแทนตัวเหมือนเดิมหลังจากที่ไม่ได้ใช้มันมานานแล้ว เขาหลบสายตาจากร่างงามในชุดล่อแหลม แสงไฟที่สว่างโร่ทำให้สามารถเห็นเธออย่างชัดเจน                                                                                         '    “จะนอนก็ไปนอนที่อื่นสิ พากันมาที่นี่ทำไม”             “ย่าหยาอยู่ที่นี่...จะให้พี่พาไปไหนล่ะ”             “หมายความว่ายังไง...เด็กนั่น...”             “พี่จะพาย่าหยาไปนอนก่อน...สงสัยอะไรเราค่อยมาคุยกันทีหลัง ย่าหยาน่าสงสารมากพอแล้ว อย่าให้ต้องมารับรู้เรื่องอะไรที่สะเทือนใจเข้าไปอีกเลย พี่เป็นห่วงลูก” ชายหนุ่มค่อนข้างไม่พอใจกับคำเรียกขานบุตรสาวที่ออกมาจากปากของกันต์ศิตางค์ เขารู้ว่าหากคุยกันต่อหญิงสาวจะต้องโยงเรื่องในอดีตมารื้อฟื้นและหนีไม่พ้นต้องพาดพิงถึงเด็กน้อยด้วยแน่ๆ จึงตอบเลี่ยงและอุ้มลูกสาวเดินขึ้นบันได สวนทางกับเธอไปยังห้องนอน             ‘พี่เป็นห่วงลูก’ มันคือคำเดียวที่สะท้อนก้องอยู่ในหู แม้เจ้าของคำพูดจะเดินสวนขึ้นไปด้านบนและหายลับเข้าห้องอีกห้องนานแล้ว เด็กคนนั้นสินะ เป็นเพราะเด็กคนนั้นที่พรากเขาไปจากเธอ ดูศิลาภินจะรักและเอาใจใส่ลูกของเขามาก สังเกตได้จากที่เห็นตั้งแต่ในวัด เขาไม่ยอมอยู่ห่างกันเลย  แม้ฉัตรชฎาจะจากไปแล้วแต่น้องสาวต่างมารดาของเธอก็ยังทิ้งหอกแหลมๆ ไว้ค่อยแทงทิ่มไม่ยอมให้เธออยู่อย่างเป็นสุข ทำไมนะ...หรือเธอเคยไปสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจอะไรให้ ฉัตรชฎาถึงจองล้างจองผลาญไม่ยอมเลิกรา แม้ตัวเองได้ลาโลกไปแล้วก็ยังไม่ยอมปล่อยให้เธออยู่อย่างสงบสุขได้                                                                       ช่วงเวลาสี่ปี เธอหนี...หนีหัวใจ หนีไปจากความทรมานเพราะถูกหักหลัง แต่จวบจนวันนี้ความรู้สึกต่างๆ มันกลับไม่เคยบรรเทาลงเลยแม้แต่นิดเดียว ยังเจ็บปวด ยังทุกข์ทน ยังทรมานราวกับจมอยู่ ณ เวลานั้นตลอดเวลา มีใครไหมเข้าใจความรู้สึกนี้ มีใครไหมแยแสหัวใจที่บอบช้ำของเธอเลยแม้แต่น้อย             กันต์ศิตางค์ปาดน้ำตาที่คลอเบ้าและเริ่มจะปริ่มไหลออก รีบหันหลังจ้ำเดินขึ้นด้านบนและมุ่งเข้าห้องของตัวเองบ้าง ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือถูกนะที่กลับมา เธอก็แค่คิดถึงโหยหาบ้านเกิด อยากอยู่ในอ้อมกอดบิดามารดาเหมือนที่เคยอยู่ตั้งแต่เล็กแต่น้อย ไม่มีใครรู้หรอกว่าการใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในต่างบ้านต่างเมืองมันเหว่ว้าขนาดไหน โดยเฉพาะกับคนที่มีแผลใจช้ำหนักอย่างเธอ บอกได้คำเดียวเลยว่า....ทรมานเหลือเกิน             ก๊อก ก๊อก ก๊อก “จีนัส...เปิดประตูให้พี่หน่อย” เสียงจากด้านนอกตรงประตูเรียกร่างที่ฟุบอยู่บนที่นอนพยุงค่อยๆ พยุงตัวลุกนั่ง นี่เธอร้องไห้จนเผลอหลับไปเลยหรือ             “จีนัส...จีนัส...เปิดประตูหน่อย เป็นอะไรหรือเปล่า” ชายหนุ่มเรียกซ้ำเมื่อการตอบรับคือความที่เงียบผิดปกติ             “มีอะไร...” กันต์ศิตางค์ร้องถามโดยไม่ยอมเปิดประตูให้             “พี่มีเรื่องจะคุยด้วย...ไม่นาน”             “ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ...อีกอย่างฉันก็เหนื่อยมากอยากนอนแล้ว” คำตอบห้วนๆ ย้อนกลับอย่างไม่ใส่ใจ แม้ความอยากรู้อยากเห็นจะมีอยู่เต็มอกในหลายๆ เรื่องแต่การเปิดประตูพบเขาในยามวิกาลและตามลำพังอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องที่เธอสมควรทำเลย อีกอย่างก็ได้เห็นหน้าพูดคุยกับเขาก็ยังเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากอยู่                                                                     “พี่รู้ว่าเธอไม่อยากเห็นหน้าพี่ ไม่อยากคุยกับพี่...แต่พี่มีเรื่องสำคัญจริงๆ จะพูดด้วยถ้ารอช้ามันจะสายเกินไป และเธอเองนั่นแหละที่จะเสียใจไปตลอดชีวิต”             “งั้นก็พูดมาเลยสิ...ไม่เปิดประตูก็คุยได้ฉันฟังรู้เรื่อง รีบพูดแล้วก็รีบไปซะฉันจะได้นอนซะที”             “โอเค...พี่ยอมเธอคุยตรงนี้ก็ได้ ไม่มีอะไรมากหรอกแค่มันเป็นเรื่องสำคัญที่เธอมีโอกาสทำในช่วงเวลาสี่วันนี้เท่านั้น ไม่มีใครบังคับหรอกจีนัสขึ้นอยู่กับว่า เธอจะตัดเรื่องในอดีต และพร้อมจะให้อภัยคนที่เขาจากไปแล้วได้แค่ไหนเท่านั้น”             “พูดมาเลยดีกว่าไม่ต้องพิรี้พิไร...ฉันบอกแล้วไงว่าง่วง...อยากนอน” หญิงสาวเริ่มหงุดหงิดเมื่อเขาไม่ยอมเข้าเรื่องเสียที แถมยังพูดพาดพิงถึงใครบางคนที่จากไปชั่วนิรันดร์ให้ได้ยินอีกแล้ว นี่ชีวิตเขาจะไม่มีวันลืมฉัตรชฎาเลยแม้สักวินาทีเลยหรือไร รู้ทั้งรู้ว่าได้ร่วมกันมอบความเจ็บปวดให้เธอหนักหนาสาหัสแค่ไหน ยังจะมาพรรณนาถึงให้เธอฟังอีกหรือ             “อีกสี่วันศพจีนก็จะถูกเผาแล้ว...พี่อยากให้เธอไปจุดธูปอโหสิกรรมให้จีน...”             “ไม่จำเป็น...ฉันอโหสิกรรมให้ไปตั้งนานแล้ว นี่หรือเรื่องที่บอกว่าถ้าฉันไม่ทำแล้วจะเสียใจไปตลอดชีวิต เสียใจด้วยนะคุณศิลาภินคุณคิดผิดแล้วมันเป็นเรื่องที่น่ายินดีต่างหาก”                                                                 หญิงสาวบอกข้ามผนังประตูด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด ในส่วนลึกของหัวใจกันต์ศิตางค์ยอมรับแต่โดยดีว่ารู้สึกเสียใจ เศร้าและหดหู่กับการจากไปของน้องสาวต่างมารดาเหลือเกินแต่เธอก็เก็บมันเอาไว้สุดหัวใจเช่นกัน จำได้ว่าตั้งแต่เล็กจนโตเธอผูกพันกันมาก รักกันมากแทบจะไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่ามีสายเลือดร่วมกันเพียงครึ่งเดียว ดูแลและเอาใจใส่กันเหมือนพี่น้องที่คลานตามกันมา แต่แล้วทุกอย่างก็มีพังทลายลงอย่างไม่เหลือแม้เศษซากความรู้สึกดีๆ คงมีแต่ความบาดหมางที่กินใจไปจนวันตราบวันสิ้นลม             “จากวันนั้นจนกระทั่งวันที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ เรื่องเดียวที่จีนรู้สึกติดค้างมาตลอดคือเรื่องของเธอนะจีนัส จีนอยากขอโทษอยากให้เธอให้อภัยและกลับมาเหมือนเดิม...จีนรอเพื่ออยากเห็นหน้าเธอเป็นครั้งสุดท้าย รอจนรอไม่ไหวและจากไปทั้งน้ำตา...จนวินาทีสุดท้ายจีนก็ยังเรียกหาเธอ...” น้ำเสียงเริ่มอ่อนลงอย่างเจ็บแค้นตอนท้ายประโยค นั่นสร้างความเจ็บจุกให้คนฟังได้ไม่น้อย แต่จะให้ทำอย่างไรได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเธอไม่ได้เป็นคนก่อ             “ขอบอกอีกครั้งว่าฉันอโหสิกรรมให้ไปนานแล้ว และทุกอย่างสำหรับฉัน มันจบไปตั้งแต่เมื่อสี่ปีก่อนอย่ามาขอร้องให้ฉันทำอะไรที่ไม่อยากทำ อย่าบังคับให้ฉันลืมเรื่องทุกอย่างเหมือนคนมักง่ายที่ทนเจ็บครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่รู้จักจำ...ฉันทำไม่ได้ ออ...ฉันจะนอนแล้ว”  สิ้นเสียงหวานๆ ชายหนุ่มยังได้ยินเสียงฝีเท้าเดินจากไปและค่อยๆ เบาลง เป็นคำตอบให้เขาได้เป็นอย่างดีว่าคงต้องผิดหวังกลับไป ใช่จะไม่รู้ ใช่จะไม่รู้สึกทุอย่างที่เกิดขึ้น แต่เขาก็แก้ไขอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องช่วยพิสูจน์ความจริง รักสามเส้าครั้งเมื่อสี่ปีก่อนจบลงด้วยความทุกข์ และไม่มีใครเคยได้สัมผัสกับคำว่าความสุขอีกเลยนับแต่นั้นมา กันต์ศิตางค์จะรู้บ้างไหมว่าคนที่เจ็บปวดไม่ได้มีเพียงเธอ และเธอ...ไม่ใช่คนที่ทุกข์ทรมานที่สุด             “จีนัส...จีนัสตื่นหรือยังลูก”             “ค่ะคุณแม่ตื่นแล้วค่ะ...” จริงๆ แล้วไม่ได้นอนเลยต่างหาก กันต์ศิตางค์ลุกจากโต๊ะเครื่องแป้งด้วยความเหนื่อยล้า การเดินทางหลายชั่วโมงบวกกับการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอทำให้เธอรู้สึกเบลอๆ อย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ยังถ่อสังขารไปเปิดประตูให้มารดาที่มาเคาะเรียกตั้งแต่เช้าตรู่             “ตายแล้ว...จีนัสทำซีดอย่างนี้ล่ะลูกเมื่อคืนยังดีๆ อยู่เลย” เมื่อประตูเปิดออกจิตนารีถึงกับต้องเอามือทาบอกยามเห็นใบหน้าซูบซีดของลูกสาวที่ก้าวเดินออกมา             “ไม่เป็นไรหรอกค่ะจีนัสคงเหนื่อยตอนนั่งเครื่อง เวลาที่นี่กับที่เวนิสก็ไม่ตรงกัน ยังปรับตัวไม่ค่อยได้...อีกหน่อยคงชินไปเองค่ะ”             “อืม...งั้นพักเถอะลูกเดี๋ยวจะพานไม่สบายไปอีกคน แม่แค่จะมาตามไปตักบาตรด้วยกันเสียหน่อย แต่สภาพนี้คงไม่ไหว เดี๋ยวแม่จะให้คนเอาข้าวต้มร้อนๆ ขึ้นมาให้ก็แล้วกันนะ”             “ค่ะ...” หญิงสาวยิ้มฝืนให้มารดาในชุดดำสนิท ไม่บอกก็รู้ว่า      จิตนารีคงกำลังตักบาตรทำบุญให้คนที่จากไป ทำไมนะทุกคนถึงต้องพยายามให้เธอมีส่วนร่วมในงานศพครั้งนี้กันเหลือเกิน ทั้งๆ ที่รู้กันอยู่แก่ใจว่า ตัวเธอเองไม่ปรารถนาจะข้องเกี่ยวด้วยเลยแม้แต่น้อย ที่กลับมานี่...ก็แค่...ก็แค่คิดว่าต่อไปนี้จะไม่มีมารชีวิตมาอยู่ร่วมโลกกันอีกต่อไปเท่านั้นเอง             ร่างบางในชุดนอนทอดกายค่อยๆ นั่งลงบนเตียง เธอทอดถอนหายใจแล้วพานให้น้ำตาไหลหยาดลงเป็นทาง แม้จะเจ็บแค้นชิงชังมากมายแค่ไหน แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าการจากไปของฉัตรชฎาในครั้งนี้ทำให้เธอหดหู่เสียใจอย่างที่สุด นึกถึงเรื่องราวหนหลังครั้งยังรักกันกลมเกลียวก็ให้สะท้อนใจ แม่สาวน้อยหน้าหวานเป็นน้องสาวที่แสนดีของเธอเสมอ แม้จะต่างมารดาและได้มาใช้ชีวิตร่วมกันตอนโตพอจะรู้ความได้กันแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความผูกพันที่มีบั่นทอนลงเลย ทั้งคู่เป็นพี่น้องสองสาวที่ใครๆ เห็นต่างก็ต้องอิจฉา             “พี่จีนัส...อย่าปีนขึ้นไปสิคะเดี๋ยวตกลงมาแม่ใหญ่ได้ตีซ้ำแน่” เด็กน้อยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ ดึงชายเสื้อผู้เป็นพี่สาวที่กำลังทำท่าปีนขึ้นบนต้นมะม่วงซึ่งมีลูกดกอยู่เต็มต้น           “ถ้าจีนไม่พูด...พี่ไม่พูดใครจะไปรู้ น่า...นิดเดียวพี่ขึ้นไม่สูงหรอกจีนอยู่ข้างล่างไปคอยรับได้เลย”           “ไม่เอาจีนกลัวพี่จีนัสตก...ให้จีนขึ้นเองดีกว่านะจีนตัวเล็กไม่ตกง่ายๆ หรอก” ฉัตรชฎาในวัยเยาว์ยังดึงชายเสื้อพี่สาวหยิกๆ ไม่ยอมให้ขึ้นต่อ           “ไม่ได้เธอยังเด็กอยู่ แถมไม่เคยขึ้นต้นไม้อีกมีหวังลงมาไม่เป็นท่าแน่จีน”                                                                                   ทั้งคู่ยื้อยึดกันอยู่พักหนึ่งในที่สุดผู้เป็นน้องสาวก็ต้องยอมแต่โดยดีแม้จะเป็นห่วงสักแค่ไหน เธอถอยหลังออกไปสองสามก้าวเพื่อรอรับมะม่วงสุกที่พี่สาวกำลังโยนลงมาให้                                                           “ดีๆ นะจีน...อย่าให้ลงพื้นนะเดี๋ยวช้ำหมด”           “ค่ะพี่จีนัส...” และแล้วกิจกรรมสุดเสี่ยงกับการโดนตีก็ดำเนินต่อไปโดยทั้งคู่สามารถเก็บลูกมะม่วงได้พอประมาณ กันต์ศิตางค์จึงทำท่าจะปีนลงจากต้น หนูน้อยวันสิบเอ็ดขวบค่อยๆ ใช้มือจับกิ่งไม้ไว้ก้าวเท้าลงจากกิ่งหนึ่งไปยังอีกกิ่งหนึ่งแล้วไล่ไต่ลงมาอย่างระมัดระวัง แต่ด้วยความรีบร้อนหนูน้อยจึงไม่รู้เลยว่ามือกำลังไปจับโดนรังเล็กๆ ของมดแดงเข้าให้แล้ว อาจเป็นเพราะมันไม่ได้ใหญ่นักเธอจึงไม่ได้สังเกตเห็นตั้งแต่แรกที่ปีนขึ้น           “กรี๊ด/ว๊าย...พี่จีนัสระวังค่ะ” ฉัตรชฎารีบวิ่งเข้าไปดูพี่สาวที่นั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่ตรงโคนไม้ สีหน้าพี่สาวของเธอบิดเบี้ยวเหยเกบ่งบอกถึงความเจ็บปวดรุนแรง           “พี่จีนัสเป็นไงบ้างคะ เจ็บมากไหม”           “อูย...เจ็บสิจีน แต่ไม่เป็นไรหรอกพอทนได้รีบกลับกันดีกว่าป่านนี้คุณแม่คงคอยแล้วล่ะ”           “ค่ะๆ เดี๋ยวจีนช่วยพยุงนะคะ...ว้าย!! พี่จีนัสแขนเลือดออกเต็มเลยค่ะ” ฉัตรชฎาที่เข้าไปช่วยพยุงกรีดร้องใบหน้าซีดเผือดเมื่อเห็นตรงด้านหลังต้นแขนของพี่สาวมีรอยถลอกเป็นทางยาวและยังมีเลือดไหลซิบออกมาอีกด้วย           “ว้าย...ว่าแล้วทำไมเจ็บจัง แสบด้วยทำไงดีจีนโดนแม่ดุแน่” กันต์ศิตางค์ก็เช่นกันเริ่มสำนึกผิดขึ้นมาทันทีว่าไม่น่าเล่นซนจนได้เรื่องเลย เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเจ็บแล้วจะต้องมาโดนทำโทษอีกไม่คุ้มเลยจริงๆ           “โอ๊ะ...โอ๊ย!!” กันต์ศิตางค์ที่พยายามลุกยืนโดยมีน้องสาวประคองร้องโอดครวญขึ้นอีกครั้งและต้องนั่งลงไปอย่างเดิมเนื่องจากตรงข้อเท้าของเธอมันเจ็บแปลบทันทีที่ขยับ           “พี่จีนัสเป็นอะไรคะ”           “ซวยแล้วจีน...พี่เจ็บข้อเท้าเท้าแพลงแน่เลย”           “ทำไงดีคะ...พี่จีนัสต้องรีบไปหาหมอนะทั้งเจ็บเท้าทั้งเป็นแผลแบบนี้อันตรายแน่ๆ จีนกลัว...” ฉัตรชฎาเริ่มใจไม่ดีและทำท่าเหมือนจะร้องไห้ออกมาในขณะที่พี่สาวของเธอก็พยายามที่จะพยุงตัวเองให้ยืนแต่ทุกครั้งที่ขยับตรงข้อเท้าก็เจ็บร้าวจนไม่สามารถยืนขึ้นได้ดั่งใจ  แผลตรงด้านหลังแขนขาวๆ ก็เริ่มเจ็บจากที่เมื่อครู่ชาจนแทบไม่มีความรู้สึก สองพี่น้องมองหน้ากันอย่างปรึกษาด้วยความกังวล           “จีนจะไปตามคนมาช่วยนะคะ พี่จีนัสรอจีนที่นี่นะ”           “ไม่เอา...พี่กลัว...จีนอย่าทิ้งพี่นะนี่ก็จะมืดแล้วด้วยเราอยู่ติดกำแพงหลังบ้านเลยนะมันน่ากลัวจะตาย”  กันต์ศิตางค์ดึงน้องสาวเขย่าพลางปฏิเสธ บ้านของพวกเธอเป็นสไตล์เรือนไทยประยุกต์ เป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นตั้งอยู่บนเนื้อที่ห้าไร่ ท่ามกลางธรรมชาติที่สุขสงบของบรรยากาศแบบชานเมือง  เลยรั้วบ้านด้านนอกออกไปคือสวนผักปลอดสารพิษที่ปลูกไว้กินและขายเป็นรายได้ของครอบครัว แปลงผักยาวสุดลูกหูลูกตาที่บิดาและมารดามักจะพาไปศึกษาวิธีการตั้งแต่เริ่มต้นจนจบกระบวนการให้ทั้งคู่ได้เรียนรู้เพื่อรับช่วงต่อกิจการนี้ต่อไป แต่...สวนผักมันไม่สนุกเลย ร้อน แถมยังเหนื่อยอีกต่างหาก ที่นี่สิ...ถึงจะสนุก... ตรงที่พวกเธอยืนอยู่เป็นพื้นที่ภายในรั้วบ้านเป็นสวนเล็กๆ ที่ปลูกผลหมากรากไม้หลายชนิดรวมกันเพื่อให้คนในบ้านได้เก็บกินโดยไม่ต้องไปซื้อหายามถึงช่วงฤดูนั้นๆ สองพี่น้องได้รับคำสั่งห้ามมาบริเวณนี้โดยไม่ได้รับอนุญาตเด็ดขาดเพราะห่างจากตัวบ้านพอสมควร และผู้ใหญ่ก็กลัวสัตว์จำพวกงูเงี้ยวเขี้ยวขอจะทำร้ายเอาด้วย แต่ทั้งคู่ก็มักแอบหนีมาเที่ยววิ่งเล่นเก็บผลไม้ต่างๆ กินกันบ่อยครั้ง เพราะมันร่มรื่นและกว้างขวางพอที่จะเล่นอะไรก็ได้ตามใจชอบ เผลอตาคนในบ้านทีไรเป็นต้องแอบพากันมาบ่อยๆ           “งั้นจีนพยุงนะ...เราไปพร้อมกันเลย”           “อืม...พี่ก็จะพยายาม เร็วเถอะเย็นมากแล้ว” สองพี่น้องรีบพยุงคลอกันเดินเขยกออกจากบริเวณนั้น กว่าจะถึงบ้านก็กินเวลากว่าครึ่งชั่วโมง ต้องค่อยๆ เดินไปบ้าง นั่งพักไปบ้าง เพราะคนหนึ่งเจ็บและอีกคนก็ตัวเล็กเกินกว่าจะหอบหิ้วพี่สาวให้เดินฉิวไปได้ เมื่อถึงบ้านทุกคนต่างตกใจหน้าตาตื่น ที่เห็นสองพี่น้องออกมาจากด้านหลังตัวบ้านในสภาพมอมแมม เปื้อนดินเปื้อนทรายไปทั้งตัว แถมอีกคนยังเจ็บถึงขึ้นต้องหิ้วปีกกันกลับมา วีรกรรมในครั้งขึ้นต้นมะม่วงนั้นจบลงด้วยการทั้งคู่ถูกทำโทษหลังจากอาการบาดเจ็บของเธอหายดีแล้ว ฉัตรชฎา...ออกรับแทนทั้งหมดด้วยเหตุผลว่า ‘พี่เจ็บมากแล้ว’ โดยการบอกกับทุกคนว่าเธออยากกินมะม่วงเลยชวนพี่สาวไปเก็บ แต่เพราะตัวเล็กกว่าพี่สาวต้องเป็นคนปีนขึ้นไปเก็บให้ และขอรับโทษเพียงผู้เดียว ส่วนกันต์ศิตางค์เองก็ออกตัวแย้งเช่นกัน  ทั้งคู่ต่างคิดรับความผิดทั้งหมดเอาไว้เองจนบิดาและมารดาต้องยอมยกโทษให้ เพราะเห็นแก่ความรักและความสามัคคีของสองพี่น้อง และหลังจากนั้นก็มีเรื่องราวซึ่งถูกเก็บเป็นความทรงจำที่น่าประทับใจของเธออีกครั้งหนึ่ง เมื่อเธอหนีออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ เพื่อเป็นการสละโสด เพราะทางบ้านไม่อนุญาตด้วยเป็นความเชื่อของคนสมัยก่อนว่า หญิงหรือชายที่กำลังจะเข้าพิธีแต่งงาน ควรจะระมัดระวังตัวให้มากๆ ไม่ควรออกไปไหน มาไหนโดยพลการไม่เช่นนั้นจะเกิดเหตุร้ายขึ้น แต่ด้วยความคึกคะนอง และแรงยุจากเพื่อนฝูงเธอก็หาทางออกจากบ้านจนได้โดยความช่วยเหลือจากฉัตรชฎา ซึ่งเป็นคนเดียวในบ้านที่รับรู้ คืนนั้นเธอดื่มจนเมามาก ถึงขนาดเพื่อนๆ ต้องหามพากันไปเปิดโรงแรมนอนกว่าจะได้สติกลับมาถึงบ้านก็ปาเข้าไปเช้าเสียแล้ว และพบว่าทั้งบิดามารดากำลังรอสำเร็จโทษเธออยู่อย่างพร้อมหน้า หญิงสาวไม่เคยนึกฝันว่าแค่การหนีออกไปเที่ยวจะเกิดเรื่องราวใหญ่โต นำความเป็นห่วงกังวลใจมากมายให้คนในครอบครัวขนาดไหน จิตนารีนั้นถึงขนาดเป็นลมเพราะความเครียด และอดหลับอดนอนทั้งคืน ฉัตรชฎาก็มีบาดแผลเต็มตัวไปหมด เนื่องจากเป็นห่วงว่าพี่สาวจะถูกว่ากล่าว จึงขี่จักรยานออกไปตามหาจนเกิดอุบัติเหตุล้มลุกคลุกคลาน ส่วนชนชาติก็โมโหหน้าดำหน้าแดงถึงขั้นจะตีให้หลาบจำ แต่ศิลาภินก็ออกรับแทนว่าเขาไม่ดีเองที่ไม่อยู่ดูแล ถ้าจะทำโทษกันเขาก็ขอยอมรับแทนเธอเอง หลังจากเหตุการณ์วันนั้นหญิงสาวก็ให้สัญญากับทุกคนว่าจะไม่ทำตัวเหลวไหลให้ใครต้องเป็นห่วงจนเดือดเนื้อร้อนใจตามๆ กันอีก แต่หลังนั้นไม่นาน ทุกอย่าง...ก็ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้วจนถึงปัจจุบัน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม