“ทำไมจีน...ทำไมถึงยอมแพ้อะไรง่ายๆ ทำไมไม่รู้จักอดทน”
ภาพทุกอิริยาบถในวัยเยาว์ผ่านช่วงเวลาต่างๆ ไหลเข้ามาไม่ขาดสาย ความทรงจำที่แน่นแฟ้นระหว่างพี่น้องฉายชัดราวเป็นเรื่องในปัจจุบัน แม้ตัวเองจะหนีไปไกลแสนไกล ถูกความเจ็บช้ำปิดตาบังใจแค่ไหนก็ไม่อาจลบความรู้สึกจริงๆ ที่มีออกไปได้เลย
ตลอดเวลาที่จากกันเธอทั้งคิดถึงทั้งเคืองแค้น ราวอกจะแตกเป็นเสี่ยง ทางออกหาไม่เจอ ทางจะเดินกลับก็ไม่มี
“จีนัส...จีนัส...เป็นอะไรรึเปล่า” เสียงห้าวทุ้มที่คุ้นเคยเรียกอยู่ด้านนอกโดยไม่ได้เคาะประตูทำให้หญิงสาวที่นอนเหม่อรีบใช้มือปาดเช็ดน้ำตา
“มีอะไร...” เธอตอบเสียงห้วนพลางนึกสงสัยทำไมเขามาเช้าขนาดนี้ หรือว่าไม่ได้ไปไหนเลยตั้งแต่เมื่อคืน และนอนค้างที่นี่กับเด็กนั่นด้วย
“คุณแม่บอกไม่สบายเป็นอะไรมากไหม...พี่เอายามาให้”
“ไม่กิน...หนักกว่านี้ยังไม่ตาย คุณเลิกยุ่งกับฉันซะทีฉันอยากอยู่คนเดียว...เข้าใจไหม!”
เสียงแผดตวาดลั่นดังมาจากด้านในของห้องนอน ชายหนุ่มถอนหายใจยาวๆ ด้วยความห่วงกังวล เขารีบไปยกโต๊ะตัวเล็กซึ่งใช้วางแจกันเพื่อตกแต่งตรงบันไดมาตั้งหน้าห้องหญิงสาว และนำอาหารกับยาวางไว้ให้
หวังว่าเธอคงจะออกมาทานมันเพราะคงไม่มีใครได้คอยดูแลใกล้ชิดนัก พอเสร็จจากตักบาตรหน้าบ้านตอนเช้าต่างก็ต้องพากันไปที่วัดเพื่อเตรียมงานต้อนรับแขกในตอนเย็นกันอีก เขาอยากจะลองชวนกันต์ศิตางค์ไปด้วย แต่เธอมาไม่สบายเสียก่อนอีกทั้ง...คงยากสักหน่อยที่จะพูดให้เธอยอมไปง่ายๆ
ศิลาภินมองประตูห้องอดีตคนรักอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจเดินออกไปสมทบกับบุคคลด้านนอกที่รอตักบาตรและเตรียมของเพื่อใช้ในงานศพ มีเวลาอีกไม่นานแล้วที่ศพของฉัตรชฎาจะต้องถูกเผา เธอจะได้ไปอยู่ยังภพภูมิที่เหมาะสมและจากคนทางนี้ไปตลอดกาล
แต่หากยังไม่ได้รับการอโหสิกรรมให้อภัยจากพี่สาวคนเดียวของเธอแล้ว ไม่รู้ว่าดวงวิญญาณที่แสนอาภัพนั้นจะเป็นสุขได้อย่างไร
“อ้าวธีร์ลงมาแล้วเหรอ...จีนัสว่ายังไงบ้าง”
“ไม่ได้ว่าอะไรครับ...ผมวางอาหารกับยาไว้ให้แล้วเดี๋ยวคงลุกมากินเอง”
“คุณพ่อ...” คุ้มขวัญรีบไต่ลงจากการอุ้มของจิตนารีเดินหรามือเข้าหาบิดาทำราวกับห่างกันมาเป็นปี ซึ่งเป็นเรื่องปกติเพราะตั้งแต่เกิดมาเด็กน้อยก็ได้รับการเอาใจใส่จากทั้งบิดามารดาและคนรอบข้างเป็นอย่างดี ในวันนี้เมื่อเด็กน้อยต้องขาดแม่จะรู้สึกเหว่ว้าย่อมหาที่พึ่งทางใจและเกาะติดแจไม่ยอมห่างอย่างที่เห็น
“อืม...อย่างนั้นเหรอ แม่ชักเป็นห่วงนะเห็นเมื่อกี้ดูซีดเซียวมากน่าตกใจเชียว ไม่มีใครอยู่บ้านเสียด้วยเกิดเป็นอะไรมากกว่านั้นขึ้นมาจะทำยังไงล่ะเนี่ย”
“ให้ใครอยู่เป็นเพื่อนสักคนก็ได้คุณ ที่วัดเพื่อนบ้านก็ช่วยกันอยู่หลายคน ทางนี้ยังไงก็น่าเป็นห่วงกว่า”
ชนชาติเสริม สีหน้าเขาก็กังวลไม่น้อย เพิ่งจะเสียลูกสาวไปคนหนึ่งอีกคนก็มาไม่สบายเสียอีกใจคนเป็นพ่อเป็นแม่มีหรือจะไม่รู้สึกหดหู่ใจหา “ให้อ้ออยู่ก็แล้วกันนะ...อ้าวอ้อมาพอดีเดี๋ยวอยู่เป็นเพื่อนจีนัสหน่อยนะเขาไม่สบายเผื่ออาการหนักจะได้มีคนดูแลส่งข่าว” “ค่ะคุณนารี...” ลูกสาวแม่ครัววัยยี่สิบตอนปลายยิ้มและรับปาก เธอเองไม่ค่อยอยากทำหน้าที่นี้เท่าไหร่หรอกแต่คงขัดไม่ได้ เธอสนิทสนมกับฉัตรชฎาแต่ทางด้านกันต์ศิตางค์ลูกสาวคนโตของบ้านนั้นแทบไม่รู้จักมักคุ้นเลยเพราะเมื่อสี่ปีที่แล้วก่อนที่กันต์ศิตางค์จะไปอยู่ยังต่างประเทศเธอยังไม่ได้มาเป็นผู้ช่วยมารดาที่บ้านหลังนี้เลย จึงรู้สึกไม่ค่อยสนิทใจเท่าไหร่
“อย่าไปขัดใจเขานะอ้อ...จีนัสเขาเป็นคนเอาแต่ใจยังไงก็คิดว่าช่วยดูและน้องนุ่งก็แล้วกันนะ”
นี่คือสิ่งมัดใจคนทั้งบ้าน ความเป็นกันเองไม่ถือตัวของทั้งสองสามีภรรยาประมุขของบ้านทำให้ทุกคนที่ทำงานด้วยรู้สึกสบายใจไม่อึดอัด แต่เหมือนทุกคนจะรับรู้ได้ว่าการกลับมาครั่งนี้ของเจ้านายอีกคนราวกับมีฝนฟ้าตั้งเค้าอึมครึมเพื่อรอเวลาพายุลูกใหญ่จะมาอย่างไรอย่างนั้น
“ไปกันเถอะธีร์...ย่าหยา”
“ครับ...” เมื่อตกลงกันเสร็จสรรพเรียบร้อยศิลาภินซึ่งเป็นสารถีของบ้านรีบเดินล่วงหน้าไปยังรถของตัวเองเพื่อพาทุกคนไปที่วัด ส่วนบรรดาแม่บ้านแม่ครัวและคนงานอื่นๆ ก็เก็บข้าวของที่ใช้ตักบาตรเสร็จแล้วไปไว้ในบ้าน พวกเขาขึ้นรถอีกคนโดยมีคนขับรถของบ้านพาตามไป
งานศพผ่านพ้นไปด้วยดีจนกระทั่งในคืนสุดท้าย ญาติผู้เสียชีวิตต่างโศกเศร้าเสียใจกับการจากไปก่อนวัยอันสมควรของฉัตรชฎาโดยเฉพาะผู้เป็นบิดาและมารดาบุญธรรมดูจะอาดูรกับการไว้อาลัยครั้งสุดท้ายนี้ไม่น้อย อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าร่างของลูกสาวพวกเขาก็จะต้องถูกเผาตามประเพณี คงเหลือแต่เถ้ากระดูกไว้เพื่อทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กันต่อไปเท่านั้น ชีวิตของหญิงสาวแม้จะไม่ลำบากยากเข็ญจนเกินไปแต่ก็นับว่าอาภัพอยู่ไม่น้อย ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยได้รับความสุขกายสบายใจที่แท้จริงสักครั้ง แม้วาระสุดท้ายยังต้องจากไปด้วยน้ำตาเพราะยังมีห่วงอยู่นั่นเอง
“จีนัสมันใจดำเหลือเกินนะคุณ...จะจุดธูปบอกให้อภัยน้องสักหน่อยยังทำไม่ได้ ตั้งแต่กลับบ้านมาก็วันแรกนั่นแหละที่มาวัดหลังจากนั้นไม่ยอมโผล่มาเลย” จิตนารีคุยกับสามีที่นั่งข้างๆ พร้อมกับยกผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา
“ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน...ผมรู้สึกว่าความผิดทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะผมนะนารี เพราะผมไม่มั่นคงกับคุณทำจีนเขาเกิดมา ผมทำให้แม่ของจีนเจ็บช้ำน้ำใจ...เรื่องมันกลับวนมาทำร้ายลูกเราทั้งสองคน จีนัสสูญเสียคนรักให้กับน้องสาวจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน ส่วนจีนก็ต้องจมอยู่กับคำประณามว่าแย่งแฟนพี่สาว ต้องเสียใจจนถึงวาระสุดท้าย...”
ชนชาติลูบใบหน้าที่ล่วงเลยตามวัยหยาบๆ เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นบางครั้งเขาอาจจะโกรธอาจจะแสดงอาการโมโหออกไปบ้าง แต่ในจิตสำนึกๆ เขารู้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นเวรกรรมที่เขาสร้างขึ้น และวนเวียนมาถึงบุตรสาวทั้งสองที่ต้องทนรับความทุกข์ทรมานทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้ก่อ
“อย่าคิดมากเลยค่ะคุณ...เรื่องมันแล้วไปแล้วแก้ไขอะไรก็ไม่ได้จีนเขาจากไปแล้วก็ถือว่าเขาหมดทุกข์หมดโศกในภพนี้เสียนะคะ ส่วนเราก็คงยังมีเวรมีกรรมต้องอยู่ชดใช้กันต่อไป” จิตนารีซับน้ำตาอีกครั้งมองคู่ชีวิตที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความหมองเศร้าอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร ต่างก็อยากให้คนตายจากไปโดยไม่ต้องมีห่วงกังวลเพื่อดวงวิญญาณของเธอจะได้ไปสู่สุคติไม่ต้องวนเวียนให้ต้องทุกข์ทรมานอีก
แต่จะทำอย่างไรได้เล่าในเมื่อเจ้าของเรื่องที่ทำให้ดวงวิญญาณนั้นกังวลไม่ยอมลดทิฐิเสียที ครั้นจะบังคับขู่เข็ญก็รู้ว่าเป็นการตอกย้ำความเจ็บช้ำที่เคยมีของกันต์ศิตางค์เข้าไปอีก ตอนนี้หนทางเท่ากับมืดไปทุกด้าน
“คุณพ่อ...คุณแม่...ผมฝากย่าหยาไว้สักครู่นะครับ”
“หือ...จะไปไหนเหรอธีร์” จิตนารีรับตัวหลานสาวที่ศิลาภินส่งให้มานั่งบนตัก พลางมองถามชายหนุ่มอย่างสงสัยเพราะโดยปกติ ตลอดเวลาตั้งแต่มีงานศพมา พ่อลูกคู่นี้เขาไม่ห่างกันเลยไม่ว่าผู้เป็นพ่อจะงานยุ่งมากมายแค่ไหนก็จะจับเจ้าตัวน้อยติดสอยห้อยตามอยู่เสมอ
“เอ่อ...ผมมีธุระจำเป็นมากๆ ต้องไปทำครับ แค่แป๊บเดียวเท่านั้นเดี๋ยวผมมานะครับ”
“จ้ะ...จ้ะ...” จิตนารีตอบรับอย่างงงๆ มองไล่หลังบุตรเขยที่เดินลิ่วๆ ไปขึ้นรถ
“ไปไหนของเขานี่ก็ใกล้พระสวดแล้วนะคะ คืนสุดท้ายแล้วด้วย”
“คงธุระสำคัญจริงๆ น่ะคุณเจ้าตัวเขาก็บอกแล้วนี่” สองตายายหันเหความสนใจมาที่หลานสาวคนโปรด ไม่ได้ระแวงสงสัยธุระของศิลาภินอีก หากรู้ว่าสิ่งที่ชายหนุ่มคิดจะทำนั้นคืออะไรทั้งคู่คงตกใจอยู่ไม่ใช่น้อย
ปัง! “เปิดประตู!! จีนัส!! ฉันบอกให้เธอเปิดประตูเดี๋ยวนี้”
เสียงเคาะรัวหลายครั้ง จนประตูห้องเธอแทบพังพร้อมกับเสียงเรียกที่เต็มไปด้วยความโมโห ทำให้กันต์ศิตางค์ที่อยู่บนที่นอนใช้ผ้าห่มคลุมโปงมิดชิดปิดหูปิดตาทำเหมือนไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่เสียงนั้นมันดังลั่นจนห้องแทบถล่มอยู่รำไร
“จีนัส!! ถ้าเธอไม่เปิดฉันพังเข้าไปแน่! เปิด!”
ปัง ปัง ปัง ศิลาภินยังคงโหมทุบประตูทั้งเรียกให้หญิงสาวในห้องออกมาพบเขา มันนานพอแล้วที่กันต์ศิตางค์ได้ใช้ความเอาแต่ใจของตัวเอง ถึงเวลาที่เธอต้องออกมาทำตามความต้องการของคนอื่นบ้าง
และมันก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัสอะไรเลย แค่ไปจุดธูปหน้าศพน้องสาวตัวเองแล้วบอกให้อภัยอโหสิกรรมต่อดวงวิญญาณอาภัพเท่านั้น ทุกอย่างก็จบทุกคนก็ได้ไม่พลอยห่วงกังวลไปด้วย
“...” เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับ กันต์ศิตางค์กำลังเปิดสงครามเย็นกับเขาอยู่ ใช่ว่าอยากใช้วิธีรุนแรงบังคับกัน แต่ตลอดเวลาสองสามวันที่ผ่านมาทั้งเขาและทุกคนพยายามพูดดีด้วยก็แล้วกล่อมก็แล้ว ขอร้องก็แล้วให้หญิงสาวยอมไปไหว้ศพน้องสาวสักครั้ง
แต่ดูเหมือนมันจะไร้ผล...
และคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้วที่ศพของฉัตรชฎาจะตั้งสวดพระอภิธรรมเพื่อส่งดวงวิญญาณไปสู่สุคติภพ เมื่อถึงวันพรุ่งนี้ร่างของเธอก็จะถูกเผากลายเป็นผงธุลี ไม่มีทางคืนสภาพเป็นฉัตรชฎาได้อีกแล้ว
กริ๊ก! “จีนัส!” เสียงประตูถูกปลดล๊อกพร้อมๆ กับฝีท้าวหนักๆ เดินย่ำเข้ามาในห้องและผ้าห่มผืนโตที่คลุมร่างเธอไว้ก็ถูกดึงออกไป กันต์ศิตางค์ลืมตาโพลงมองบุรุษที่เรียกชื่อเธอซึ่งยืนเท้าสะเอวถมึงทึงอยู่ตรงหน้า เธอรีบผลุนผลันลุกนั่งด้วยความโมโหที่ถูกละเมิดสิทธิ์ความเป็นส่วนตัว “คุณมีสิทธิ์อะไรเข้ามาในนี้...ออกไปนะ!!”
“สิทธิ์เหรอ...พี่มีแน่สิทธิ์ที่เข้ามาได้อย่าบอกนะว่าเธอลืมไปแล้ว...”
“เลว...ฉันบอกให้ออกไปไงเล่าออกไปสิ...เข้ามาทำไม...โอ๊ย!!!”
“ไปแต่งตัวซะ...เดี๋ยวนี้” ชายหนุ่มขยับเข้าไปคว้าแขนที่ยื่นออกมาและบิดกลับเข้าหาเจ้าตัวจนเธอร้องเสียงลั่นด้วยความเจ็บ
“แต่งตัว...ไปไหนปล่อยสิ โอ๊ย!!! เจ็บ!!”
“เจ็บก็ฟังแล้วก็ทำตามที่พี่บอกจีนัสอย่าให้พี่ต้องใช้ความรุนแรงมากกว่านี้ ไปแต่งตัวพี่จะพาเราไปไหว้ศพของจีน” ศิลาภินจ้องดวงหน้าหวานเขม็ง ยังไงเสียเวลานี้เขาก็จะไม่ยอมเธออีกแล้ว
“คุณ...กล้าดียังไงมาบังคับให้ฉันทำเรื่องที่ไม่อยากทำ รักกันนักหวงกันหนาก็ไปอยู่ด้วยกันไปไหว้กันเองสิมายุ่งอะไรกับฉันด้วย” หญิงสาวน้ำตาคลอเบ้ารู้สึกเจ็บจี๊ดในหัวอกขึ้นมาทันที ที่แท้เขาทำทุกอย่างก็เพื่อฉัตรชฎา แม้แต่วินาทีสุดท้ายเขาก็ยังเลือกทำเพื่อให้เธอคนนั้นสบายใจ
“ไป หรือ ไม่ ไป...”
“ไม่!! อื้อ!” ก่อนประโยคถัดไปจะถูกพ่นออกมาจีบปากบางกลับถูกฉกปิดเสียก่อนแล้ว ศิลาภินไล่มือไปจับไหล่มนทั้งสองข้างของหญิงสาวและลากเข้าหาตัวในขณะที่เขาเองก็ทรุดนั่งลงบนที่นอนนุ่มเพื่อรั้งร่างบางให้อยู่ในอ้อมกอดได้ถนัดถนี่
กันต์ศิตางค์ชาวาบไปถึงขั้วหัวใจไม่นึกสักนิดว่าเขาจะทำถึงขนาดนี้ สมองของเธอมึนงง สับสนและยังจับต้นชนไปลายไม่ถูก
“อื้อ...”
“นิ่งไว้...นิ่งๆ” เมื่อหญิงสาวในอ้อมกอดเริ่มขัดขืนนิดๆ ศิลาภินจึงละริมฝีปากออกจูบซับตรงเปลือกปากสาวคล้ายปลอบขวัญก่อนจะทาบทับบนกลีบปากสีสดนั้นอีกครั้ง ฉกชิมความหอมหวานที่รอคอยมาแสนนานอย่างสมใจ ก่อนจะรุกไล่พรมจูบทั่วดวงหน้าหยอกเอินอย่างคุ้นเคยแม้จะร้างรามานานปี
“นี่...ปล่อย!!” สติเริ่มกลับมาอีกครั้งหลังจากหลงมนต์สะกดแห่งรสจูบนั้นอยู่พักใหญ่ กันต์ศิตางค์รวบรวมกำลังทั้งหมดผลักร่างหนาให้ออกจากตัวแต่ไร้ผล ดูเหมือนเขารู้ทันเสียก่อนจึงรัดเธอไว้แน่นยิ่งขึ้น หญิงสาวน้ำตาเอ่อไหลออกจากเบ้ากับความพ่ายแพ้ที่ถูกเขาบังคับขืนหัวใจ
“ทีนี้จะยอมไปรึยัง...ถ้าไม่ยอมไปงานศพเธอก็ต้องยอมพี่...ว่าไงจะเลือกอย่างไหน”
ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บแปลบทันทีที่ได้เห็นน้ำตานั้น แต่ก็ทำเป็นไม่ยี่หระเขาต้องไม่ใจอ่อนเด็ดขาดยังไงวันนี้ก็ต้องลากกันต์ศิตางค์ไปที่วัดให้ได้ เขาได้ทีขู่ซ้ำทั้งยังจับความรู้สึกลนลานของคนในอ้อมกอดได้เป็นอย่างดี
แต่ใช่ว่ามีแต่เธอเสียเมื่อไหร่ล่ะที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเขาก็เช่นกัน แทบจะยั้งอารมณ์เมื่อครู่ไม่อยู่ด้วยซ้ำถ้าหากเธอไม่ผลักตัวเขาออกจนได้สติและได้เห็นว่าเธอกำลังร้องไห้ มีหวังคงเลยเถิดไปกว่านี้แน่
“ปล่อยก่อน...”
“พี่ถามว่าเธอ...จะไปหรือไม่ไป...หืม...” ใบหน้าคมสันโน้มเข้ามาความหอมหวานอีกครั้ง ปากก็ขู่เธอแต่ใจนั้นกลับเต้นสั่น ศิลาภินอยากให้หญิงสาวรีบตอบรับให้โดยเร็วที่สุดก่อนที่เขาจะยั้งตัวเองไม่อยู่และเธอจะไม่มีโอกาสได้เลือกอีก “ป่ะ...ไป...” ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาที่เป่ากระทบใบหน้ามีอิทธิพลต่อจิตใจเธอเหลือเกิน ยิ่งได้อยู่ในอ้อมแขนนี้อีกครั้งมันราวกับวันเวลาย้อนกลับไปถึงตอนที่ยังไม่เกิดเรื่อง แค่ได้สัมผัส...แค่ได้แตะต้องนี่เธอถึงกับลืมเลือนความบาดหมางที่แสนเจ็บปวดไปชั่วขณะเลยหรือ หญิงสาวถอนหายใจและแหงนหน้ามองเพดานเพื่อกลืนน้ำตา
“ปล่อยสิ...ฉันจะได้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”
“อย่าตุกติกนะจีนัส...พี่เอาจริง เราได้รำลึกความหลังกันพักใหญ่แน่ถ้าเธอไม่ได้ไปที่วัดคืนนี้”
ศิลาภินข่มขู่ด้วยน้ำเสียงเบาหวิวตรงริมกกหูขาวสะอาด ทำให้หญิงสาวรีบผลักเขาออกก่อนตัวเองจะกระโดดลงจากเตียงไปเปิดตู้เสื้อผ้าและคว้าเอาชุดดำวิ่งเข้าห้องน้ำไป
รอเวลาไม่นานนักสาวเจ้าในชุดเดรสสีดำสนิท ก็ออกมาจากห้องน้ำให้เขาได้ยลโฉม กันต์ศิตางค์สวยจริงๆ ก่อนนี้หญิงสาวตรงหน้าเขาว่าสวยไม่มีที่ติแล้ว กลับมาอีกครั้งสี่ปีให้หลังเธอกลับสวยขึ้นอีกเป็นกอง
ผิวขาวปานหยวกขับกับชุดสีดำเข้มแขนกุด ที่รัดช่วงทรวงอกจนถึงเอวแล้วปล่อยบานเป็นกระโปรงยาวถึงเข่า รูปร่างสะโอดสะองได้รูปไปกว่าเมื่อก่อนนั่น อาจเป็นเพราะร่างกายของเธอได้พัฒนากระชับเป็นรูปเป็นร่างยิ่งขึ้นตามอายุนั่นเอง มันเพิ่มความน่ากอดน่าลูบไล้เท่าทวีคูณเลยทีเดียว
“จะไปกันได้ยังล่ะ...เมื่อกี้เห็นรีบทำท่าจะเป็นจะตาย”
“อ๋อ...ไปสิ...” เพราะมัวแต่ยืนตะลึงงันจึงไม่รู้ตัวเลยว่าเทพธิดาชุดดำของเขาได้เดินไปรอที่ประตูห้องตั้งนานแล้ว ศิลาภินลุกจากที่นอนอย่างเก้อๆ เดินตามหลังหญิงสาวที่ยังมีอาการกระฟัดกระเฟียดอย่างยิ้มๆ พลางคิดในใจว่าถ้ารู้ว่าใช้ไม้นี้แล้วได้ผลคงใช้ไปนานแล้วล่ะ