4 ปีต่อมา
ท่ามกลางแสงสีนีออนยามค่ำคืน ทุกความสว่างเพียงหลอกตาให้คิดว่ายามนี้ไม่มืดมิด แต่จริงๆ แล้วไม่มีช่องว่างตรงไหนเลยที่แสดงถึงแสงใดๆ จะเล็ดลอดเข้ามาส่องใจอันดำทมิฬดวงน้อยนี้ได้
สี่ปี...สี่ปี ที่ชีวิตของเธอจมดิ่งสู่เหวแห่งความทุกข์ หายใจเข้าออกแต่ละครั้งเต็มไปด้วยความเจ็บปวดราวถูกเข็มแหลมคอยตามทิ่มแทง แผ่นดินนี้ที่เธอจากไป และไม่เคยคิดหวนกลับมาจนกระทั่งต้องมายืนเหยียบอีกครั้งเมื่อข่าวสารบางอย่างส่งไปถึง
การสูญเสีย...หรือเปล่าไม่แน่ใจ เรียกว่าแค่มีคนในบ้านที่เคยอยู่ร่วมชายคาเดียวกันเสียชีวิต และศพถูกนำมาตั้งบำเพ็ญอยู่ ณ วัดที่เธอกำลังเดินทางไปถึงน่าจะเหมาะกว่า
แท็กซี่จอดเทียบริมฟุตปาธบริเวณปากทางเข้าวัด คนขับรีบเปิดประตูและช่วยนำกระเป๋าท้ายรถออกมาวางให้ หญิงสาวหยิบแบงก์ในกระเป๋าสตางค์ออกมาจ่ายตามจำนวนที่มิเตอร์บอกก่อนจะจับกระเป๋าลากเดินเข้าสู่ตัวพุทธสถาน
ท่ามกลางความโศกเศร้าบนศาลาสวดพระอภิธรรม ทุกคนหันมามองร่างระหงในชุดดำสนิทเป็นตาเดียวกัน เธอสวย...ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า หน้าผากโหนกนูนพอประมาณมาถึงคิ้วโก่งยาวได้รูป จมูกโด่งรับกับตากลมโตที่ถูกแต่งแต้มมาอย่างลงตัว ปากบางจิ้มลิ้มราวกับจับวาด ผมยาวเป็นลอนยาวสยายจนถึงสะเอว เรือนร่างสมส่วนภายใต้ชุดแซกยาวคลุมเข่าสีดำแขนกุดขับผิวขาวๆ ให้นวลผ่องรับกับแสงนีออนที่สาดกระทบ เสริมให้เธอโดดเด่นอย่างไม่มีที่ติ
“จีนัส...จีนัสมาแล้วเหรอลูก” จิตนารีรีบลุกเดินเข้าไปหาบุตรสาวด้วยความดีใจ นานแค่ไหนแล้วนะที่สาวน้อยคนนี้จากอกแม่ไป หัวอกคนเป็นแม่แม้จะแสนรักแสนคิดถึงลูกไม่มีแม้สักนาทีจะอยากให้อยู่ห่างกาย แต่ในเมื่อต้องมาทนเห็นสภาพความเจ็บช้ำน้ำใจของลูกทุกๆ วันเธอเองก็พลอยอาดูรในชะตากรรมแสนรันทดนั้นไปด้วย จึงยินยอมให้บุตรสาวในใส้เพียงคนเดียวไปใช้ชีวิตยังต่างประเทศ
“คุณแม่...หนูคิดถึงคุณแม่จังเลย” กระเป๋าลากถูกปล่อยทิ้งข้างตัว มือน้อยอ้าแขนรับมารดาที่โผเข้ามากอดด้วยความคิดถึง หยดน้ำตาใสๆ รินหลั่งแสดงออกถึงความซาบซึ้งในสัมผัสแห่งอ้อมกอดนั้น
“มาทางนี้เถอะกระเป๋าเดี๋ยวให้เด็กเก็บให้ก็ได้ มานั่งกับแม่นะเดี๋ยวพระสวดเสร็จเราค่อยกลับบ้านกัน”
จิตนารีเช็ดน้ำตาทั้งของตัวเองและบุตรสาวก่อนจะจูงมือเดินนำหน้าไปนั่งยังโซฟารับรอง ซึ่งตรงนั้นเธอเห็นแล้วว่ามีใครบางคนที่ไม่อยากเจอที่สุดในชีวิตนั่งอยู่ด้วย บนตักของเขามีเด็กน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเป็นเด็กผู้หญิงผิวขาวผมดำขลับนั่งโยกตัวไปมาอย่างน่าเอ็นดู แต่ในสายตาเธอมันเป็นอะไรที่น่าเกลียดน่าขยะแขยงที่สุด เธอเกลียดสองคนนั่นทั้งพ่อ...ทั้งลูก
หญิงสาวเดินตามมารดาไปยังอีกฝั่งซึ่งอยู่คนละมุมกับที่ชายหนุ่มคนนั้นนั่ง เขาหันมามองแล้วยังมีหน้าส่งยิ้มบางๆ มาให้ กันต์ศิตางค์กลับเมินเฉย สีหน้าและแววตาของเธอเรียบสนิทไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมาให้เห็น
เธอทอดกายลงนั่งข้างๆ มารดาบนโซฟาตัวยาวที่สุดมองตรงไปยังโลงศพที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าซึ่งถูกประดับประดาด้วยดอกไม้อย่างสวยงาม รวมถึงตรงที่ฉากรูปถ่ายของผู้เสียชีวิตด้วย
กันต์ศิตางค์หยุดสายตาอยู่ที่รูปถ่ายใบนั้น วงหน้าของเจ้าหล่อนไม่เปลี่ยนไปเลยใบหน้ารูปไข่ผิวขาวเหมือนเธอ ดวงตากลมโตกว่านิดหน่อย ดูน่ารักน่าทะนุถนอม ในขณะที่เธอดูเป็นผู้ใหญ่แล้วทะมัดทะแมงกว่า ไม่แปลกเลยถ้าอะไรหลายๆ อย่างของคนในรูปกับเธอจะเหมือนกัน นั่นเพราะทั้งคู่มีสายเลือดที่ใช้ร่วมกันกึ่งหนึ่ง
ฉัตรชฎาหญิงสาวล่วงลับคือน้องสาวต่างมารดาของเธอนั่นเอง ทั้งคู่มีบิดาคนเดียวกัน กันต์ศิตางค์เป็นพี่สาวที่อายุห่างกันแค่สองปีถือกำเนิดจากภรรยาคนแรกที่ผ่านการแต่งงาน และจดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้องทุกประการ
ส่วนคนน้องถือกำเนิดมาจากความพลั้งเผลอที่ใครๆ ก็ไม่ต้องการ แต่ในที่สุดทุกคนต่างก็ทำใจยอมรับได้เมื่อเรื่องแดงขึ้นมา
ในยามนั้นไม่เคยมีใครรู้เห็นว่า ชนชาติหัวหน้าครอบครัวผู้เพียบพร้อมและแสนดี จะมีผู้หญิงคนอื่นแอบซ่อนไว้นอกจากภรรยาที่รู้จักกันในวงสังคมและเป็นที่ยอมรับอย่างจิตนารี จนกระทั่งเด็กหญิงตัวน้อยวัยเจ็ดขวบในตอนนั้นถูกหญิงชรานำมาให้ถึงบ้านพร้อมกับหลักฐานที่ระบุอย่างแน่ชัดว่าเธอคือบุตรสาวอีกคนของชนชาติ
ทุกคนในครอบครัวช็อก ทุกคนมีข้อกังขาสงสัยจนในที่สุดตัวต้นเหตุก็ออกมายอมรับว่าได้มีความสัมพันธ์กับผู้หญิงที่เป็นลูกสาวของยายชราคนดังกล่าว
และฉัตรชฎาก็คือลูกสาวในไส้ของเขาอีกคนจริงๆ แต่ด้วยได้เลิกราขาดการติดต่อกันมานานหลายปี ส่งแค่เงินค่าเลี้ยงดูไปให้ เขาจึงไม่รู้ว่ามารดาของหนูน้อยผู้น่าสงสาร ได้เสียชีวิตลงแล้วด้วยโรคหัวใจ
และที่น่าสลดไปกว่านั้นคือเด็กหญิงฉัตรชฎาก็มีโรคประจำตัวที่ติดต่อมาจากแม่ของเธอตั้งแต่เกิดด้วย ผู้เป็นยายไม่มีปัญญาเลี้ยงเพราะวัยที่ล่วงเลยจนใกล้ถึงฝั่งอยู่รำไรจึงตัดสินใจนำมาให้ผู้เป็นพ่อรับผิดชอบเลี้ยงดูบ้าง
แม้ยากจะทำใจให้ยอมรับแต่ด้วยความน่ารักน่าชังบวกกับปมด้อยที่น่าสงสาร จิตนารีเองก็ใจอ่อนยอมรับฉัตรชฎาเป็นลูกสาวเพิ่มเข้ามาอีกคน กันต์ศิตางค์ในวัยเก้าขวบ ยังรู้ความไม่มากนักก็พลอยชื่นชมยินดีในสมาชิกใหม่จนทั้งคู่สนิทสนมจนแทบเรียกได้ว่าเป็นพี่น้องคลานตามกันมาเลยทีเดียว
“จีนัส...ลูก”
“คุณพ่อ...” ชายวัยกลางคนในชุดดำสีหน้าหมองหม่นเรียกชื่อบุตรสาวคนโตอย่างยินดี วันแห่งความเศร้าที่บุตรสาวคนเล็กเสียชีวิตมีบางสิ่งที่พอจะเข้ามาทดแทนหัวใจห่อเหี่ยวให้ชุ่มชื้นขึ้นมาบ้าง
“พ่อคิดถึงหนูเหลือเกิน สบายดีไหมลูก”
ชนชาติรับทรุดนั่งบนโซฟาตัวยาวข้างๆ หญิงสาวโผเข้ากอดบิดาด้วยความคิดถึงอย่างล้นพ้นเช่นกัน ตั้งแต่เกิดมาการที่ต้องไปใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เธอห่างจากอ้อมอกของบุพการีห่างจากบ้านเกิดรวมถึงบุคคลที่รักและทุกอย่าง
ต้นเหตุทั้งหมดก็คือคนที่นอนอยู่ในโลงนั่น...น้องสาวของเธอเอง
“หนูสบายดีค่ะ คุณพ่อผอมไปเยอะนะคะ” หญิงสาวคลายอ้อมแขนแล้วใช้สายตาสำรวจความเปลี่ยนแปลงของบิดา ท่านดูแก่ลง ผมหงอกมีมากขึ้นจนแลเห็นชัดใบหน้ามีรอยเหี่ยวย่นตามวัย อาจเพราะเป็นผู้ชายดังนั้นการดูแลตัวเองจึงไม่ละเอียดอ่อนเหมือนผู้หญิง ดูอย่างมารดาของเธอสิยังสวยพริ้งอยู่เลยแม้จะเข้าสู่วัยกลางคนมาหลายปีแล้ว
“คนแก่แล้วก็อย่างนี้แหละ ว่าแต่...จีนัสกลับมาอยู่กับพ่อกับแม่ไม่กลับไปที่โน่นแล้วใช่ไหมลูก”
“เอ่อ...”
“เอาเถอะๆ สองพ่อลูกเรื่องนั้นค่อยคุยกันดีกว่านะคะ จีนัสกลับมาเหนื่อยๆ กินข้าวกินปลามาหรือยังลูกเดี๋ยวแม่จะให้คนจัดมาให้”
“ไม่ดีกว่าค่ะ...หนูไม่หิว”
“คุณยายขา...” เสียงน้อยๆ อ้อแอ้ดังแทรกการสนทนาของครอบครัว ทั้งหมดหันไปมอง
และกันต์ศิตางค์ก็ต้องหันหน้าเมินไปทางอื่นเพราะไม่อยากมองไม่อยากเห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กตรงหน้าแม้สักเสี้ยววินาที
“ย่าหยา...มีอะไรคะลูก ง่วงแล้วเหรอ”
“น้องหยาจะหาแม่” จิตนารีถึงกับกลืนก้อนสะอื้นลงคอกับคำตอบของหลานสาว เด็กหญิงคุ้มขวัญหรือน้องย่าหยาอายุได้เสียงสามขวบเศษก็ต้องมาเสียมารดาไปอย่างไม่มีวันกลับ และด้วยความเป็นเด็กยังไม่ประสาเธอไม่รู้เลยว่านับต่อจากนี้ไปมารดาที่กำลังเรียกหาจะไม่หวนคืนมาอีกแล้ว
“เอ่อ...นี่ก็ดึกมากแล้ว น้องย่าหยาไปนอนได้แล้วนะลูก เด็กๆ นอนดึกไม่ดีรู้ไหม” ด้วยไม่รู้จะหาคำพูดใดมาปลอบหลานตัวน้อยจิตนารีจึงเลี่ยงไปเรื่องอื่นเสีย แต่หลานสาวของนางก็ยังคงทำหน้ามุ่ยคล้ายจะร้องไห้อยู่เช่นเดิม
“น้องหยานอนไม่หลับค่ะ คุณแม่ไม่กอด...” แน่นอนใครๆ ก็รู้ว่าฉัตรชฎารักและห่วงบุตรสาวมากแค่ไหน ตั้งแต่เด็กน้อยลืมตาดูโลกจนกระทั่งเธอมาล้มป่วยและจากไปด้วยโรคประจำตัว สองแม่ลูกแทบไม่เคยอยู่ห่างกันเลยก็ว่าได้
“โถ...ลูกเอ๊ย...มานอนกับยายก็แล้วกันนะเดี๋ยวยายกอดเองว่าแต่พ่อเราเขาหายไปไหนล่ะเนี่ยเมื่อกี้เห็นยังนั่งอยู่เลย”
“คุณพ่อไปห้องน้ำค่ะ” คุ้มขวัญตอบ แล้วปีนป่ายขึ้นไปนั่งบนตักผู้เป็นยายอย่างคุ้นเคย จิตนารีเองก็ไม่ได้ปฏิเสธรีบสวมกอดร่างน้อยด้วยความเอ็นดูและสงสาร สายตาพลางชำเลืองไปยังกันต์ศิตางค์ที่ผินหน้าไปอีกทางอย่างอ่อนใจ
“จีนัส...จะไม่ทักหลานมันสักคำเหรอลูก เด็กคนนี้ชื่อน้องย่าหยา...ย่าหยาคะยกมือไหว้ป้าเขาก่อนนะลูก ป้าจีนัสเป็นพี่สาวของแม่เราไง”
“พอเถอะค่ะคุณแม่...หนูไม่อยากรู้จักและไม่อยากนับญาติกับใครทั้งนั้น” เด็กหญิงที่กำลังยกมือไหว้มองตาปริบๆ กับคำพูดของผู้หญิงที่คุณยายของเธอแนะนำ คุ้มขวัญลดมืออย่างหงอยๆ เมื่อเห็นว่าผู้ใหญ่ทำท่าทางคล้ายไม่พอใจเธอจึงสวมกอดคอจิตนารีแล้วซบหน้าหลบบนบ่าอุ่นๆ
“จีนัส จีนก็ไม่อยู่แล้วนะลูกให้ทุกอย่างมันจบเถอะ อีกอย่างย่าหยาก็เป็นแค่เด็กเขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วยหรอก”
“ใช่ค่ะ...เด็กไม่รู้เรื่อง แต่เด็กคนนี้มันเกิดมาจากความเลวความไร้จิตสำนึกของคนสองคน คุณแม่อย่าพยายามให้หนูญาติดีด้วยเลยนะคะ ที่กลับมานี่ก็เพราะรู้ว่าใครบางคนมันถูกกรรมตามสนองไปหนูก็แค่มาดูให้เห็นกับตาเท่านั้นล่ะค่ะว่าเวรกรรมมันมีจริง”
“จีนัส!” จิตนารีปรามบุตรสาวเสียงไม่เบานัก ทั้งชนชาติที่นั่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วยก็ได้แต่ส่ายหน้าอ่อนใจกับทุกๆ อย่าง
ไม่มีใครโทษกันต์ศิตางค์เธอมีสิทธิ์โกรธเธอมีสิทธิ์แค้น ต่างก็หวังว่าเวลาช่วงที่หญิงสาวไปใช้ชีวิตไกลบ้าน และการจากไปของฉัตรชฎาจะทำให้อะไรๆ ดีขึ้น
แต่เปล่าเลย ท่าทีของกันต์ศิตางค์ยังไม่เปลี่ยนไปจากสี่ปีก่อนสักนิด สีหน้าและแววตาของเธอยังคงเต็มไปด้วยความเจ็บแค้นชิงชัง
“เวรกรรมมันไม่มีจริงหรอกจีนัส...ถ้ามีจริงจีนคงไม่ต้องเผชิญชะตากรรมแบบนี้ อีกอย่างเธอจะโกรธจะเกลียดอะไรขนาดไหนก็ขอให้มาลงที่พี่นะอย่าพาลกับเด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่...อีกอย่างจีนก็ไปสบายแล้วอย่าทำให้ดวงวิญญาณของเขาต้องเป็นทุกข์จนไม่มีวันไปผุดไปเกิดเลยนะ”
ชายหนุ่มผู้มาใหม่ยื่นมือส่งให้เด็กน้อยที่นั่งบนตักจิตนารีและอุ้มขึ้นมาไว้กับตัวขณะพูด
เขาค่อนข้างไม่พอใจกับสิ่งที่ได้ยินตอนเดินเข้ามาตรงนี้พอดี สองสามีภรรยารีบลุกตามบุตรสาวที่ยืนเผชิญหน้าจ้องเขม็งกับศิลาภินบุตรเขย
ดวงตาคมปลาบดุจพญาเหยี่ยวของเขาแดงก่ำ อัดแน่นเต็มไปด้วยความเสียใจ น้อยใจ และเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด
“เข้าข้างกันจังเลยรักกันลมหายใจสุดท้ายเลยนะคะ...แล้วทำไมไม่ตายตามกันไปให้หมดๆ เลยล่ะ”
“จีนัส!” ชายหนุ่มกัดกรามแน่นเมื่อถูกดูหมิ่น เขารึเฝ้าคิดถึงเฝ้าห่วงเธอเป็นปีๆ แต่พอได้พบหน้ากลับกลายมองเขาด้วยสายตาขยะแขยงเต็มทีซ้ำวาจาที่เอ่ยออกมาก็หยาบคายเสียจนผิดวิสัยของเธอคนเดิมนัก
“หนูกลับบ้านก่อนดีกว่าค่ะคุณแม่คุณพ่อ...อยู่ที่นี่รู้สึกเหม็นอับอบอวลเหมือนจะอ้วก” พูดจบกันต์ศิตางค์ก็สะบัดตัวหยิบกระเป๋าถือใบย่อมเดินจากไป ปล่อยบิดาและมารดารับหน้ากับแขกเหรื่อที่กำลังหันมองให้ความสนใจเรื่องที่เกิดขึ้น
“ผมฝากทางนี้ด้วยนะครับ...จะพาย่าหยาไปนอนก่อน คุณพ่อคุณแม่พอไหวไหม”
“อ๋อ...จ้ะๆ” ทั้งคู่รับปากแล้วบุตรเขยซึ่งเป็นสามีของฉัตรชฎาผู้ตาย ก็อุ้มหลานตัวน้อย ที่กำลังอยู่ในอาการตื่นกลัว จากเหตุการณ์ปะทะคารมย่อมๆ เมื่อสักครู่เดินออกไปบ้าง
สองสามีภรรยาถอนหายใจยาวๆ ทิ้งร่างนั่งลงบนโซฟาอีกครั้งอย่างเหนื่อยอ่อน การกลับมาของบุตรสาวสุดที่รักในครั้งนี้ทุกคนคงอยู่กันอย่างไม่สงบเท่าไหร่เสียแล้ว
นึกย้อนไปถึงเรื่องในอดีตทั้งคู่ก็รู้ว่ามันยากจะให้กันต์ศิตางค์ยอมรับอะไรง่ายๆ ในตอนนั้นที่เกิดเรื่องใหม่ๆ หญิงสาวถึงกับต้องพาตัวเองซัดเซพเนจรไปอยู่เสียที่อื่นเพราะทำใจไม่ได้ที่น้องสาวร่วมบิดาเกิดมาตั้งครรภ์กับแฟนหนุ่มที่กำลังจะเข้าพิธีวิวาห์ด้วยกัน
ในตอนนั้นใช่ว่าทั้งคู่จะพอใจและคิดจะญาติดีกับฉัตรชฎาและศิลาภินถึงแม้ฝ่ายหญิงจะเป็นลูกคนหนึ่งก็ตามทีเมื่อทำสิ่งที่ผิดมหันต์จะมาให้อภัยกันง่ายๆ คงเป็นไปไม่ได้
งานแต่งงานถูกจัดขึ้นตามกำหนดการเช่นเดิม คงเปลี่ยนแต่ตัวเจ้าสาวเท่านั้นซึ่งเป็นที่รู้กันของคนคุ้นเคยในครอบครัว สร้างความเสียชื่อเสียงให้ไม่น้อยแต่พอเวลาผ่านไปทุกอย่างก็เริ่มซาและจางหายไปตามวาระ
แต่ที่ไม่เคยลางเลือนและเหมือนเดิมราวกับวินาทีนั้นยังตามหลอกหลอนอยู่ร่ำไปคงเป็นหัวใจของกันต์ศิตางค์นั่นเอง
หญิงสาวผู้บอบช้ำหอบเอาหัวใจที่บาดเจ็บ ไปพำนักยังต่างประเทศทันทีที่เรื่องแดงว่าน้องสาวของเธอ กำลังตั้งท้องลูกของแฟนหนุ่ม และไม่เคยกลับมาอีกเลยตลอดสี่ปี เพียงแต่ส่งข่าวคราวผ่านทางมารดากลับมาบ้างเท่านั้นเอง
เมื่อการแต่งงานผ่านไป ช่วงแรกๆ ฉัตรชฎาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในบ้านที่เธอเคยอยู่ด้วยซ้ำไป แต่ด้วยความพยายามอยากจะให้ผู้ใหญ่ให้อภัย เธอจึงแสดงความจริงใจทุกๆ อย่าง แสดงให้รู้ว่าเธอสำนึกผิดในเรื่องที่ทำลงไปจริงๆ นานเข้า มีหรือผู้เป็นพ่อและแม่บุญธรรมจะทนได้เมื่อเห็นลูกสาวที่เลี้ยงมาแต่เล็กแต่น้อย หอบท้องที่โตขึ้นทุกวันมาคอยยืนรอพบหน้าทุกเช้าเย็นจึง ใจอ่อนและยอมให้ฉัตรชฎากราบขอขมา
ตลอดเวลานับตั้งแต่ตอนคลอดน้องคุ้มขวัญ ฉัตรชฎาก็ได้ย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านโดยศิลาภินนั้นก็ไม่ได้ย้ายตามเข้ามาด้วย เพียงแต่แวะเวียนมาเยี่ยมลูกเมียทุกวันเท่านั้น
ทั้งคู่ให้เหตุผลถึงสาเหตุที่แยกกันอยู่ว่า เป็นการพิสูจน์ความจริงใจว่าไม่ได้คิดจะพรากชายหนุ่มมาจากกันต์ศิตางค์ ทุกอย่างเกิดขึ้นจากความรับผิดชอบเท่านั้น
และในที่สุดก็สามารถชนะใจของทุกคนได้เป็นที่รักและยอมรับของคนในครอบครัวเหมือนเดิม
แต่อนิจจาวาสนาของคุณแม่ยังสาวช่างน้อยนัก ได้เชยชมจนลูกน้อยอายุได้สามขวบเศษ ก็ต้องมาจากไปด้วยโรคประจำตัวที่เป็นมาตั้งแต่เกิด นั่นคือโรคหัวใจ...
จากการวินิจฉัยของแพทย์การที่ฉัตรชฎาด่วนจากไปก่อนวันอันสมควรอย่างนี้ เพราะจิตใจอยู่ในสภาวะย่ำแย่ซึ่งเป็นผลร้ายโดยตรงกับโรคที่เธอเป็น สะสมนานปีเข้าจึงไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้และต้องจากไปชั่วนิรันดร์ในที่สุด